เลี่ยวไพรัตน์เป็นกลุ่มธุรกิจที่พลิกแพลงตัวเองอยู่ตลอดเวลา เริ่มต้นสั่งสมทุนด้วยธุรกิจภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก
ครั้นถึงจุดจุดพลุกลับหักเหเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมได้อย่างมีศักดิ์ศรี บัดนี้ส่งมอบสู่มือที่
2 ด้วยความมั่นคงและท้าทายที่จะเป็นผู้นำอุตสาหกรรมยุคใหม่อย่างแท้จริง…
ความผันแปรต่อนเองของสถานการณ์แต่ละยุคสมัยให้คำตอบที่แจ่มชัดมากกว่าธุรกิจที่เคลื่อนไฟวไม่หยุดนิ่ง
ปรับตัวเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเยี่ยงธุรกิจของ "เลี่ยวไพรัตน์"
นั้นทรงอิทธิพลมากพอที่จะตัดสินชะตากรรมคนในประเทศให้ร้อนๆ หนาวๆ ได้ไม่ยากเย็น
"เลี่ยวไพรัตน์" ปรากฏตัวให้เป็นที่กล่าวขานด้วยการจ้วงจาบยามที่
ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะอึมครึมของสงครามโลกครั้งที่สองประสานเข้ากับหมากกลทางการค้าที่ตัวเองมีอยู่แล้วอย่างเหมาะเจาะ
"เลี่ยวไพรัตน์" อาศัยฐานความเป็นโรงสีไฟขนาดใหญ่ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการส่งมอบข้างเปลือกขายให้กับบริษัทข้าวไทย
ที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำและผ่อนคลายการกุมอำนาจเศรษฐกิจในการขายข้าวที่ตกอยู่ในกำมือของคนต่างชาติเสียเป็นส่วนใหญ่
ความสำเร็จของบริษัทข้าวไทยที่เอื้อพยุงฐานะของประเทศให้ทรงตัวอยู่ได้นั้น
ในอีกด้านหนึ่งย่อมต้องเป็นความสำเร็จของ "เลี่ยวไพรัตน์" อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และคนที่ต้องพูดถึงเป็นคนแรกของเลี่ยวไพรัตน์ ก็ย่อมหนีไม่พ้น พร เลี่ยวไพรัตน์
พร เลี่ยวไพรัตน์ - เป็นลูกชายคนแรกของเปี๊ยะยู้-ไน้ แซ่เลี่ยว คหบดีใหญ่ของเมืองสระบุรีที่มีกิจการค้ามากมายทั้งโรงสี
โรงฆ่าสัตว์ โรงเหล้า โรงยาฝิ่น เดิมทีครอบครัวของพรจะส่งเขาไปเรียนต่อที่เซี่ยงไฮ้
บังเอิญเกิดสงครามโลกขึ้นมาเสียก่อน เขาเลยชวดโอกาสดังกล่าว ทำให้พรต้องกลับมาช่วยทางบ้านทำการค้าอย่างจริงจัง
และเป็นเขานี่ล่ะที่เสนอความคิดขยายกำลังผลิตของโรงสีที่มีอยู่แลว้ให้ผลิตได้สูงถึง
40 เกวียน ทั้งนี้เพื่อมุ่งหวังควบคุมการส่งมอบข้าวให้กับบริษัทข้าวไทย
พรทำให้ "เลี่ยวไพรัตน์" ร่ำรวยขึ้นมาจนพุ่งขึ้นเป็นนายทุนข้ามชาติภาคเกษตรกรรมได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว
กระทั่งทำให้สนามภูธรที่เขาคลุกคลีอยู่กับพวกพืชไร้ทั้งหลายนั้นแคบเกินไปเสียแล้ว
ที่สุดพรจึงตัดสินใจเข้ามาวัดดวงความยิ่งใหญ่ในเมืองกรุงหลังสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง
คนที่รู้จักพรดีบอกว่า "พรทะเยอทะยานมานานแล้วที่จะเป็นพ่อค้าระดับโลก"!?
