เท้าไม่เปลือยเปล่าของจงสถิตย์วัฒนามรดกธุรกิจจากชนรุ่น 1 ถึง รุ่น 2 บนความปึกแผ่น


นิตยสารผู้จัดการ( กันยายน 2531)



กลับสู่หน้าหลัก

ธุรกิจครอบครัวนี้ สืบทอดมาสู่ชนรุ่น 2 อย่างเต็มที่แล้ว หลังจากจงฮิวกวง ผู้บุกเบิกได้วางมือไปตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่เมื่อปี 2513 ภาระในการนำธุรกิจนี้ไปสู่การเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป บนรากฐานของการยอมรับในระบบอาวุโสและความสามัคคีกันอย่างเหนียวแน่นในหมู่พี่น้อง เป็นตัวอย่างอีกกรณีหนึ่งที่น่าศึกษาถึงศักยภาพของระบบธุรกิจครอบครัวไทยในทศวรรษนี้

ลูกเอ๋ย… เราทำมาหากินเกี่ยวกับของเบื้องต่ำ อย่าไปหวังร่ำรวยอะไรกันนัก พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องก็พอ…" จงอิวกวงพูดกับลูกๆ เมื่อกว่า 30 ปีก่อน…

คำพูดของผู้พ่อที่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ กับลูกๆ นี้ บ่งบอกถึงส่วนลึกของคนจีนโพ้นทะเลในยุคสมัยนั้นส่วนใหญ่ ที่หอบเสื่อผืนหมอนใบข้ามน้ำข้ามทะเลหากินในเมืองไทย เพียงเพื่อความปรารถนาจะมีชีวิตรอด ดำรงชีพอย่างสมถะ ไม่ได้หวังร่ำรวยอะไร

"จงอิวกวง" เป็นชนรุ่นบุกเบิกธุรกิจครอบครัว "จงสถิตย์วัฒนา" ที่ทำธุรกิจซื้อมาขายไปรองเท้าหนังยี่ห้อ 555 มาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยปักหลักอยู่ที่เยาวราชย่านไชน่าทาวน์ของไทย

สงครามทำให้ "จงอิวกวง" สูญเสียที่มั่นในการประกอบอาชีพ เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ ด้วยจิตใจที่ทรหดอดทน เข้าหาทำเลค้าขายใหม่ มาอยู่ที่เจริญกรุงบริเวณสามแยก

จงอิวกวง ไม่ทำมาหากินอย่างอื่นเลย เขายังคงสร้างหลักปักฐานอยู่กับรองเท้าอย่างเดียวเท่านั้น… สงครามไม่ทำให้เขามีจิตใจหวั่นไหวเลย

เมื่อสงครามยุติลง จงอิวกวง ยังคงค้าขาย (ปลีก) รองเท้ายี่ห้อ 555 ของเขาต่อไป ลูกค้าทั้งหมดก็เป็นคนในเมืองหลวงนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน กล่าวกันว่า รองเท้าที่จงอิวกวงนำมาขายนั้น ผลิตขึ้นในประเทศไทยนี้เอง เป็นหัตถกรรมในครัวเรือน หนึ่งในจำนวนนี้คือบริษัท SCS ในปัจจุบันนี้เอง

ออกจะเป็นเรื่องแปลกที่ จงอิวกวง ไม่เคยร่ำเรียนการตลาดหรือบริหารธุรกิจสาขาใดมาก่อน แต่การค้าขายกับลูกค้าชาวจีนในเมืองหลวง เป็นประสบการณ์ที่ดีที่ทำให้เขารับรู้ว่า สินค้ารองเท้ายี่ห้อ 555 ที่เขาตั้งขึ้นดูจะเป็นชื่อที่เรียกขานกันได้ยาก ด้วยชาวจีนมีสำเนียงพูดไม่ชัดเจน ความทรงจำในยี่ห้อสินค้า ซึ่งในหลักการบริหารธุรกิจสมัยใหม่ถือว่าเป็นหัวใจในการค้าขาย ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในจิตใจผู้ซื้อ

จงอิวกวง จับจุดนี้ออก เขาจึงเปลี่ยนยี่ห้อรองเท้าใหม่จาก 555 เป็น "ตราอูฐ" ที่มีความหมายถึงความทนทาน และเรียกขานกันได้ง่าย

นับแต่นั้นธุรกิจค้าขายรองเท้าของจงอิวกวงก็เริ่มติดลมบน!…

ตลาดค้าปลีกในเมืองหลวงแคบเกินไปเสียแล้ว จงอิวกวงเริ่มเล็งตลาดออกไปที่ต่างจังหวัด ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนจีนที่มีความรู้แคบในการหยั่งรู้ถึงรสนิยมในการซื้อรองเท้าของคนต่างจังหวัด แต่เขาก็มี "พิชัย" ลูกชายคนโตที่เกิดจากภรรยาคนที่ 2 เป็นคนคอยช่วยเหลือในการบุกเบิกตลาด

