|
Billionaires Code The Richest & Youngest Man in the World
ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์(29 พฤศจิกายน 2553)
กลับสู่หน้าหลัก
facebook.com อาจจะเป็นเว็บแรกที่ใครต่อใครคลิกขึ้นมาทันทีที่เปิดเน็ต หรือแม้แต่ตั้งให้เป็นโฮมเพจประจำคอมพ์ แต่จะมีใครสักกี่คนที่รู้ความเป็นมาอันน่าทึ่งราวกับเทพนิยายของเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้บริการมากกว่า 500 ล้านคนทั่วโลกเจ้านี้ และมีใครสักกี่คนคาดคิดว่า โซเชียลเน็ตเวิร์กที่ทำให้ตนเองสามารถสื่อสารกับใครก็ได้ในโลกนี้ ไล่ตั้งแต่ครอบครัว เพื่อนฝูง คนรู้จัก ไปจนถึงดาราคนดังนั้น เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของลูกชายทันตแพทย์ วัย 20 ต้นๆ ที่ยังเรียนหนังสือไม่จบด้วยซ้ำไป!คนหนึ่ง
จากเด็กเนิร์ดที่เรียนไม่จบมหาวิทยาลัย มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก กลายเป็นหนุ่มโสดโคตรเท่ผู้สร้างสิ่งมหัศจรรย์ในโลกยุค 2.0 เขาปฏิเสธเงิน 850 ล้านดอลลาร์จาก Yahoo! และบอกปัดเงิน 1,500 ล้านดอลลาร์จาก Microsoft เพื่อทำให้ facebook ยังคงเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กที่เจ๋งที่สุดในโลก
อะไร? คือเบื้องหลังความสำเร็จของซีอีโออายุน้อยที่สุดในโลก และร่ำรวยที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าตัวเลขที่สูงถึง 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะเดียวกัน ก็เป็นไอดอลที่คนรุ่นใหม่ยกให้เป็นต้นแบบมากที่สุดคนหนึ่งในโลก
เราไปถอดรหัสชีวิตของเขากันดีกว่า...
พาสเวิร์ดสู่ความสำเร็จ
ของเศรษฐีดอทคอม
ตามธรรมเนียมของคนที่ Success ส่วนใหญ่ พอได้ดิบได้ดีในวิถีของตัวเองแล้ว ถ้าไม่เดินทางออกบรรยายให้คนอื่นๆ ฟังจนหูตั้งชันและอยากจะซักเซสแบบนั้นบ้าง ก็เลือกวิธีการเขียนหนังสือออกมาเพื่อบอกเล่าถึง “สูตรแห่งความสำเร็จ” รวมไปจนถึงสุดยอดกลเม็ดเคล็ดลับนานัปการปลุกแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่าน
แต่ มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ดูเหมือนจะตรงกันข้าม เพราะมีน้อยครั้งมากที่เขาจะพูดถึงความสำเร็จของตัวเองหรือแม้กระทั่งทัศนะมุมมองที่เขามีต่อวิถีแห่งการสร้างงาน เขาเป็นคนพูดเร็วเท่ากับที่พูดน้อย และบ่อยครั้ง ยังดูเหมือนจะไม่อินังขังขอบเท่าไหร่ว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นจะยิ่งใหญ่สักเพียงไหน
“เรื่องจริงเกี่ยวกับเฟซบุ๊กคือเราทำงานหนักกันตลอดเวลา พวกเรานั่งเขียนโค้ดกันหน้าคอมพ์ อยู่ถึง 6 ปีน่ะ” ซีอีโอหนุ่มแห่งเฟซบุ๊ก พูดเร็วตามสไตล์ของเขา