การย้ายฐานเข้ามาในกรุงเทพฯ แทนที่พรจะปักหลักหากินกับธุรกิจเดิม เขากลับปรับทิศไปตามความต้องการของสังคม
ซึ่งระยะนั้นการขายผ้าเป็นกิจการที่ทำรายได้ดีมาก พระจึงร่วมกับคนในตระกูล
"แต้ไพสิฎพงศ์" ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านกันมาจากสระบุรีตั้งร้านฮ่งเฮี้ยะเซ้ง
เพื่อเป็นเอเยนต์ค้าผ้าในระยะไล่เลี่ยกับที่สุกรี โพธิรัตนังกูร "เจ้าพ่อสิ่งทอ"
ตั้งร้านกิมย่งง้วน
ทั้งพรและสุกรีจับเส้นสายนายทหารถูก จึงทำให้กิจการค้าไปได้อย่างราบรื่น
โดยเฉพาะพรในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เขาสามารถเข้านอกออกในกลุ่มซอยราชครูของจอมพลผิน
ชุณหะวัณ พล.อ.เผ่า ศรียานนท์ และ พล.ต. ประมาณ อดิเรกสาร ได้อย่างสบายๆ
และพรก็ไม่รอช้าที่จะแฝงบารมีกลุ่มอำนาจกลุ่มนี้ให้ช่วยสนับสนุนเขาตั้งโรงงานทอผ้าลักกี้เท็กซ์ขึ้นมาในราวปี
2530
พรตัดสินใจได้รวดเร็วมาก เพราะหากเขายึดเวลาออกไปหนทางอาจไม่สะดวกอย่างที่คิดไว้ก็เป็นได้
เนื่องจากหลังปี 2500 กลุ่มซอยราชครูที่เขาสนิทสนมอยู่ด้วยนั้นได้หมดอำนาจวาสนาลง
พร้อมๆ กับที่กลุ่มสี่เสาเทเวศร์ก้าวขึ้นครองอำนาจทดแทน
ในการตั้งโรงงานลักกี้เท็กซ์พรได้เลือกเอาสมาน โอภาสวงศ์ แห่งบริษัทฮ่วยชวนค้าข้าว
ซึ่งเป็นผู้ส่งส่งออกข้าวรายใหญ่ในขณะนั้น และเป็นคนที่กว้างขวางในกลุ่มอำนาจต่างๆ
เข้าร่วมหุ้นด้วย นอกจากจะเป็นการกระจายความเสี่ยงแล้ว บารมีของสมานช่วงนั้นยังเกื้อหนุนช่วยเหลือพรในการติดต่อค้าขายกับส่วนงานต่างๆ
ให้หายใจได้คล่องคอยิ่งขึ้น
……………………
"เลี่ยวไพรัตน์" เป็นปึกแผ่นมากขึ้นเมื่อพรตัดสินใจตั้งบริษัทค้าข้าวธนาพรชัย
ด้วยความได้เปรียบที่มีโรงสีไฟปากเพรียว สระบุรี เป็นฐานการผลิตขนาดใหญ่จึงไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงอะไรเลย
ที่ธนาพรชัยจะกระโจนขึ้นติดอันดับ 1 ใน 5 ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อย่างรวดเร็ว
"เลี่ยวไพรัตน์" ในยุคของพร ตามเก็บดอกผลอยางมหาศาลได้อีกเมื่อเขาตั้งโรงงานทอกระสอบสหธัญพืชขึ้นมาเป็น
"เสือนอนกิน" เพราะเพียงแค่รับออร์เดอร์ผลิตกระสอบบรรจุข้าวให้กับผู้ส่งออกและโรงสีทั่วประเทศก็ลอยตัวได้แล้ว
พรยังใช้โรงสี-โรงทอกระสอบเป็นฐานรับซื้อพืชไร่ชนิดอื่นเพื่อส่งออกอีกด้วย
ในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งทศวรรษกลุ่มเลี่ยวไพรัตน์ เศรษฐีภูธรก็ผันตัวเองเป็นนายทุนระดับชาติที่น่าครั่นคร้ามยิ่งนัก!?