พิชัย เป็นลูกชายคนโตของจงอิวกวง เขาจบจากอัสสัมชัญ แล้วไปทำงานฝ่ายขายอยู่ที่บริษัทคอลเกตฯ อยู่ 1 ปี การเป็นเซลส์แมนอยู่ที่คอลเกตฯ ทำให้พิชัยมีประสบการณ์ในการทำตลาดต่างจังหวัด ที่นำมาปรับใช้ให้กับธุรกิจของครอบครัวมากๆ

จงอิวกวง มีลูกอยู่หลายคน คนโตสุดเกิดจากภรรยาคนแรกชื่อ เจริญ ส่วนพิชัยเป็นลูกชายคนโตที่เกิดจากภรรยาคนที่สอง เจริญกับพิชัย เมื่อออกมาทำงานกับครอบครัว จงอิวกวงให้เขาทั้ง 2 แยกความรับผิดชอบออกจากกัน

เจริญ รับผิดชอบตลาดขายปลีกในเมืองหลวงในนามบริษัทสิงคโปร์ สโตร์ ขณะที่พิชัยรับผิดชอบตลาดต่างจังหวัด ในนามบริษัทเกษมเทรดดิ้ง

การให้ลูกๆ ที่เกิดต่างมารดา แยกความรับผิดชอบในธุรกิจครอบครัวออกจากกัน นับว่าเป็นความฉลาดของจงอิวกวง เพราะวิธีการนี้สะท้อนให้เห็นว่า จงอิวกวงได้ปูพื้นฐานโครงสร้างการทำธุรกิจครอบครัวให้แก่ชนรุ่น 2 ได้เป็นระบบขจัดปัญหาการแย่งชิงทรัพย์สินกันในภายหลัง เมื่อตนเองปลดเกษียณลง

จงอิวกวง เริ่มเปลี่ยนมือจากธุรกิจเพื่อผ่องถ่ายไปให้ลูกๆ เมื่อปี 2513 เขาก็เหมือนกับคนจีนโพ้นทะเลทั่วไปที่ภายหลังสร้างหลักปักฐานให้แก่ครอบครัวได้ ก็คิดจะปลดเกษียณเมื่อวัยชราได้มาเยี่ยมเยือน

"ตอนปล่อยมือ คุณพ่อปล่อยจริงๆ ธุรกิจทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นที่สิงคโปร์ สโตร์ และเกษมเทรดดิ้ง ท่านให้ลูกๆ ทำกันเองหมด ท่านให้เวลาที่เหลือท่องเที่ยวพักผ่อนอย่างเดียว เพื่อความสุขในบั้นปลาย" พิษณุ จงสถิตย์วัฒนา ลูกชายคนที่ 4 ต่อจากพิชัย พิเชษฐ์ พิจิตร ที่เกิดจากภรรยาคนที่ 2 ของจงอิวกวง เล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง หลังจากพยายามชี้ให้เห็นว่า จงอิวกวงเป็นเถ้าแก่คนจีนโพ้นทะเลน้อยรายเหลือเกิน ที่ปลดเกษียณตัวเองจากธุรกิจขณะที่มีชีวิตอยู่อย่างจริงๆ โดยไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวเลย

"ผมรู้สึกแปลกใจเอามากๆ ที่คุณพ่อทำใจได้เช่นนั้นจริงๆ" พิษณุกล่าว พิชัยและน้องที่เกิดจากภรรยาคนที่สองของจงอิวกวงได้มรดกจากพ่อ คือ บัญชีลูกหนี้ต่างจังหวัด ขณะที่เจริญลูกที่เกิดจากภรรยาคนแรกของจงอิวกวง ได้บัญชีลูกหนี้ในกรุงเทพฯ ไป

พิชัยยอมรับว่า การแบ่งบัญชีลูกหนี้กัน แม้จะเป็นความต้องการของจงอิวกวง แต่ลึกๆ แล้ว พิชัยก็ยังสงสัยอยู่ เพราะขณะนั้นเจริญเป็นคนคุมการเงินของบริษัททั้ง 2 แห่ง

จุดนี้เชื่อมโยงไปสู่ปัญหาการทะเลาะเบาะแว้งกันในชนรุ่น 2 อย่างช่วยไม่ได้ หลังจากจงอิวกวงได้เสียชีวิตลงเมื่อปี 2516

