|
ส่องยุทธศาสตร์ 3 แบรนด์ขายตรงนู สกิน-แอมเวย์-กิฟฟารีน ลุยโค้งสุดท้าย
ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์(29 พฤศจิกายน 2553)
กลับสู่หน้าหลัก
เมลิซ่า ทันโทะโกะ ประธาน นู สกิน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สงครามขายตรงร้อนระอุทุกตารางนิ้ว เมื่อ 3 ผู้เล่นหลักเปิดเกมรุกจนโค้งสุดท้ายหวังโกยยอด-ชิงคน ล่าสุด “นู สกิน” วาง 3 ยุทธศาสตร์ นวัตกรรม-ขยายเครือข่าย-การให้ผลตอบแทน เพื่อปิดยอดขายระดับริจินัล 10,000 ล้านบาท ใน 5 ปีนับจากนี้ และติด Top 5 ขายตรงทั้ง 6 ประเทศ ด้าน “กิฟฟารีน” มุ่งให้ความรู้ พร้อมชูสินค้าความงามและสินค้าเพื่อสุขภาพเป็นเรือธง เพื่อปิดโจทย์ 5 พันล้านในสิ้นปี ขณะที่ “แอมเวย์” เท 700 ล้านบาท อัดแคมเปญผลตอบแทน พร้อมเปิดแผนส่งเสริมการขายสะสมคะแนนมัดใจนักธุรกิจยาวถึงปี 2555
ศึกชิงคนในธุรกิจขายตรงโดยเฉพาะระบบขายตรงแบบหลายชั้น (MLM) ร้อนแรงคึกคักจนโค้งสุดท้าย และอาจพูดได้ว่าครึกครื้นมากสุดปีหนึ่ง เพราะตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ผู้เล่นทั้งรายเล็กรายใหญ่ต่างระดมกำลังออกมากระตุ้นนักขายหน้าเก่า พร้อมขยายฐานสร้างสมาชิกใหม่กันอย่างอุตลุด หลังอัตราคนว่างงานเพิ่มขึ้นและผู้บริโภคต้องการหารายได้เสริมในยุคเศรษฐกิจเช่นนี้
แน่นอนว่า ยิ่งในช่วงโค้งสุดท้าย ที่ถือว่าเป็นไฮซีซันหรือฤดูกาลจับจ่ายใช้สอย บรรดาผู้เล่นทั้งหลายย่อมทุ่มสรรพกำลังอย่างเต็มที่เพื่อช่วงชิงทั้งกำลังซื้อและกำลังคนให้มากที่สุด โดยเฉพาะผู้เล่นระดับแถวหน้าในวงการขายตรง ย่อมไม่พลาดโอกาสทองในช่วงนี้ ล่าสุด “นู สกิน” ผู้เล่นที่ติดอันดับ Top 5 ขายตรงบ้านเราก็ออกมาเผยยุทธศาสตร์การบุกชิงยอดขาย ที่ครั้งนี้กำหนดเป้าหมายระยะยาวถึง 5 ปี ภายใต้ 2 โจทย์สำคัญ คือ การดับเบิลยอดขาย นู สกิน ในไทย หรือปิดยอดขายกว่า 4 พันล้านบาท และการคว้าตัวเลขที่ 10,000 ล้านบาทในระดับริจินัล รวม 6 ประเทศ ประกอบด้วย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน และไทย ที่ตอนนี้เหลืออยู่ 3 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ที่ติดเพียง Top 10
สำหรับเกมรุกเพื่อบรรลุเป้าหมายใน 5 ปีนับจากนี้ “นู สกิน” ได้กำหนดออกมาเป็น 3 ยุทธศาสตร์หลัก ดังนี้ 1.นวัตกรรม จัดว่าเป็นจุดขายและจุดแข็งสำคัญของแบรนด์ขายตรง โดย “ผลิตภัณฑ์กลุ่มแอนไท เอจจิ้ง” เป็นสินค้าที่ผู้เล่นรายนี้ให้ความสำคัญ เรียกว่าวางเป็นสินค้าเรือธงในการบุกตลาด ล่าสุดได้เปิดตัว “เอจล็อค ทรานสฟอร์เมชั่น” นวัตกรรมเพื่อการลดเลือนริ้วรอยออกมาจับกลุ่มไฮเอนด์อายุ 25 ปีขึ้นไป ที่จัดว่าเป็นไฮไลต์ของ นู สกิน ปีนี้ เพราะหากดูจากผลงานที่เปิดตัวในสหรัฐอเมริกา 3 วันแรก ที่ทำยอดขายได้ถึง 600 ล้านบาท หรือการเปิดตัวที่เกาหลีทำได้สูงถึง 900 ล้านบาท ก็เป็นตัวการันตีได้ว่านวัตกรรมนี้จะเป็นทีเด็ดในการคว้าแชมป์สินค้ากลุ่มนี้
