|
“สี จิ้นผิง” รัชทายาทแดนมังกร ตอนแรก
โดย
วริษฐ์ ลิ้มทองกุล
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา( ธันวาคม 2553)
กลับสู่หน้าหลัก
บ่อยครั้งเมื่อเปิดแผนที่กูเกิล เอิร์ธ ผมมักจะชอบเลื่อนเมาส์ไปเปิดดูแผนที่และสภาพความเปลี่ยนแปลงของกรุงปักกิ่ง เมืองที่ผมเคยใช้ชีวิตและมีความผูกพันอยู่หลายปี
ทุกครั้งที่ผมเปิดแผนที่กรุงปักกิ่ง ผมมักจะไปเริ่มต้นการสำรวจบ้านเมืองของเขาที่พระราชวังต้องห้าม พระราชวังโบราณซึ่งฝรั่งตะวันตกตั้งชื่อไว้ อย่างลึกลับว่า The Forbidden City ณ ใจกลางกรุงปักกิ่ง (ทว่าปัจจุบันมิได้เป็นสถานที่ต้องห้ามดั่งนามอีกต่อไป เพราะในแต่ละปีพระราชวังแห่งนี้มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากถึงเกือบ 8 ล้านคน)
แม้ว่าทุกวันนี้พระราชวังต้องห้ามที่ถูกสร้างตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1644) หรือกว่า 600 ปี และสิ้นชื่อไปตั้งแต่ช่วงหลังการปฏิวัติล้มราชวงศ์ชิงก่อตั้งสาธารณรัฐจีนในปี ค.ศ.1911 ได้ถูก แปลงสภาพให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์และสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของสามัญชนและชาวต่างชาติไป แต่ในเชิงพฤตินัยแล้ว "พระราชวังต้องห้าม" กลับมิได้สูญหายไปไหน ยังคงดำรงอยู่ เพียงแต่มีการเคลื่อน ย้ายสถานที่ไปเล็กน้อยเท่านั้น
ทางทิศตะวันตกติดพระราชวังต้องห้าม คือที่ตั้งของ "จงหนานไห่ "ศูนย์กลางในการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาลจีน ที่หลายคนมักจะให้ฉายาว่าเป็นพระราชวังต้องห้ามแห่งยุคปัจจุบัน
"จงหนานไห่" หรือ "ทำเนียบจงหนานไห่" คือ ศูนย์กลางอำนาจในการปกครองของประเทศจีนในปัจจุบัน โดยเป็นที่ทำการของเลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน, สำนักนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศจีน, ที่ทำการของคณะกรรมการ กลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน รวมไปถึงเป็นที่พักของผู้นำจีนมาตั้งแต่ยุคสาธารณรัฐเรื่อยมาจนถึงยุคสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งหากจะเปรียบเทียบก็คง ใกล้เคียงกันกับทำเนียบขาวของสหรัฐอเมริกา และมี ความคล้ายคลึงกันกับทำเนียบรัฐบาลของไทย เพียง แต่ทำเนียบจงหนานไห่ของจีนมีความลึกลับและมีระบบการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดกว่ากันมาก
ภายหลังจากการประชุมประจำปีคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม โดยสี จิ้นผิง รองประธานาธิบดีและ 1 ใน 9 ของสมาชิกถาวรประจำกรมการเมืองได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมาธิการทหาร (Central Military Commission; CMC) ผมมีโอกาสได้พบปะกับมิตรสหายนักการทูต ชาวจีนและสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนผู้หนึ่งที่เดินทางมาทำธุระที่ประเทศไทย ซึ่งเขาก็ได้กล่าวถึง อนาคตของผู้นำรุ่นที่ 5 ของจีนว่า
"ตอนนี้ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่าสี จิ้นผิงจะได้เป็นเลขาธิการพรรคและประธานาธิบดีต่อจากหู จิ่นเทา ส่วนหลี่ เค่อเฉียง ก็น่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากเวิน เจียเป่า..." สหายนักการทูตชาว จีนของผมกล่าวถึงว่าที่ผู้นำที่จะก้าวขึ้นมาครอบครอง ทำเนียบจงหนานไห่ในอีกสองปีข้างหน้า
ทั้งนี้โดยธรรมเนียมปฏิบัติและตามหลักการ "พรรคคุมปืน " ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนยึดถือมาตลอด มีเพียงพลเรือนซึ่งดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดและทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งเท่านั้น จึงจะมีโอกาสนั่งในคณะกรรมาธิการทหาร ที่เป็นแกนกลางในการควบคุมกำลังทหารแห่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีน
กลางปี 2552 ผมเคยเขียนถึงเรื่องความท้าทายของผู้นำรุ่นที่ 5 ลงตีพิมพ์ในนิตยสารผู้จัดการ 360 ํ ติดต่อกันสามฉบับระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม ซึ่งนับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ภาพอนาคตของบุคคลที่กำลังจะก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งประมุข มีอำนาจสูงสุด ในการตัดสินใจและปกครองประเทศจีนก็ค่อนข้างจะแจ่มชัดขึ้นมากแล้ว ดังนั้นผมจึงเห็นว่าน่าจะเป็นการ ดีที่จะแนะนำให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักกับที่มาที่ไปของบุรุษที่ชื่อ "สี จิ้นผิง" โดยละเอียดมากขึ้น
สี จิ้นผิง มีเชื้อสายของชาวฮั่น มณฑล ส่านซี เกิดในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2496 (ค.ศ.1953) ปัจจุบันอายุ 57 ปี
ความที่เป็นบุตรของสี จ้งซุน สมาชิกรุ่นแรกๆ ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผู้เคยผ่านสงครามต่อต้านญี่ปุ่น สงครามกลางเมืองและสงครามกู้ชาติมาอย่างโชกโชน ทั้งเคยดำรงตำแหน่งสำคัญๆ อย่างเช่นอดีตรองนายกรัฐมนตรี (ปี ค.ศ.1959-1962), ผู้ว่าการมณฑล กวางตุ้ง, เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำมณฑลกวางตุ้ง และรองประธานสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ ทำให้สี จิ้นผิงได้รับฉายาว่าเป็น "ท่านอ๋องแห่งแดนมังกร" และถูกจัดเข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในกลุ่มลูกท่านหลานเธอ ซึ่งใน ภาษาจีนเรียกว่า "ไท่จื่อตั่ง " ส่วนในภาษาอังกฤษเรียกว่า Princelings หรือ Elitists
อิทธิพลทางความคิดและคลื่นลมที่เข้ามาปะทะกับชีวิตของ "สี จ้งซุน" ผู้เป็นบิดาถือว่ามีส่วน สำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดชะตาชีวิตของบุตรชาย ยกตัวอย่างเช่น ภายหลังดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีจีนในยุคทศวรรษ 1960 ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม สี จ้งซุนถูกมองเป็นฝ่ายปฏิกิริยา ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับประธานเหมา เจ๋อตง จนถูกปลดและถูก ส่งไปทำงานเป็นผู้ใช้แรงงานในโรงงาน ด้านสี จิ้นผิง ซึ่งขณะนั้นอยู่ในวัยเรียนก็ถูกมองว่าเป็น "นักเรียนของฝ่ายปฏิกิริยา" ด้วยเช่นกัน โดยในปี พ.ศ.2512 (ค.ศ.1969) สี จิ้นผิงในวัยยังไม่เต็ม 16 ปี ถูกส่งไปใช้แรงงานในอำเภอเหยียนชวน ในเขตเมืองเหยียนอัน มณฑลส่านซี
คนใกล้ชิดของสี จิ้นผิงเปิดเผยว่า ประสบ การณ์วัยเยาว์ที่ต้องไปตกยากในชนบท ส่งอิทธิพลต่อเจ้าตัวเป็นอย่างมาก ส่วนตัวสี จิ้นผิง ในปี 2539 ก็เคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสารฉบับหนึ่งว่า ตอนตกระกำลำบาก ตนต้องอดทนมากกว่าคนอื่นๆ ทั้งถูกจับขังคุกถึง 4 ครั้ง ทั้งถูกด่าทอและถูกเหยียดหยาม ต่างๆ นานา ในข้อหาว่าเป็นลูกของฝ่ายปฏิกิริยา
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายของการปฏิวัติวัฒนธรรม ซึ่งเหมา เจ๋อตง ใกล้อับแสงและแก๊ง 4 คนใกล้สิ้นวาสนา เมื่อบิดากลับมามีอำนาจในยุคสมัย ของเติ้ง เสี่ยวผิง ตัวสี จิ้นผิง ก็เข้าเป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและมีโอกาสได้เข้าเรียนด้านวิศวกรรมเคมีจากมหาวิทยาลัยชิงหัว มหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน (ในเวลาต่อมาสียังได้ศึกษาเพิ่มเติมในวิชาทฤษฎีการเมืองและแนวคิดของลัทธิมาร์กซ์ในสถาบันสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ รวมถึงจบ ปริญญาเอกด้านนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชิงหัวอีกด้วย)
เมื่อจบการศึกษาระดับอุดมศึกษาจากมหาวิทยาลัยชิงหัว สี จิ้นผิงก็ได้เส้นสายของบิดาเข้าไปทำงานเป็นเลขานุการใกล้ชิดของเกิ่ง เปียว อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของสี จ้งซุน เป็นเวลา 3 ปี (ระหว่างปี 2522-2525) ซึ่งประวัติความใกล้ชิดวงในของกองทัพตั้งแต่ยังหนุ่มนี้เองที่ทำให้สี จิ้นผิงมีภาษีดีกว่าผู้นำรุ่นที่ 3 และรุ่นที่ 4 อย่างเจียง เจ๋อหมิน และหู จิ่นเทา