สาเหตุการทะเลาะเบาะแว้งก็อยู่ที่เรื่องเจริญซึ่งคุมการเงินของบริษัททั้ง 2 แห่ง ต้องการขาย TRADE MARK LICENSE ยี่ห้อตราอูฐออกไปในราคา 10 ล้านบาท แต่พิชัยไม่ยอมเพราะถือว่าตนเองเป็นผู้บุกเบิกยี่ห้อตราอูฐมากับมือจนติดตลาด

"คุณเจริญ เป็นคนจดทะเบียนลิขสิทธิ์ยี่ห้อนี้ ผมเสนอให้โอนลิขสิทธิ์นี้มาให้ แต่คุณเจริญไม่ยอมเพียงต้องการให้ผมทำตลาดให้อย่างเดียวเท่านั้น" พิชัยกล่าว

เมื่อตกลงกันไม่ได้ พิชัยกับน้องๆ ก็แยกตัวออกมาทำเอง โดยจัดตั้งบริษัทรองเท้าตราอูฐขึ้นเมื่อปี 2520 โดยมุ่งหวังจะสร้างยี่ห้อใหม่ขึ้นมาคือ AA

ตรงนี้เอง คือจุดแยกกันอย่างสิ้นเชิงในทางธุรกิจของชนรุ่น 2 ที่เกิดต่างมารดากันของครอบครัว "จงสถิตย์วัฒนา" และประวัติศาสตร์ธุรกิจครอบครัวตระกูลนี้ของชนรุ่น 2 ที่เกิดจากภรรยาคนที่ 2 ของจงอิวกวงก็เริ่มขึ้นอยางจริงจัง

ชนรุ่น 2 ของสายเมียคนที่ 2 จงอิวกวง ประกอบด้วยพิชัย พิเชษฐ์ พิจิตร พิษณุ สุนันทา พิชิต สุวรรณา และพิศิษฐ์ ช่วงการลงหลักปักฐานบริษัทรองเท้าตราอูฐ มีพิชัย พิเชษฐ์ และพิจิตร เป็นหัวเรือใหญ่

บริษัทรองเท้าตราอูฐ จดทะเบียนด้วยทุน 4 ล้านบาท พิชัยและพิเชษฐ์ ถือหุ้นคนละ 10% ลักษณะการทำธุรกิจในช่วงแรกนี้ยังคงเป็นการซื้อมาขายไปเหมือนเดิม สินค้าที่ขายเป็นรองเท้าหนัง และรองเท้านักเรียน ยี่ห้อ AA ซึ่งเป็น TRADE MARK ที่พิชัยและน้องๆ มุ่งหวังจะสร้างให้เป็นที่นิยมของตลาดให้ได้

พิชัย พี่ใหญ่ คุมฐานลูกค้าเก่าต่างจังหวัดสมัยเขาบุกเบิกตราอูฐ ขณะที่พิเชษฐ์ น้องพิชัยผู้บุกเบิกตราอูฐมากับพิชัยในตลาดต่างจังหวัดมาก่อนเป็นคนคุมหน่วยรถ

กล่าวกันว่า คู่แข่งขันที่ครองตลาดรองเท้าหนังเวลานั้น คือ บาจา ซึ่งมีทุนและเครือข่ายตลาดที่เหนือกว่ามากมาย เพราะความเป็นผู้มาก่อนในธุรกิจอุตสาหกรรมรองเท้าระดับสากล

บริษัท บาจา เริ่มกิจการครั้งแรกในบ้านเรา ตั้งแต่ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เสียอีก โดยนำรองเท้าจากบริษัทมาขายในบ้านเรา จดทะเบียนก่อตั้งบริษัทบาจา ประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกปี 2493 ด้วยทุนจดทะเบียน 100,000 บาท เริ่มมีฐานการผลิตในบ้านเราตั้งแต่ปี 2497 ที่ตำบลบางคอแหลม อีก 5 ปีต่อมาก็ย้ายมาผลิตที่โรงงานของบริษัทที่ซอยทองหล่อ ถ.สุขุมวิท (บางนา) ในปี 2516

ในปี 2521 บริษัทได้ขอ BOI และได้รับอนุมัติส่งเสริม จึงเปิดอีกโรงงานหนึ่งที่บางพลี

รวมความแล้ว บริษัทบาจาแห่งนี้มีฐานการผลิตในบ้านเรา 3 แห่ง ผลิตรองเท้าเกือบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าหนัง ผ้าใบ นักเรียน แตะฟองน้ำ จนบริษัทสามารถประกาศให้ตลาดรู้ว่า ตนเองคือ "ผู้รู้เฟื่องเรื่องรองเท้า"

ถ้าให้บริษัทบาจาเลือดแคนาคาเป็นผู้มาก่อนในธุรกิจรองเท้าในบ้านเราแล้ว สำหรับธุรกิจรองเท้าเลือดไทยก็มีบริษัทรองเท้าตราอูฐของตระกูล "จงสถิตย์วัฒนา" ลูกๆ ของจงอิวกวงนี่แหละ ที่พอจะพูดได้ว่าเป็นผู้มาก่อนใครทั้งหมด!!