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ นู สกิน สนใจและมุ่งมั่นคว้าตำแหน่งผู้นำสินค้าหมวดนี้มาครองให้ได้ เนื่องจากตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อลดเลือนริ้วรอยเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง และมีส่วนแบ่งทางการตลาดมูลค่ากว่า 1,100 ล้านบาท หรือ 14% ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าที่มีมูลค่าประมาณ 7,800 ล้านบาท เรียกได้ว่าถ้า นู สกิน สามารถคว้าแชมป์ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ได้ ย่อมทำให้แบรนด์มีภาพลักษณ์ที่ชัดเจนและตอกย้ำการเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์ความงามมากยิ่งขึ้น แม้ “แอมเวย์” เบอร์ 1 ขายตรงบ้านเราจะหันมารุกเข้มสินค้ากลุ่มนี้อย่างเต็มที่ โดยมีแบรนด์ “อาร์ทิสทรี” เป็นหัวหอกปักธงในสินค้ากลุ่มความงาม และถือเป็นผู้นำในสินค้ากลุ่มนี้ก็ตาม แต่ถ้าแยกย่อยลงไปยังเซกเมนต์แอนไท เอจจิ้งแล้ว จะเห็นว่าการแข่งขันระหว่าง 2 แบรนด์นี้ก็สูสีไม่น้อย
“จากการศึกษาตลาด และพฤติกรรมผู้บริโภคพบว่า ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพเห็นผลการใช้จริง จึงทำให้ผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยในระดับพรีเมียมยังคงได้รับความนิยมอย่างสูงและต่อเนื่อง จากตัวเลขประชากรศาสตร์ในประเทศไทยกำลังบ่งชี้ว่าผู้บริโภคไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่วัยสูงอายุมากขึ้น คาดว่าในอีกแค่ 10 ปีข้างหน้าจะมีผู้สูงอายุเพิ่มเป็น 7 ล้านคน หรือ 10% ของประชากรทั้งหมด จึงเป็นโอกาสทางการตลาดของ นู สกิน ในการเดินหน้าบุกตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอย ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่นู สกิน มีความเชี่ยวชาญ และเป็นจุดแข็งที่ได้รับการยอมรับจากตลาดและผู้บริโภคเสมอมา” ภคพรรณ ลีวุฒินันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นู สกินเอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเมื่อครั้งเปิดตัวนวัตกรรม เอจล็อค ทรานสฟอร์เมชั่น
2.การให้ผลตอบแทนนักธุรกิจ อีก 1 เครื่องมือสำคัญของธุรกิจขายตรงในการกระตุ้นสมาชิกและนักธุรกิจให้ทำยอดขายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีที่ผ่านมา นู สกิน มีการปรับโปรแกรมคำนวณสูตรใหม่เพื่อช่วยขยับผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 1-2% ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่กลางปี 2552 โดย “เวลท์ แมกซิไมเออร์” เป็นสูตรคำนวณผลตอบแทนที่ใช้ร่วมกันทั่วโลก หลังจากที่ นู สกิน ให้ผลตอบแทนกับนักขายในสัดส่วน 43% จากยอดขาย 100% มาประมาณ 3 ปี นับเป็นค่าตอบแทนสูงสุดเป็นอันดับ 1 เมื่อเทียบกับผู้เล่นขายตรงแบรนด์อื่น ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าวถือว่าสอดคล้องและเป็นไปตาม Message ที่ได้รับจากบริษัทแม่ นู สกิน คือ การเน้นเรื่องผลประโยชน์ตอบแทนเพื่อจูงใจให้คนมาทำธุรกิจขายตรงมากขึ้น