“ผมเชื่ออย่างมากว่า คนเราจะถูกจดจำในสิ่งที่พวกเขาสร้าง และถ้าคุณสร้างอะไรที่ทำให้ชีวิตคนดีขึ้น นั่นแหละคือสิ่งที่ดีมากๆ เลย”
ขณะที่ แอนดรูว์ บอสเวิร์ธ วิศวกรคอมพิวเตอร์ที่ร่วมงานกับซัคเกอร์เบิร์กมานานกว่า 4 ปี พูดถึงผู้ชายคนนี้ไว้ว่า ซัคเป็นคนที่ชัดเจนในแนวทางของตัวเอง ถ้าเขาไตร่ตรองอะไรสักอย่างอย่างมั่นใจแล้ว เขาจะไม่เปิดโอกาสให้มีการคัดค้านให้เสียเวลา
“แต่เขาไม่ใช่เผด็จการนะครับ จริงๆ เขาชอบการถกเถียงด้วยซ้ำ แต่คุณต้องมีเหตุผล ข้อดีมากๆ ของผู้ชายคนนี้ก็คือ เขาไม่ยึดติดความสำเร็จที่ผ่านๆ มาของตัวเอง ถ้าพิจารณาแล้วว่ามีสิ่งใหม่ที่ดีกว่าสิ่งที่เคยเชื่อ เขาก็พร้อมที่จะทิ้งโปรเจกต์เก่าที่คิดมาเป็นเดือนๆ เพื่อเริ่มโปรเจกต์ใหม่ในทันที”
“เรามองว่าเขาเริ่มจากความสนุกมากกว่าค่ะ” กมลวรรณ ลิ้มทองกุล หัวหน้ากองบรรณาธิการนิตยสาร mars ผู้ใช้เวลาสืบค้นข้อมูลของซีอีโอวัยหนุ่มอย่างวิเคราะห์เจาะลึกจนตกผลึกออกมาเป็นหนังสือรวมเรื่องราวชีวิตของซัคเกอร์เบิร์ก ปล่อยทัศนะให้เราครุ่นคิด
“อย่างน้อยที่สุด แม้กระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังเป็นเด็กหนุ่มที่อยู่ในช่วงแห่งการค้นหา ดูว่าอะไรเป็นสิ่งที่นำพาความสุขมาให้ตัวเอง เพียงแต่ว่าเขาน่าชื่นชมในแง่ของการกล้าที่จะทำ คือถ้าคิดแล้วไม่ทำ มันก็จบ เราว่าเขาเป็นคนที่สามารถมองเห็นโอกาสในสิ่งที่คนอื่นๆ มองไม่เห็น เหมือนมีกระดาษอยู่แผ่นหนึ่ง คนอื่นอาจจะเห็นว่ามันเป็นแค่กระดาษหนึ่งแผ่น แต่มาร์คสามารถทำให้มันมีมูลค่าได้
“และที่สำคัญ อย่างมาร์คนี่ เขาเรียนหนังสือไม่จบ แต่ก็ประสบความสำเร็จได้ นั่นคือความแตกต่าง เพราะถ้าคุณเลือกว่าคุณจะเรียน ก็ให้รู้ว่าคุณได้ทิ้งโอกาสในการทำธุรกิจซึ่งไม่รู้ว่าจะเวิร์กหรือไม่เวิร์กนะ แต่คุณเลือกแล้วว่าคุณจะเรียนเอาปริญญา และเชื่อว่าเมื่อเรียนจบ คุณจะได้โอกาสจากปริญญานั้น อย่างมาร์คเอง แน่นอนว่า ที่มหาวิทยาลัย (ฮาร์วาร์ด) ให้เขาดร็อปการเรียนไว้นานเท่าไหร่ก็ได้แล้วค่อยกลับมาเรียน แต่เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่า การจบไม่พร้อมเพื่อน การเรียนจบเมื่ออายุมากขึ้น เขาต้องเสียอะไร แต่เขาก็เลือกอันนี้และเขาก็มั่นใจในสิ่งที่เขาเลือก เราว่าสิ่งที่น่าชื่นชมสำหรับผู้ชายคนนี้หรือว่าสามารถที่จะเป็นต้นแบบของคนรุ่นใหม่ได้ก็คือว่าคุณต้องกล้าเลือกโดยรู้ถึงสิ่งที่คุณจะเสียไป คือคุณต้องเลือกอย่างมีสติ คุณจะต้องรู้ว่าคุณจะได้อะไรและคุณจะเสียอะไร และเมื่อเลือกแล้วต้องกล้าตัดสินใจ และพอตัดสินใจแล้ว ก็เต็มที่กับมัน นั่นแหละคือตัวของมาร์ค"