มรดกทำธุรกิจรองเท้าจากพ่อ ทำให้พิชัยและน้องๆ วางตำแหน่งธุรกิจครอบครัวของตนเองอยู่ที่รองเท้าเพียงอย่างเดียว และหมายมั่นที่จะลบล้างทัศนคติของพ่อที่เคยกล่าวกับลูกๆ ว่า "การทำมาหากินกับของต่ำ อย่าไปหวังร่ำรวยอะไร เอาพอกินพอใช้ก็พอ" นั้นให้จงได้เพราะชนรุ่นลูกอย่างพิชัยและน้องๆ ที่เกือบทุกคนได้รับการปูพื้นจากประสบการณ์การทำงานบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่อย่างคอลเกตฯ และระดับการศึกษาด้านธุรกิจการค้าจากอัสสัมชัญ เขาย่อมมองธุรกิจทุกประเภทอย่างมีความหวัง ถ้าทำกันอย่างจริงจังและมีระบบการทำงานที่ดี

"ผมคัดค้านพ่อในเรื่องนี้ เพราะเชื่อว่าธุรกิจรองเท้าถ้าทำให้ดีอย่างจริงจังย่อมสำเร็จและร่ำรวยได้" พิชัยเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง

ชนรุ่น 2 ของจงอิวกวง วางกลยุทธ์สู่ความสำเร็จโดยสร้างแบรนด์ AA ให้โด่งดังกว่าตราอูฐ แต่จะไม่ไปแข่งกับบาจาโดยตรง เขาทราบดีว่า ในยุคของพวกเขามีธุรกิจรองเท้าเลือดไทยหลายรายก้าวเข้ามาแข่งขันอย่างเต็มตัว เช่น กลุ่ม SCS ที่เคยผลิตป้อนรองเท้าให้กลุ่ม SENSO ที่ผลิตรองเท้าแฟชั่นสตรี ดังนั้นการที่จะให้กลุ่มจงสถิตย์วัฒนาสามารถต่อกรกับคู่แข่งขันเลือดไทยได้ต้องมีฐานการผลิตของตนเอง ด้วยเหตุนี้ในปี 2522 บริษัทรองเท้าตราอูฐของตระกูลจงสถิตย์วัฒนา จึงขยายธุรกิจออกไปโดยสร้างฐานการผลิตของตนเองในนามบริษัทรองเท้าเอเอ และวางเป้าหมายการผลิตเฉพาะรองเท้านักเรียน รองเท้าแตะ PVC และรองเท้าผ้าใบเท่านั้น

เมื่อกลยุทธ์ธุรกิจปรับเปลี่ยนไปจากซื้อมาขายไปสู่การผลิตจัดจำหน่าย และนอกจากนี้กลุ่มสินค้าที่เคยจำกัดในไลน์แคบไม่กี่ตัวก็เริ่มมีมากขึ้น จากเฉพาะรองเท้าหนังและรองเท้านักเรียน ไปสู่รองเท้าแตะ PVC และรองเท้าผ้าใบ

ลักษณะกลยุทธ์ที่ปรับเปลี่ยนไปเช่นนี้บ่งบอกว่า ธุรกิจครอบครัวเริ่มขึ้นสู่วงจรเติบโตขึ้นแล้ว พิชัย พิเชษฐ์ และพิจิตร 3 พี่ใหญ่ของครอบครัวรุ่น 2 "จงสถิตย์วัฒนา" รู้ดีว่า การปรับระบบบริหารให้ขยายตัวตามกลยุทธ์ที่เปลี่ยนไปเป็นสิ่งจำเป็น

พิชัยดึงสุนันทาน้องสาวคนโตที่จบจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด้านบัญชีจากบริษัทบอร์เนียว มาควบคุมดูแลด้านบัญชีให้กับธุรกิจครอบครัวดึงพิศิษฐ์มาคุมด้านการขายส่งและปลีกในประเทศหลังจบอัสสัมชัญมา ดึงสุวรรณาน้องสาวคนเล็กมาคุมด้านแผนก P.C. หลังจบจากอักษรศาสตร์ จุฬาฯ

การดึงเอาน้องๆ เข้ามาร่วมงานบริหารในฝ่ายต่างๆ แสดงแจ่มชัดว่า ระบบการบริหารของชนรุ่น 2 เริ่มมีการกระจายหน้าที่และอำนาจความรับผิดชอบ จากแต่เดิมมีลักษณะการรวมศูนย์อยู่ที่พิชัยและพิเชษฐ์