“เวลท์ แมกซิไมเออร์เป็นโปรแกรมที่เน้นดึงสมาชิกใหม่ควบคู่กับกระตุ้นสมาชิกเดิมให้สร้างยอดขาย ซึ่งผลจากการใช้มา 1 ปี พบว่าได้การตอบรับที่ดี และเป็นแผนคำนวณที่ดีที่สุดในตอนนี้ โดย 3 ปีนับจากนี้จะยังไม่มีการปรับแผนผลตอบแทน” เป็นคำกล่าวของ เมลิซ่า ทันโทโกะ ประธาน นู สกิน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้บริหารที่สร้างอัตราเติบโตให้กับ นู สกิน ได้เร็วที่สุด ที่ล่าสุดได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้บริหารชาวเอเชียยอดเยี่ยม (Best Asian Executive) จาก ดิ อินเตอร์เนชั่นแนล บิสซิเนส อวอร์ด
จากการออกโปรแกรมคำนวณผลตอบแทนของ นู สกิน ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เป็นไปได้ว่าส่งผลต่อคู่แข่งไม่มากก็น้อย เพราะเมื่อเร็วๆ นี้ ผู้เล่นอย่าง “แอมเวย์” ที่ปีนี้ไม่เพียงจะประกาศปิดตัวเลขยอดขายทะลุ 14,000 ล้านบาทเท่านั้น แต่ผู้นำรายนี้ก็ยังประกาศเปิด “แผนส่งเสริมการขายพิเศษ” ภายใต้งบกว่า 700 ล้านบาทต่อปี เพื่อขอบคุณและกระตุ้นนักธุรกิจแอมเวย์ชนิดที่เรียกว่าเป็นแคมเปญลากยาวถึงปี 2555 ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการดักและสกัดความแรงจากฝั่ง นู สกิน อีกทางหนึ่งด้วย
กิจธวัช ฤทธีราวี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า แผนส่งเสริมการขายดังกล่าว จะเริ่มสะสมคะแนนตั้งแต่วันนี้ถึงกุมภาพันธ์ 2555 ซึ่งแบ่งเป็น 3 รายการ ได้แก่ รายการที่ 1 การเพิ่มฟรี 20% สำหรับคะแนนสัมมนาท่องเที่ยว เพื่อช่วยให้นักธุรกิจแอมเวย์สามารถทำคุณสมบัติเพื่อให้ได้รับเชิญเข้าร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปี กับการท่องโลกกว้างกับแอมเวย์ที่เมืองลาสเวกัส และแอมเวย์ สหรัฐอเมริกา ในปี 2555 ได้ง่ายยิ่งขึ้น รายการที่ 2 เป็นรายการแชมเปี้ยนโบนัส โดยโบนัสพิเศษที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยคำนวณตามการเติบโตและความทุ่มเทของนักธุรกิจแอมเวย์ และ รายการที่ 3 เป็นเงินรายได้พิเศษทวีคูณ โดยจะเพิ่มให้อีกเท่าตัวของ แชมเปี้ยนโบนัสที่ได้รับ เพียงนักธุรกิจแอมเวย์สามารถดำรงคุณสมบัติตามที่กำหนด และปฏิบัติตามระเบียบ โดยเป็นรายการที่ได้ทั้งเที่ยว เงินรางวัล ไม่แค่นั้น แอมเวย์ยังอัดยาแรงด้วยการต่อยอดรางวัล ด้วยการประกาศแผน 3 ปี “ท่องโลกกว้างกับแอมเวย์” กับ 11 การท่องเที่ยวทั่วโลก อาทิ กุ้ยหลิน สาธารณรัฐประชาชนจีน, ประเทศเกาหลีใต้, ลาสเวกัส-แอลเอ ประเทศสหรัฐอเมริกา, อียิปต์, เวียนนา ประเทศออสเตรีย, อิสตันบูล ประเทศตุรกี