“อีกอย่างที่เรารู้สึกก็คือการที่มีคนพยายามนำมาร์คไปเปรียบเทียบกับ บิล เกตส์ ซึ่งเราว่ามันไม่ได้หรอก คุณต้องรอให้เค้าอายุเทียบเท่ากับ บิล เกตส์ ก่อน แล้วค่อยเทียบ และสิ่งที่น่าคิดมากกว่าก็คือว่า ตอนที่เราอายุเท่าเค้า เราทำอะไรอยู่ แต่มาร์คนี่อายุแค่ 20 ต้นๆ แต่ได้ทำอะไรไปมากมายถึงขนาดที่มีคนเขียนหนังสือถึงเขาแล้ว สร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวิตของเขาแล้ว”
แต่ไม่ว่าใครจะคิดเห็นอย่างไร บางที ถ้อยคำธรรมดาๆ ที่หลุดจากปากของเด็กหนุ่มคนนี้ อาจเป็นรหัสนัยสำคัญที่ทำให้เราสะกดรอยความสำเร็จของเขาได้
เขาบอกว่า... “ในโลกที่หมุนไปไว คุณรู้ว่าถ้าคุณไม่เปลี่ยนแปลง คุณจะพ่ายแพ้ การไม่ลองเสี่ยงนั่นแหละคือสิ่งที่เสี่ยงที่สุด”...
คนที่เงินซื้อไม่ได้
กับไลฟ์สไตล์โคตรติดดิน
ไม่ใช่แค่ฉลาดเป็นกรด แต่สิ่งที่ทำให้มาร์คดูเท่มากๆ ในสายตาของหลายๆ คนก็คือ รูปแบบการใช้ชีวิต ก็คิดดูสิว่า ถ้าคุณร่ำรวยระดับหมื่นล้านขนาดนั้น คุณคงจินตนาการภาพตัวเองกับชีวิตที่หรูหรา แต่มาร์คกลับธรรมดา...ธรรมดามากๆ จนไม่น่าเชื่อว่านี่คือเศรษฐีหมื่นล้าน
ด้วยสไตล์การแต่งตัวแบบเนิร์ดๆ แจ็กเกตคอเต่าและเสื้อยืดกางเกงยีนส์ไร้ความเป็นทางการ ปั่นจักรยานจากห้องเช่าเล็กๆ ไปทำงานทุกๆ เช้า และถ้ามองเข้าไปในห้องนอนของเขา คุณจะพบแค่ฟูกวางอยู่บนพื้น ข้างๆ มีกองหนังสือและโคมไฟ ที่พอเรียกเป็นเฟอร์นิเจอร์ได้คือเก้าอี้สองตัวและโต๊ะอีกหนึ่ง
แต่สิ่งที่น่าทึ่งมากๆ เกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ก็คือว่า ทั้งๆ ที่เงินมากองอยู่ตรงหน้าจำนวนมหาศาล แต่เขากลับไม่กระโจนเข้าใส่มันอย่างลิงโลด ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่หนังอย่าง The Social Network หยิบมาเป็นหนึ่งประเด็นสำคัญ เพราะในขณะที่คนรอบข้างหรือแม้กระทั่งเพื่อนๆ ผู้ร่วมก่อตั้งเฟซบุ๊กด้วยกันมา เห็นดีเห็นงามให้เขากอบโกยกำไรเยอะๆ จากสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้น แต่มาร์คกลับไม่แสดงอาการกระเหี้ยนกระหือรือที่จะอยากได้อยากมีออกมาให้เห็นเลย ทั้งๆ ที่ความเก่งกาจซึ่งมีอยู่ในตัวเองทำให้เขามีความชอบธรรมเต็มที่ที่จะทำเช่นนั้น
อันที่จริง ตัวตนแบบนี้ของซัคเกอร์เบิร์ก เรียกว่าเป็นลักษณะเด่นของเขามาตั้งแต่เฟซบุ๊กเริ่มตั้งไข่ เมื่อบริษัท ไวคอม (Vaicom) ยักษ์ใหญ่สื่อบันเทิงเจ้าของ MTV และ VH1 ลงทุนบินมาหาเขาพร้อมยื่นข้อเสนอเทกโอเวอร์กิจการของมาร์คด้วยเงินสด 75 ล้านดอลลาร์ แต่ทว่าก็ต้องพบกับคำตอบ...