ในปี 2523 ตลาดภายในประเทศอ่อนเปลี้ยลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยลง เนื่องจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยแพง สภาพไม่เอื้ออำนวยของตลาดภายในนี้ พิชัยและน้องๆ เริ่มเล็งไปที่ตลาดส่งออกย่านตะวันออกกลาง ที่ขณะนั้นเป็นตลาดยอดนิยมของผู้ส่งออกไทยในสินค้าทุกประเภท

พิชัยมองคนในครอบครัวที่เหมาะกับงานนี้ไปที่พิชิต อดีตผู้สื่อข่าวพิเศษ FAREASTERN ECONOMIC REVIEW ประจำฮ่องกง ด้วยความที่วิชาชีพทำให้เขาต้องเดินทางไปต่างประเทศอยู่เรื่อยๆ พิขัยเห็นว่าเขาเหมาะกับงานนี้ จึงดึงพิชิต น้องชายมาร่วมงานนี้ด้วย

งานส่งออกแรกที่พิชิตทำ เขาบุกเบิกส่งรองเท้าหนัง AA สู่ตะวันออกกลางจาก TRADE MISSION ที่สภาหอการค้าไทยจัดนำไป ด้วยยอดขาย 30 ล้านบาทเป็นการบุกเบิกตลาดส่งออกและรองเท้า AA ภายในนามบริษัทรองเท้าตราอูฐได้สดสวยงามยิ่ง

ชนรุ่น 2 ของ "จงสถิตย์วัฒนา" กำลังนำธุรกิจสู่ INTERNATIONAL แล้ว !

ปี 2524 พิชัยตั้งแผนกส่งออกขึ้นในบริษัทรองเท้าตราอูฐ ให้พิชิตน้องชายที่แสดงฝีมือไว้แล้วในตลาดตะวันออกกลางเป็นหัวหน้าแผนก ซึ่งจังหวะก้าวเช่นนี้เป็นนัยสำคัญทางประวัติศาสตร์ธุรกิจครอบครัว "จงสถิตย์วัฒนา" อย่างยิ่ง ด้วย 4 ขาหยั่งทางโครงสร้างของธุรกิจที่พิชัยวาดหวังไว้เมื่อปี 2520 ได้ปรากฏชัดเจนขึ้น คือ หนึ่ง - ความเข้มแข็งของตลาดภายใน สอง - ความเข้มแข็งทางการเงิน สาม - ความเป็นไปได้ในตลาดส่งออก และสี่ - ความแข็งแกร่งของฐานการผลิต

อย่างไรก็ตามกล่าวสำหรับตลาดส่งออกแล้ว ยังไม่ใช่จุดทำกำไรเป็นชิ้นเป็นอันแก่ธุรกิจมากนัก เมื่อเทียบกับตลาดภายในประเทศ สาเหตุสำคัญก็เพราะสินค้ารองเท้าส่งออกมีการแข่งขันด้านราคากันมาก คู่แข่งขันเช่นไต้หวันและเกาหลีใต้มีประสิทธิภาพการผลิตทีดี่กว่าผู้ผลิตไทยมา อันเป็นผลจากการรู้จักประดิษฐ์คิดค้น เทคโนโลยีการผลิตใหม่ๆ ที่ประหยัดต้นทุนแรงงานอยู่ตลอดเวลา จุดนี้สอดคล้องกับคำพูดของพิชัยที่บอกกับ "ผู้จัดการ" ว่า ตลาดส่งออกของรองเท้า AA เป็นการช่วยสร้างภาพพจน์มากกว่าความสามารถทำกำไร ความสามารถในการแทรกตัวเข้าไปในตลาดโลกได้ ทั้งๆ ที่ต้นทุนการผลิตด้านแรงงานสูงกว่า ซึ่งย่อมเสียเปรียบคู่แข่งขันในด้านราคา ย่อมแสดงว่าตลาดโลกยอมรับในคุณภาพรองเท้าจากผู้ผลิตไทย

การทะยานออกไปสู่ตลาดส่งออกของพิชิตจากระดับไม่กี่สิบล้านบาทในช่วงปีแรกๆ (2523) สู่ระดับ 100 ล้านบาทในอีก 5 ปีต่อมา และจากฐานตลาดส่งออกในตะวันออกกลางสู่ตลาดในยุโรปตะวันตก แสดงว่าตลาดส่งออกเริ่มมีนัยสำคัญต่อความเติบโตของธุรกิจครอบครัวแล้ว ซึ่งจุดนี้พิษณุ จงสถิตย์วัฒนา น้องชายพิชัยคนที่ 4 ที่ถูกดึงเข้ามาร่วมงานกับครอบครัวด้วยเป็นรายล่าสุด ก็ยอมรับกับ "ผู้จัดการ" ว่า ยอดขายจากส่งออกมีสัดส่วนประมาณ 30% ของยอดขายรวม ณ สิ้นปี 2530