3.การพัฒนาบุคลากรและการขยายเครือข่าย ยุทธศาสตร์ข้อสุดท้ายที่ นู สกิน ให้ความสำคัญและมองว่าเป็นปัจจัยในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต สำหรับเครื่องมือข้อนี้ ผู้บริหาร นู สกิน บอกว่า บริษัทจะเน้นการอบรมพัฒนาบุคลากร สมาชิกหรือตัวแทนจำหน่ายให้มีประสิทธิภาพและความพร้อมมากที่สุด นอกเหนือจากการพัฒนาสินค้าหรือการทำตลาดให้ตัวแทนจำหน่ายเกิดความง่ายในการเข้าถึงและขายสินค้าให้กับผู้บริโภค เช่น การจัดโรดโชว์ทั่วประเทศต่อเนื่องทั้งปี
“นอกจากผลตอบแทน การสร้างทัศนคติที่ดีในการทำงาน การสร้างระบบเทรนนิ่งขึ้นมาเพื่อเพิ่มทักษะการทำงาน ที่ดำเนินการไปแล้ว 2 ปีก่อนหน้านี้ คือ Hug Program ที่เราทำกับตัวแทนจำหน่าย ผลก็คือ เรามีพนักงาน 80% ที่ทำงานอยู่กับองค์กรมานานเกิน 10 ปีขึ้นไป”
ไม่เพียงแต่ นู สกิน เท่านั้นที่ออกมาเปิดเกมรุกด้านนี้ เพราะ “กิฟฟารีน” ผู้เล่นที่รั้งเบอร์ 2 ก็เดินหน้าบุกอย่างเต็มที่เช่นกัน โดย พงศ์พสุ อุณาพรหม ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด กล่าวว่า แผนการตลาดของกิฟฟารีนยังคงมุ่งเน้นการให้ความรู้กับสมาชิกหรือนักธุรกิจอิสระเพื่อให้ความรู้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการจัดกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้า ที่ในช่วงหลังกิฟฟารีนหันมาบุกสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพมากขึ้น ดูจากสัดส่วนยอดขายของสินค้ากลุ่มนี้ที่มีสูงถึง 30% ของยอดขาย เนื่องจากกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เช่น กลุ่มวิตามินหรือกลุ่มดูแลสุขภาพทั่วไปมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ซึ่งในปีนี้ทางกิฟฟารีนตั้งเป้าการเติบโตของกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมไว้ราว 10% โดยสินค้าที่จำหน่ายนั้นแบ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพในกลุ่มวิตามิน70% และอื่นๆ อาทิ กลุ่มความงาม 30% นอกจากนี้ กิฟฟารีนยังเปิดตัวแบรนด์ “เทนชิ” แบรนด์ผลิตภัณฑ์ความงามที่พัฒนาร่วมกับบริษัทในประเทศญี่ปุ่น โดยหวังออกมาโกยยอดขายแข่งกับอาร์ทิสทรีของแอมเวย์ พร้อมช่วยปิดยอดขายรวมปีนี้ที่ 5,000 ล้านบาท
และนี่คือการวางแผนรบในช่วงโค้งสุดท้ายของ 3 ผู้นำขายตรงบ้านเรา แต่ที่เรียกว่าคิดการใหญ่ชวนให้ติดตาม คงต้องยกให้ “นู สกิน” ที่ครั้งนี้วางแผนรบเพื่อบรรลุเป้าหมายใหม่ ด้วยการสร้างยอดขายในระดับริจินัลให้แตะ 10,000 ล้านบาทให้ได้ภายใน 5 ปี รวมทั้งต้องติด Top 5 ในตลาดขายตรงทั้ง 6 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย ติดตามกันต่อไปว่า นู สกิน จะพิชิตเป้าหมายได้หรือไม่ เชื่อว่าการเติบโตของ นู สกิน ในไทย ย่อมเป็นตัวชี้วัดได้ไม่มากก็น้อย
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|