“คุณได้เห็นอพาร์ตเมนต์ผมไปแล้ว” ซีอีโอเด็กเนิร์ด พยายามอธิบาย “จริงๆ ผมไม่ได้ต้องการเงิน แล้วอีกอย่าง ผมคิดว่าชาตินี้คงคิดไอเดียเด็ดๆ ขนาดนี้ไม่ได้อีกแล้ว”
นั่นแค่กรณีย่อมๆ เพราะหลังจากไวคอมพกความผิดหวังกลับบ้านไป เว็บไซต์ขาใหญ่อีกเจ้าอย่าง Yahoo! ก็เข้ามาจีบด้วยจำนวนเงิน 1,000 ล้านดอลลาร์ แต่ทว่าก็อกหักกลับไปเช่นกัน แล้วถัดจากนั้น มาร์คก็ทำให้ผู้คนตื่นตะลึงกึ่งประหลาดใจครั้งใหญ่ เมื่อเขาปฏิเสธเม็ดเงิน 1,500 ล้านบาทที่ไมโครซอฟท์เสนอให้
เกิดอะไรขึ้นกับผู้ชายคนนี้?
เขาไม่เห็นแก่เงิน? เขาชอบอยู่แบบสบายๆ เป็นตัวของตัวเอง เกลียดความยุ่งยากมากความ เพราะเมื่อจำหน่ายกิจการ คุณต้องเดินเข้าตลาดหลักทรัพย์โดยมีคณะผู้หิวเงินอีกมากมายหลายชีวิตเข้ามากำหนดเส้นทางธุรกิจกันวุ่นวาย แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร สิ่งที่ “กมลวรรณ ลิ้มทองกุล” วิเคราะห์ไว้นั้น ต้องนับว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะสำหรับมนุษย์บางจำพวกนั้น ต่อให้เงินกี่พันล้าน ก็ทำให้พวกเขา “จำหน่ายตัวเอง” ไม่ได้จริงๆ
“เรารู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ทำอะไรตามสัญชาตญาณน่ะค่ะ คืออย่างบางคน เวลาเราคุยด้วย เราจะรู้เลยว่าเขามีหัวด้านการค้าหรือเปล่า แต่สำหรับมาร์ค เรารู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น คือไม่ได้ทำอะไรเพื่อหวังความยิ่งใหญ่หรือร่ำรวย แต่ทำทุกสิ่งเพื่อความสนุก ความพอใจ แล้วพอเชื่อว่าอันนั้นดีอันนี้เจ๋ง ก็จะมีความเชื่อมั่นที่จะทำต่อไปมากกว่า”
บางที ที่หลายๆ คนบอกว่ามาร์คโง่ที่ไม่แคร์เงินพันล้าน แต่ลึกๆ เขาอาจจะมีแผนอะไรอยู่ในใจมากกว่านั้น เขาก็เพียงรอคอย...