พิษณุจบ MBA จาก UCLA เขาเป็นลูกชายจงอิวกวงที่เรียนสูงที่สุดในบรรดาพี่น้อง ก่อนหน้าพิชัยจะดึงเขามาร่วมงานกับครอบครัว เขาดำรงตำแหน่งเป็นรองกรรมการผู้จัดการบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล เอ็นจิเนียริ่ง เครือปูนใหญ่ ขายวิทยุ โทรศัพท์ MOBIRA

พิษณุร่วมงานกับครอบคัวเมื่อต้นปี 2530 นี้เอง มีความเป็นนักบริหารที่มีความรู้เชิงเทคนิควิชาการระดับมืออาชีพ เขาเข้ามาสู่ธุรกิจครอบครัวด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะมีส่วนร่วมกับพี่น้อง ในการจัดระบบการบริหารธุรกิจในครอบครัวให้มีระเบียบแบบแผนมากยิ่งขึ้น

บทบาทาของพิษณุถูกวางไว้ในระดับมีความสำคัญพอๆ กับพิชัย ความแตกต่างของคนทั้ง 2 อยู่ที่พิษณุได้รับการยอมรับในพี่น้องว่าเป็นคนมีความสามารถด้านเทคนิคและวางแผนเสมือนเสนาธิการของครอบครัว ขณะที่พิชัยเป็นนักปฏิบัติการ

พิษณุเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท AA FOOT WEAR ที่ตั้งขึ้นใหม่ล่าสุดด้วยทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท บริษัทแห่งนี้ใช้ทุนจากำไรสะสมของบริษัทโฮลดิ้งรองเท้าตราอูฐเป็นเงินทุนลงทุน และใช้เครดิตไลน์จากแบงก์ 40 ล้านบาทในการลงทุนจัดสร้างโรงงานผลิตรองเท้าเพื่อส่งออกอย่างเดียว

จุดนี้แสดงว่า หนึ่ง - ธุรกิจครอบครัว "จงสถิตย์วัฒนา" กำลังมุ่งสู่ตลาดส่งออกผ่านยุโรปตะวันตกที่เน้นสินค้ารองเท้าที่มีคุณภาพดี สอง - สะท้อนว่า ปรัชญาในการลงทุนของครอบครัวเน้นความมั่นคงมากกว่าการเติบโต ซึ่งเห็นได้จากการพึ่งเงินทุนในครอบครัวเป็นจุดหลักมากกว่าเงินกู้จากแบงก์ ตรงนี้สอดคล้องกับคำพูดของพิษณุที่บอกว่า

"การขยายธุรกิจครอบครัวให้โตขึ้นต้องอาศัยการระดมทุนจากภายนอก ขณะที่เราพึ่งเงินทุนภายในเอง เพราะพวกเราคิดเสมอว่า ทุกบริษัทในเครือ AA เราเป็นของครอบครัวทุกคนที่ร่วมชะตากรรมเดียวกัน จึงต้องระมัดระวังมาก"

พิษณุได้เสริมรูปธรรมในปรัชญาการลงทุนของครอบครัวในจุดนี้ว่าสัดส่วน DEBT/EQUITY RATIO ตกราว 1.8 : 1 เท่านั้น

การดำเนินนโยบายธุรกิจของครอบครัวนี้ ในลักษณะอนุรักษ์นิยมสูง ว่าไปแล้วด้านหนึ่งอาจหมายถึงการเติบโตในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งสอดคล้องกับค่านิยมของครอบครัวชาวจีนโพ้นทะเล ที่เน้นบทบาทาความมั่นคงการสืบทอดภารกิจทางธุรกิจจากชนรุ่นหนึ่งสู่อีกชนรุ่นหนึ่งอย่างต่อเนื่อง อีกด้านหนึ่งเป็นการแสดงออกถึงความระมัดระวังในการปกป้องตัวเอง ยามที่ภาวะธุรกิจประสบความเลวร้ายอันเนื่องมาจากสภาพแวดล้อมภายนอก

ในแง่นี้เคยเกิดขึ้นในปี 2527 และ 2528 ที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างเลวร้าย และแบงก์ดำเนินนโยบายคุมกำเนิดอัตราการเติบโตของสินเชื่อไว้ 18%