การขยายตัวของเลี่ยวไพรัตน์ในรุ่นที่ 1 นั้น ระยะแรกมุ่งอยู่กับภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก
กระทั่ง มาลินี เลี่ยวไพรัตน์ ลูกสาวคนโตของพรเรียนจบ
ระยกปี 2516 เป็นต้นมานับเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญยิ่งของกลุ่มเลี่ยวไพรัตน์
เนื่องจากในห้วงเวลานั้นกลุ่มนี้ได้แตกตัวขยายธุรกิจออกไปจากภาคเกษตรกรรมที่เคยทำมา
ที่สำคัญก็คือ การไปร่วมทุนกับตระกูลแต้ไพสิฎพงศ์ตั้งโรงงานผลิตอาหารสัตว์เบทาโกร-เซนทาโกร
ซึ่งถ้าเลี่ยวไพรัตน์ไม่แยกตัวออกมาเสียก่อนตามโครงการที่สมบูรณ์แบบของเลี่ยวไพรัตน์
แต้ไพสิฎพงศ์จะพัฒนาตัวเองให้เป็นกลุ่มปศุสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ ไม่แพ้กลุ่มเจริญโภคภัณฑ์
ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ลูกชายคนโตของพร ได้เคยบอกกับ "ผู้จัดการ"
ว่า หากคุณย่าของเขาไม่ขอร้องให้เลิกทำกิจการอาหารสัตว์แล้ว รับรองได้ว่า
เลี่ยวไพรัตน์เอาแน่ที่จะวัดดวงกับกลุ่มปศุสัตว์ขนาดใหญ่ทั้งหลาย ด้วยเชื่อว่าฐานกำลังเงินของเขากับแต้ไพสิฎพงศ์นั้นมีมากพอที่จะสู้คู่แข่งได้อย่งสบายๆ
……………………….
ดร.ประมวล เลี่ยวไพรัตน์ ลูกชายคนที่สามของพร เขาเดินทางกลับจากสหรัฐอเมริกา
พร้อมด้วยความรู้ด้านวิศวเคมีที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษในปี 2521 ทันทีที่เขากลับมาและพบว่า
หุ้นส่วนที่เลี่ยวไพรัตน์เคยถืออยู่ในเบทาโกร-เซนทาโกรได้ขายออกไปแล้วนั้น
เขาจึงเสนอความคิดที่จะดำเนินธุรกิจปิโตรเคมี-อุตสาหกรรมพลาสติก ซึ่งเป็น
"ของใหม่" ในเมืองไทยกับพี่น้อง
ปิโตรเคมีนั้นเป็นพื้นฐานสำคัญของอุตสาหกรรมพลาสติก ที่ประมวลมองว่าจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตมนุษย์มากขึ้นในอนาคต
เดิมทีโครงการนี้เคยมีคนศึกษามาแล้ว 2 ราย โดยรายหลังสุดก็คือ ปูนซิเมนต์ไทย
แต่พบว่าไม่มีทางเป็นไปได้จึงเลิกรา ทว่าด้วยความเชื่อมั่นในวิชาความรู้กอปรกับตรวจสอบก๊าซธรรมชาติที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตมีมากพอที่จะทำได้
ดังนั้นพี่น้องเลี่ยวไพรัตน์อันประกอบไปด้วย ประชัย - ประทีป - ประมวล จึงตัดวนใจตั้งบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมิคัลไทย
(ทีพีไอ.) ขึ้นมาในปี 2521 นั้นเอง นับเป็นการเปิดศักราชรุ่นที่ 2 ของเลี่ยวไพรัตน์ที่กระโดดเข้าสู่การลงทุนภาคอุตสาหกรรมอย่างเต็มตัว
รุ่นที่ 2 ของเลี่ยวไพรัตน์เปิดตัวด้วยความแข็งแกร่งทางการเงิน แต่ในสายตาคนทั่วไปมองเห็นถึง
"ความเปราะบาง" ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ของโครงการปิโตรเคมี!?