ในเชิงมุมมองต่อสังคม เศรษฐกิจและพัฒนา การของประเทศจีน เห็นได้ชัดว่า แนวคิดและหน้าที่ การงานของสี จ้งซุน บิดาก็มีอิทธิพลต่อแนวคิดของสี จิ้นผิง เนื่องจากสีผู้พ่อเป็นผู้ที่ผลักดันการก่อตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้น ซึ่งถือเป็นต้นแบบของเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศจีน รวมถึงแนวคิดการปฏิรูปเศรษฐกิจจีนให้พัฒนาเป็นระบบเศรษฐกิจ สังคมนิยมกลไกตลาด (Market Socialism) ที่ต่อมา กลายเป็นเอกลักษณ์ในการฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจ ของจีนตลอดมา
ปี 2525 (ค.ศ.1982) ในช่วงต้นของการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ สี จิ้นผิงในวัยยังไม่เต็ม 30 ปีดี ก็มีโอกาสได้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนอำเภอเจิ้งติ้ง มณฑลเหอเป่ย จากนั้น จึงถูกส่งไปขลุกอยู่ในมณฑลชายทะเลที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของจีนอย่างฝูเจี้ยนอีกยาวนานถึง 17 ปี (ระหว่างปี 2528-2545 หรือ ค.ศ.1985-2002) ในตำแหน่งกรรมการประจำคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนของเมืองเซี่ยเหมิน, รองผู้ว่าเมืองเซี่ยเหมิน, เลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนเขตหนิงเต๋อ, เลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์เมืองฝูโจว, รองเลขาธิการ คณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์มณฑลฝูเจี้ยนและผู้ว่ามณฑลฝูเจี้ยน
อิทธิพลทางความคิดจากบิดา ประกอบกับประสบการณ์ 17 ปีในฝูเจี้ยนได้หล่อหลอมสี จิ้นผิง ให้เติบโตขึ้นอย่างมาก
"จากเหอเป่ยมาอยู่ที่เซี่ยเหมิน ตอนนั้นผมอายุเพียง 32 ปีก็ต้องเข้ามาบริหารงานของเขตเศรษฐกิจพิเศษแล้ว ก้าวย่างครั้งนี้ถือว่ายาวนานมาก ตอนนั้นผมมาถึงเซี่ยเหมินอย่างกระตือรือร้น อยากลองนำแนวทางปฏิรูปเศรษฐกิจและการเปิดประเทศ ลงสู่ภาคปฏิบัติ"
"ช่วง 3 ปีของชีวิตทำงานที่เซี่ยเหมิน ผมเก็บ เกี่ยวประสบการณ์และความรู้ได้มหาศาล หรืออาจกล่าวได้ว่า ช่วง 3 ปีระหว่างทำงานในเขตเศรษฐกิจ พิเศษส่งอิทธิพลกับการทำงานในเวลาต่อมาของผมอย่างมาก" ว่าที่ผู้นำคนใหม่ของจีนเคยกล่าวเอาไว้
ในช่วงทศวรรษ 1990 ระหว่างรับตำแหน่งอยู่ที่เมืองฝูโจว มณฑลฝูเจี้ยน ณ ที่ทำการของเทศบาลเมือง สี จิ้นผิงได้ติดตัวอักษรจีนไว้ 4 คำเพื่อกระตุ้นให้ข้าราชการเกิดความกระตือรือร้นในการทำงาน ความว่า "หม่าซ่างจิ้วป้าน " อันมีความหมายแปลเป็นไทยว่า "ลงมือทันที" โดยเขาอธิบายถึงนัยของอักษรสี่ตัวนี้ว่า ในสภาวะที่ตลาดมีการแข่งขันอย่างสูง บีบให้ผู้คนต้องตัดสินใจ อย่างรอบคอบและรวดเร็วที่สุด ข้าราชการของเมือง ฝูโจวต้องมีสำนึกเช่นนี้ตลอดเวลา ภารกิจของเมืองฝูโจวจึงจะรักษาคุณภาพและประสิทธิภาพเอาไว้ได้
นอกจากนั้น ในเชิงภูมิศาสตร์ด้วยความที่มณฑลฝูเจี้ยนเป็นมณฑลที่อยู่ตรงข้ามกับเกาะไต้หวัน ระหว่างที่สี จิ้นผิงไปทำงานอยู่ที่ฝูเจี้ยน ก็เป็นที่ทราบกันดีในหมู่พ่อค้าจีนแผ่นดินใหญ่ พ่อค้านักลงทุนไต้หวัน ข้าราชการ และสื่อมวลชนว่า สีมีบทบาทอย่างยิ่งในการดึงดูดการลงทุน ช่วยสานสัมพันธ์และกระตุ้นการค้าระหว่างจีนและไต้หวันได้เป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้ในสายตาของสื่อท้องถิ่น สี จิ้นผิง จึงเป็นนักปฏิรูป เป็นผู้นำที่ทันสมัย และถูกจัดเป็นผู้นำที่มีหัวก้าวหน้า
อ่านเพิ่มเติม:
ความท้าทายของผู้นำรุ่นที่ 5 นิตยสารผู้จัดการ 360 ํ ฉบับเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2552
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|