ปรากฏว่าในช่วง 2 ปีดังกล่าว ธุรกิจครอบครัว "จงสถิตย์วัฒนา" ขาดทุนดำเนินงานติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ทำธุรกิจมา

แต่ภายใต้ภาวะวิกฤติเช่นนี้ ความเป็นปึกแผ่นในชนรุ่น 2 ของครอบครัวก็ไม่แตกสลายไปเหมือนธุรกิจครอบครัวอื่นๆ

ตรงนี้พิชัยได้กลาวกับ "ผู้จัดการ" ว่าเป็นเพราะ หนึ่ง - พี่น้องทุกคนที่บริหารในธุรกิจของครอบครัวร่วมใจกันลดเงินเดือนและงดปันผล เพื่อแสดงสปิริตในความพยายามลดค่าใช้จ่ายส่วนที่เป็นค่าจ้างเงินเดือน และสอง - การดำเนินนโยบายบริหารเงินทุนแบบอนุรักษ์ที่พึ่งฐานเงินทุนของครอบครัวเป็นหลัก ทำให้ธุรกิจของครอบครัวสามารถลดแรงกดดันดอกเบี้ยจ่ายลงไปได้มาก ซึ่งเท่ากับเป็นแรงลดค่าใช้จ่ายไปในตัว

การต้านวิกฤติแบบนี้ ถ้าเป็นธุรกิจที่บริหารโดยมีคนภายนอกเข้ามาด้วย (PROFESSIONAL ORGANIZATION) คงทำไม่ได้ง่ายๆ

แต่นี่มีแต่คนในครอบครัวทั้งนั้น สปิริตแบบนี้จึงเกิดขึ้นและไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง

นับว่าเป็นความโชคดีของจงอิวกวง ที่ลูกๆ มีความเป็นปึกแผ่นในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน

อย่างไรก็ตามในการดัดแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปให้องค์กรธุรกิจของครอบครัวเป็น PROFESSIONAL ORGANIZATION พิชัยและน้องๆ ก็ไม่ปฏิเสธในทิศทางนี้ เขาแสดงทัศนะถึงอนาคตของกลุ่มธุรกิจครอบครัวของเขาว่า บริษัท AA FOOTWEAR จะเป็นบริษัทแรกที่จะนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยจะให้ลูกค้าและพนักงานเข้าซื้อหุ้นของบริษัท ขณะที่คนในครอบครัวจะลดสัดส่วนการถือหุ้นกันลงมา

ทัศนะนี้แม้พิชัยจะยังไม่สามารถมีรายละเอียดในการปฏิบัติ แต่ก็แสดงออกถึงแนวคิดบางนโยบายที่ชัดเจน

ในการบริหารกลุ่มธุรกิจของครอบครัวมี 4 บริษัท คือ บ.รองเท้าตราอูฐ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ บริษัท AA MARKETING ซึ่งเป็นบริษัทจัดจำหน่าย บริษัทรองเท้า AA ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเพื่อขายในประเทศ และบริษัท AA FOOTWEAR ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเพื่อส่งออกอย่างเดียว พิชัยกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า บริษัทแต่ละแหล่งเหล่านี้ แม้พี่นองในครอบครัวจะถือหุ้นกันเองโดยไม่มีคนภายนอก แต่การบริหารจะให้แต่ละแห่งยืนอยู่ได้ด้วยลำพังตนเอง จะไม่มีการอาศัยเงินทุนจากบริษัทแม่อีกต่อไป

พิจิตร น้องชายคนที่ 3 ของพิชัย ซึ่งจบด้านการออกแบบรองเท้าจากสถาบัน ARS SUTORIA อิตาลี ผู้ชำนาญการด้านรองเท้าเด็ก เขาได้รับการส่งเสริมจากพิชัยและพี่น้องให้ดูแลบริษัทแม่รองเท้าตราอูฐ

พิเชษฐ์ น้องชายรองจากพิชัย ที่มีประสบการณ์ลุยงานขายมากับพิชัยโดยตลอดเกือบ 30 ปีในต่างจังหวัด คุมบริษัท AA MARKETING ซึ่งเป็นหัวใจหลักของครอบครัวในการทำรายได้ให้กับธุรกิจจากตลาดภายในประเทศ

"ยอดขายจากตลาดภายในยังเป็นหัวใจและทิศทางหลักของธุรกิจเพราะมีกำไร/หน่วยยอดขายสูงกว่าส่งออก" พิษณุกล่าว

นอกจากพิเชษฐ์แล้วในบริษัทแห่งนี้ยังมีพิศิษฐ์นอ้งชายคนเล็กสุดของครอบครัว ได้รับมอบหมายให้ดูแลด้านการขายส่งและขายปลีกในตลาดภายในร่วมกับพิเชษฐ์ด้วย