การขยายฐานธุรกิจของเลี่ยวไพรัตน์ในรุ่นที่ 2 นี้จะพบว่ายุทธศาสตร์ที่พวกเขาเลือกใช้นั้น
ค่อนข้าง "เสี่ยง" เอามากๆ ซึ่งหลายคนที่รู้จักตระกูลนี้ดีบอกว่า
"มันเป็นจิตสำนึก เป็นวิญญาณของลูกชายพรไปเสียแล้ว โดยเฉพาะกับประชัย
ลูกชายคนโต"
ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ - ปริญญาโท วิศวกรรมไฟฟ้า จากเบอร์กเลย์คนนี้ เขากลับมาเป็นแม่ทัพเอกของเลี่ยวไพรัตน์ทันทีที่เรียนจบ
แม้จะเรียนมาด้านวิศวกรรม แต่ประชัยก็แหลมคมในเรื่องการตลาดไม่แพ้กัน ระยะที่ธนาพรชัยรุ่งโรจน์ที่สุดในปี
2520 ก็เป็นปีที่ประชัยเข้ามาคุมกิจการแทนพ่ออย่างเต็มตัวแล้ว
ประชัยกับธนาพรชัยสร้างความตะลึงให้กับวงการค้าข้าวอย่างมาก เมื่อเข้าประมูลขายข้าวล็อตใหญ่ๆ
ได้ติดต่อกันหลายปี บางปีกลุ่มนี้สามารถส่งข้าวออกไปขายได้ถึง 500,000 ตัน
โดยเฉพาะการเสี่ยงขายข้าวให้กับตะวันออกกลางและอเมริกา ก็เป็นประชัยที่เป็นคนต้นคิด
ซึ่งสองตลาดนี้ยังไม่มีพ่อค้าข้าวรายไหนจะแหย่ธนาพรชัยได้เลย
ความกล้าที่จะเสี่ยงของหัวขบวนรุ่นที่ 2 อย่างประชัยมีอีกก็ในเรื่องการสต็อกข้าว
ซึ่งวิธีการนี้สุ่มเสี่ยงอยู่ไม่น้อย เนื่องจากราคาข้าวผันผวนขึ้นลงไม่แน่นอน
แต่ปรากฏว่าในปี 2530 ธนาพรชัยทำกำไรจากการสต็อกข้าว 200,000 ตันได้หลายร้อยล้าน
เพราะตอนซื้อ ซื้อมาแค่ตันละ 5,000 บาท ทว่าช่วงขายออกไปกลับขายได้สูงถึงตันละ
6,000 บาท
แต่ปี 2531 ที่ราคาขาวยังไม่สูงมากนัก และเป็นปีที่ธนาพรชัยสต็อกข้าวไว้อย่างมากมาย
จะเป็นการพิสูจน์ว่า "สิ่งที่ประชัยคาดคิดเอาไว้นั้นจะทำให้เขาเจ็บตัวหรือยิ้มระรื่น"!?
"ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า พวกเรากะเก็งอะไรไม่เคยผิดพลาด" ประชัยกล่าวกับ
"ผู้จัดการ"
สำหรับโครงการปิโตรเคมีผลิตเม็ดพลาสติกของเลี่ยวไพรัตน์ในนาม ทีพีไอ. เมื่อตกลงว่าเอาแน่จึงยื่นขอรับการส่งเสริมจากบีโอไอในปีนั้นเอง
โดยจะเริ่มผลิตเม็ดพลาสติกชนิด LDPE ได้ในปี 2526 ซึ่งเม็ดพลาสติกชนิดนี้เดิมทีไทยต้องนำเข้าจากญี่ปุ่นเสียเป็นส่วนใหญ่
โครงการของทีพีไอ.สะดุดขวากหนามเป็นระยะนับจาก หนึ่ง - แบงก์ปฏิเสธเงินกู้ต้องร่อนจม.ขอสนับสนุนด้านเทคโนโลยีจาก
UDHE และการเงินจาก KREDITANSTALTFUR WIEDERAUFBAW แห่งเยอรมนี สอง - ได้รับการคัดค้านจากลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมว่า
โรงงานของ ทีพีไอ.ที่ จ.ระยองจะเป็นตัวทำให้เกิดปัญหามลพิษ และ สาม - ถูกขัดขวางจากลุ่มผู้นำเข้าเม็ดพลาสติกที่จะต้องสูญเสียผลประโยชน์ไป
หากโครงการของ ทีพีไอ.ปรากฏผลเป็นจริง
ปี 2525 ทีพีไอ. เริ่มเดินเครื่องผลิตเม็ดพลาสติกชนิด LDPE แล้วมาปี 2527
ได้ขยายโรงงานการผลิตเม็ดพลาสติกชนิด LDPE/HDPE ปีละ 60,000 ตันเพิ่มขึ้นอีก
ปี 2529 โครงการทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ และทีพีไอ.ยังกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายหนึ่งในบริษัทปิโตรเคมีแห่งชาติ
ที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นแกนหลักของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีต่อเนื่องอีกด้วย
การกล้าเสี่ยงของทีพีไอ.สำเร็จผลค่อนข้างจะงดงามในก้าวเดินขั้นที่ 1 ถึงแม้จะมีกลุ่ม
อุตสาหกรรมอื่นกระโดดเข้ามาร่วมวงไพบูลย์ในระยะต่อมาของโครงการปิโตรเคมีแห่งชาติระยะที่
1 (NPC 1) แต่กลุ่มเหล่านั้นจะพูดได้เต็มปากหรือว่า "เขาเป็นผู้บุกเบิก"
ว่าไปแล้วมีเพียง ทีพีไอ. ที่สามารถอ้าปากพูดถึงศักดิ์ศรีดังกล่าวนี้เพียงรายเดียวเท่านั้นจริงๆ
การที่ ทีพีไอ.เป็นผู้ผลิตรายเดียวในระยะ 4-5 ปีก่อนหน้านี้ ทำให้กลุ่มนี้ถูกมองอย่างมากว่า
เป็นผู้สร้างบาดแผลให้กับผู้ใช้เม็ดพลาสติกอย่างมาก เนื่องจากราคาเม็ดพลาสติกได้เขยิบขึ้นอยู่บ่อยๆ
และมีบางครั้งที่ยี่ปั๊วหลายรายโวยวายจ่ายเงินล่วงหน้าให้ ทีพีไอ.แล้วแต่ไม่ได้รับของ
เป็นเพราะเหตุผลนี้เองที่ทำให้ทีพีไอ.ถูกเบรกอย่างมาก เมื่อขอรับการส่งเสริมผลิตเม็ดพลาสติกชนิดต่างๆ
ในโครงการ NPC 2
ไม่มีใครใคร่ไว้เนื้อเชื่อใจ ทีพีไอ. มากนักว่าจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นมาอีก
แต่แล้วด้วยสายสัมพันธ์ที่แข็งโป๊กกับหน่วยราชการทุกหน่วย ที่สุดโครงการ
NPC 2 ก็เป็นโครงการที่ ทีพีไอ. ได้รับสิทธิ์ส่งเสริมอย่างมากมายหลายโครงการ
ทำให้มองเห็นกันเลาๆ ได้แล้วว่า อนาคตของเศรษฐกิจไทยได้เลื่อนไหลไปอยู่ในอุ้งมือของเลี่ยวไพรัตน์ไม่น้อยเลย
!!??
อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่น่าชมเชยอย่างมากของคนรุ่นที่ 2 เลี่ยวไพรัตน์
ก็คือความหาญกล้าที่จะท้าทายการปฏิวัติอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ไม่มีใครคิดลองดีมาก่อน
ทั้งๆ ที่โลกของอุตสาหกรรมพลาสติกอันเป็นผลต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีนั้นนับว่าจะทวีความสำคัญมากขึ้นๆ
เครดิตที่ทำให้ทีพีไอ.ทำได้ เห็นจะเป็นเพราะความเป็น "มืออาชีพ"
ที่รู้จริงและรู้ลึกของคนในตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ ซึ่งเครดิตนี้เห็นทีจะต้องยกให้กับ
พร เลี่ยวไพรัตน์ อีกครั้งว่าเป็นเพราะเขาวางพื้นฐานการศึกษาของลูกๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการในอนาคตได้อย่างดีไม่มีที่ติ
พร มีลูกชาย-ลูกสาว ที่จะเข้ามาสานต่อความยิ่งใหญ่ของเลี่ยวไพรัตน์ 6 คนคือ
มาลินี เลี่ยวไพรัตน์ - นายกสมาคมประกันวินาศภัยผู้หญิงคนแรกของเมืองไทย
มาลินีจบปริญญาตรีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ แล้วได้รับทุนไปเรียนต่อด้านประกันภัยที่มหาวิทยาลัยจอร์เจีย
สหรัฐอเมริกา ความรู้ด้านคณิตศาสตร์ประกันภัยที่เธอจบมานั้น มีคนไทยจบมาไม่กี่คน
มาลีนี้ดูแลงานด้านไฟแนนซ์อยู่ที่บางกอกสหประกันภัยและคาเธ่ย์ไฟแนนซ์ ปี
2529 เธอทำกำไรให้กับบางกอกฯ ถึง 70 ล้าน
ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ - มือขวาคู่บุญของพร เรียนปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์
จุฬาฯ เพียงปีเดียวแล้วได้รับทุนโคลัมโบไปเรียนต่อที่สาขาเดิมที่นิวซีแลนด์
จากนั้นจึงเรียนต่อจนจบปริญญาโทวิศวกรรมไฟฟ้า ที่มหาวิทยาลัยเบอร์กเลย์ ประชัยเคี่ยวกรำงานอย่างหนักในธนาพรชัยเพื่อรับภาระเป็นเสาหลักของตระกูล
ปัจจุบันนี้เขาเป็นเสนาธิการของเลี่ยวไพรัตน์ที่จะทำธุรกิจทุกประเภท
ประทีป เลี่ยวไพรัตน์ - จบปริญญาตรี วิศวกรรม จุฬาฯ แล้วไปจบโทวิศวกรรม
สาขา INDUSTRIAL ENGINEERING ที่สแตนฟอร์ด ก่อนเข้ามารับผิดชอบในโรงงานอาหารสัตว์เบทาโกร-เซนทาโกร
ปัจจุบันนี้เขาเป็นผู้ดูแลด้านการตลาดเม็ดพลาสติกของ ทีพีไอ.