“ผมไม่คิดว่าเราจะทำเงินจากโซเชียลเน็ตเวิร์กในแบบเดียวกับเสิร์ชเอนจิ้น ในอีก 3 ปีข้างหน้า เราต้องคิดรูปแบบที่ดีที่สุดให้ออก แต่ตอนนี้เรื่องนั้นยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญ”
แน่นอน หากความจริง เป็นเช่นที่มาร์คกล่าว เราคงได้เห็นสึนามิลูกใหม่ของเฟซบุ๊กที่จะมาปลุกกระแสให้โซเชียลเน็ตเวิร์กแห่งนี้บูมขึ้นยิ่งกว่าเดิม เพราะอะไรๆ ก็เป็นไปได้ ถ้ามันอยู่ในมือของอัจฉริยะ...
อกหัก-เครียด-กินเหล้า
หรือจะแปรความเหงาเป็นความงาม?
ถึงแม้เจ้าตัวจะออกมาปฏิเสธ หลังจากได้เห็นสิ่งที่หนังเรื่อง The Social Network ถ่ายทอดออกมา แต่ทว่ามันก็เป็นหนึ่งในตำนานเล่าขานอันสุดแสนโรแมนติกแกมเศร้าเกี่ยวกับเรื่องราวแห่งการ “อกหักอย่างสร้างสรรค์” ของผู้ชายคนนี้...
ในค่ำคืนหลังจากถูกหญิงสาวบอกเลิก สิ่งที่ซัคเกอร์เบิร์กลงมือทำ แทนที่จะโทร.เรียกเพื่อนมาเมาหยำเปเช่นเดียวกับเด็กหนุ่มอ่อนโลกคนอื่นๆ เขาเดินกลับเข้าห้องพักแล้วเปิดคอมพ์ขึ้นมา เริ่มต้นด้วยการเขียนข้อความระบายความรู้สึกลงในบล็อก ก่อนจะเกิดอารมณ์นึกสนุกแฮ็กเข้าฐานข้อมูลของมหาวิทยาลัยโหลดเอาภาพของนักศึกษาหญิงมาให้เพื่อนชายได้ร่วมโหวตกันว่าใครสวยกว่าใคร
แน่นอนว่า แม้ในท้ายที่สุด นั่นจะเป็นจุดที่ทำให้มหา’ลัยเรียกตัวไปเฉ่งจนเกือบจะถูกเด้งออกจากรั้วการศึกษา แต่ทว่ามันก็เป็นจุดเริ่มต้นแรกๆ ที่ทำให้ชื่อของ “มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก” เริ่มขยายเขตแดนสู่ความรับรู้ของสาธารณะ ซึ่งรายละเอียดยิบย่อยเป็นอย่างไร เราคงมิอาจบอกเล่าได้ครบถ้วน ณ ตรงนี้ แต่เท่าๆ ที่สัมผัสได้ก็คือว่า ถ้าไม่มีวันแห่งความเหงาเศร้าวันนั้น บางที เราอาจไม่มีโอกาสได้ล็อกอินเข้าไป Add เพื่อนๆ ในเฟซบุ๊กเลยก็ได้ ใครจะรู้?
10 ยอดคน
ผู้ยิ่งใหญ่ไร้ใบปริญญา
1.สตีฟ จ๊อบส์ ผู้ก่อตั้ง บริษัทแอปเปิล
2.บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้ง บริษัทไมโครซอฟท์
3.เฮนรี่ ฟอร์ด ผู้ก่อตั้ง บริษัทฟอร์ด มอเตอร์
4.ไมเคิล เดลล์ ผู้ก่อตั้ง บริษัท PC’s Limited
5.มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ผู้ร่วมก่อตั้งเฟซบุ๊ก
6.โคโค แชเนล ผู้ก่อตั้งแบรนด์แฟชั่น Coco Chanel
7.ไทเกอร์ วูดส์ นักกอล์ฟ
8.เลดี้ กาก้า ศิลปินนักร้องตัวแรง
9.ริชาร์ด แบรนสัน ผู้สร้างอาณาจักร Virgin
10.เจมส์ คาเมรอน ผู้กำกับภาพยนตร์
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|