พิศิษฐ์ก็เหมือนกับพี่ๆ ของเขา เขาอยู่ในธุรกิจนี้มานานนับ 10 ปีแล้ว นับตั้งแต่จบจากอัสสัมชัญ ก็ถูกพิชัยพี่ใหญ่ดึงเข้ามาทำงานด้วย นอกจากนี้ยังมีสุวรรณาน้องสาวคนเล็กอีกคนหนึ่งที่ช่วยงานดานขายตรงที่มีสต๊าฟในอาณัติอีก 100 คน

มองในแง่นี้ บริษัท AA MARKETING จึงเต็มไปด้วยคนในครอบครัวที่ควบคุมดูแลงานขายที่เต็มไปด้วยประสบการณ์อันยาวนาน

พิชัยพี่ชายคนโตสุดที่เป็นเสาหลักของครอบครัว ในช่วงนี้บริษัทครอบครัวที่เขาปลุกปั้นมากับมือเติบโตขึ้นมากแล้ว เขาเริ่มปล่อยมืองานหลายส่วนแก่น้องๆ นับตั้งแต่งานขายในบริษัท AA MARKETING งานบริหารการเงินในบริษัทแม่รองเท้าตราอูฐ ทุกวันนี้เขาเป็นรองประธานกรรมการบริษัทที่มีแม่เป็นประธานฯ อยู่ทุกบริษัทในเครือ

พิชัยพอใจที่จะวางบทบาทตนเองในงานบริหารโรงงานบริษัทรองเท้า AA ทีผลิตเพื่อขายในประเทศเพียงอย่างเดียว เขาเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า การจะผลิตรองเท้าประเภทใดออกมาสู่ตลาดบริษัทจะดูแลด้าน INVENTORY CONTROL เป็นจุดหนักมากกว่าการคำนึงถึง MARKET SHARE ซึ่งจุดนี้ก็สะท้อนถึงปรัชญาในการบริหารได้อย่างดีว่า หนึ่ง - ธุรกิจครอบครัวมีจุดร่วมกันเอง หนึ่งคือรักษาความมั่นคงมากกว่าการเติบโตอย่างหวือหวา เหมือนดังที่พิษณุได้กล่าวยอมรับกับ "ผู้จัดการ" ว่า รองเท้าแฟชั่น กลุ่มบริษัทครอบครัวเขาจะไม่ลงไปแข่งขันมากนัก เพราะผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ผู้บริโภคมีรสนิยมในแบบเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเกินไป มันเสี่ยงต่อการดำรงสินค้าคงคลังสูงเกินไป และสอง - มันชี้ให้เห็นว่า กลุ่มธุรกิจครอบครัวมักคำนึงถึงผลตอบแทนกำไรต่อหน่วยยอดขายที่สูงมากกว่าปริมาณของยอดขาย

ธุรกิจครอบครัวทำรองเท้าอย่าง "จงสถิตย์วัฒนา" มีวงจรชีวิตที่ทอดยาวมาไกลแล้วเมื่อเทียบกับคู่แข่งขันหน้าใหม่ๆ ที่เข้ามาอย่างกลุ่ม SENSO หรือกลุ่มอื่นๆ ที่วางขายผลิตภัณฑ์รองเท้าในตลาด เส้นทางในอนาคตของกลุ่มครอบครัวนี้ จากชนรุ่น 2 สู่รุ่น 3 ยังทอดยาวต่อไปในเวทีธุรกิจรองเท้า

มันไม่ง่ายนักต่อการลงหลักปักฐานธุรกิจนี้เติบโตต่อไปอย่างมั่นคง เหมือนบรรพบุรุษได้สร้างมาภายใต้สภาวะการแข่งขันที่แหลมคมขึ้นทุกวัน แต่สปิริตที่สร้างสมกันมาอย่างยาวนาน จนเป็นวัฒนธรรมของครอบครัวนี้ในการสามัคคีกันอย่างแน่นแฟ้น และการยอมรับในระบบอาวุโส ไม่ว่าจะเผชิญปัญหาใดๆ นับว่าเป็นจุดเด่นที่ตอกย้ำถึงคุณลักษณะของธุรกิจครอบครัวไทยที่มีรากฐานมาจากชนรุ่นบุกเบิกชาวจีนโพ้นทะเลที่มีความขยัน อดทน และถูกเสริมสร้างด้วยวิทยาการสมัยใหม่ของชนรุ่นลูกๆ ในการวางทิศทางของธุรกิจอย่างมีระเบียบแบบแผน เหตุนี้กระมังที่ธุรกิจครอบครัวในระบบธุรกิจไทยยังคงความศักดิ์สิทธิ์ได้ต่อไป



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.