ดร.ประมวล เลี่ยวไพรัตน์ - จบปริญญาตรีที่เบอร์กเลย์ แล้วสนใจเรียนด้านปิโตรเคมีที่เอ็มไอทีจนจบปริญญาเอก
เขาเป็นกำลังหลักในเรื่องความคิดอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของเลี่ยวไพรัตน์เป็นคนเดียวที่เลี่ยวไพรัตน์กล้าพิสูจน์ว่า
"รู้ดีที่สุดในเรื่องปิโตรเคมีของเมืองไทย"
ประหยัด เลี่ยวไพรัตน์ - จบปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ แล้วไปจบปริญญาโทที่มิชิแกน
ปัจจุบันรับผิดชอบคุมโรงงานทอกระสอบสหธัญพืช
ดวงมณี เลี่ยวไพรัตน์ - จบปริญญาตรี บริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรามคำแหง แล้วแต่งงานกับนักธุรกิจชาวมาเลเซีย
ซึ่งมีโรงงานผลิตแป้งสาลีขนาดใหญ่ในกัวลาลัมเปอร์
พร เลี่ยวไพรัตน์ เขาอาจมีพื้นฐานมาจากธุรกิจภาคเกษตรกรรม แต่จะเห็นได้ว่าพรกลับไม่ได้ปูพื้นการศึกษาด้านเกษตรกรรมให้กับลูกๆ
เลย เขาส่งเสริมให้ลูกๆ เรียนทางด้านวิทยาศาสตร์-วิศวกรรมศาสตร์เสียมากกว่า
อาจเป็นเพราะว่า พรมองการณ์ไกลว่า อนาคตประเทศไทยจะเบี่ยงเบนสู่ความเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่มากยิ่งขึ้น
สิ่งที่พรคิดและเป็นเรื่องที่ลูกๆ ของเขาชอบอยู่ด้วยกำลังจะเป็นจริงในไม่ช้า
ประเทศไทยกับความหวังใหม่ของการเป็น "นิคส์" นั้นอยู่ไม่ไกลเกินฝัน!!!!
การบริหารธุรกิจครอบครัวของ "เลี่ยวไพรัตน์" นั้นแม้ว่าลูกๆ ของพรทุกคนจะเป็นคนสมัยใหม่
แต่จะเห็นได้ว่าพวกเขาไม่ได้นำเอาระบบบริหารด้วยมืออาชีพเข้ามาใช้มากนัก
ทั้งนี้เพราะว่าพวกลูกๆ ทุกคนมีความสามารถเพียงพอที่จะเป็นมืออาชีพเสียเอง
มีคนพูดกันมากว่าโครงสร้างการเติบโตของอุตสาหกรรมในประเทศไทย ที่เสียดุลมาช้านานแล้วนั้นอาจได้รับการยกระดับขึ้นมาก็ด้วยฝีมือของคนในตระกูลเลี่ยวไพรัตน์!!!!
ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เขาเอ่ยกับ "ผู้จัดการ" ว่า "พวกน้องๆ
ของผมเขาบรรลุความตั้งใจในสิ่งที่เขาเรียนกันมาแล้ว ประมวลก็ทำให้ ทีพีไอ.กับปิโตรเคมีเป็นจริง
สำหรับผมเองนั้นยังไม่ได้ทำในสิ่งที่ผมชื่นชอบเลย นั่นก็คือ ผมสนใจงานด้านไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เป็นอย่างมาก"
เขาตอกย้ำกับ "ผู้จัดการ" อีกครั้งว่า ทิศทางเดินต่อไปของเลี่ยวไพรัตน์ในรุ่นที่
2 นั้นจะให้ความสนใจงานด้านอุตสาหกรรมเป็นหลัก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอิเล้กทรอนิกส์ที่จะต้องเข้ามามีส่วนสำคัญต่อชีวิตคนเราอย่างมากในอนาคตนั้น
ณ เวลานี้เขากับเลี่ยวไพรัตน์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ….
ก็ถ้าดูพื้นฐานความรู้ของประชัยกับน้องๆ ของเขาแล้ว เรื่องที่เลี่ยวไพรัตน์จะเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทยก็สำเร็จไปแล้วหลายส่วน
ซึ่งถ้าจะให้ถึงที่สุดแล้ว เครดิตความเป็นนักเรียนทุนวิศวกรรมของคนในตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ทั้งหลายน่าจะมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการพลิกผันพัฒนาเทคโนโลยีทีเป็นของไทยๆ
เราขึ้นมาเอง
น่าเชื่อว่า คนรุ่นที่ 2 เลี่ยวไพรัตน์ก็ปรารถนาจะให้เป็นอย่างนี้เช่นกัน!!!!