หวั่นเงินอัดฉีดสหรัฐไหลเข้าเอเชีย กระทบบาทแข็ง-ก่อฟองสบู่สินทรัพย์


ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์(14 พฤศจิกายน 2553)



กลับสู่หน้าหลัก

หวั่นนักลงทุนต่างชาติขนเงินเข้าเอเชียหนีดอลลาร์อ่อนหลังสหรัฐอัดฉีดเงิน 6 แสนล้าน ส่งผลเงินบาทยังมีโอกาสแข็งค่าต่อ แถมเป็นปัจจัยดันราคาสินทรัพย์ในประเทศให้แพงเกินปัจจัยพื้นฐานจนอาจกลายเป็นฟองสบู่ คาด 2-6 เดือนได้เห็นผล

ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร ประเมินว่า เงินทุนต่างชาติจะไหลเข้าไทยและเอเชียมากขึ้น อันเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณ(Quantitative Easing:QE) รอบที่2 ของสหรัฐฯ โดยใช้วิธีอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ซึ่งจะพิมพ์ธนบัตรเพิ่ม 6 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐกกลับภายในระยะ 6 เดือน และหากยังไม่เพียงพออาจต้องพิมพ์พันธบัตรเพิ่มขึ้นอีก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ โดยปัจจัยดังกล่าวจะเป็นตัว เร่งให้เกิดฟองสบู่ในอสังหาริมทรัพย์ และตลาดหุ้นไทยได้ แม้ปัจจุบันจะยังไม่เห็นสัญญาณการเกิดฟองสบู่ก็ตาม แต่ทุกอย่างก็พร้อมเป็นฟองสบู่

สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2554 ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอีก เพราะตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบันเงินบาทแข็งค่าแล้วถึง 10% และเฉพาะช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้น 7% ซึ่งถือว่าเร็วมาก เนื่องจากผลของเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าต่อเนื่อง ขณะที่เมื่อเทียบกับปี 2552 เงินบาทแข็งค่าขึ้นเพียง 4% เท่านั้น โดยเงินทุนต่างชาติยังมีแนวโน้มไหลเข้ามาต่อเนื่อง เพราะการพิมพ์ธนบัตรสหรัฐเพิ่มจะทำให้แนวโน้มเงินสกุลดอลลาร์อ่อนค่าลงอีก

“แนวโน้มเงินบาทยังแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ตราบเท่าที่สหรัฐยังขอแบ่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งหากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังตรึงอัตราแลกเปลี่ยนไว้ จะทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ในอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นไทยอย่างแน่นอน ซึ่งการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น ธปท. ควรมีมาตรการควบคุมเงินทุนไหลเข้า เนื่องจากมาตรการเก็บภาษีกำไรจากการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ 15% ที่ออกมาช่วงที่ผ่านมาได้ผลน้อยมาก”

ทั้งนี้ มองว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า เงินสกุลดอลลาร์จะหมดสภาพการเป็นเงินสกุลหลักของเศรษฐกิจโลก กลายเป็นเศษกระดาษในที่สุด เนื่องจากมาตรการอัดฉีดเงินส่งผลให้มีเงินในระบบจำนวนมากเกินไป โดยสหรัฐไม่ได้แก้ปัญหาภายในประเทศ ทำให้เกิดปัญหาตกอยู่ที่ภูมิภาคเอเชีย มีเงินไหลเข้ามาลงทุนมากขึ้นต่อเนื่อง กดดันเงินบาทให้แข็งค่าต่อเนื่องหลายปีและเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง ไทยจึงต้องดูแลให้เงินบาทแข็งค่าอยู่ในระดับที่สามารถปรับตัวได้

สำหรับด้านการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ดัชนีมีปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามกระแสเงินต่างชาติที่ไหลทะลักเข้า ส่งผลให้ปัจจุบันราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ขึ้นมาอยู่ที่ 15 เท่า ซึ่งเป็นระดับเดียวกับตลาดอื่นๆในภูมิภาค จากเดิมที่หุ้นไทยเคยมีราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับภูมิภาคถึง 20% จึงถือว่าได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐานของหุ้นไทยเต็มที่แล้ว โดยการปรับตัวของดัชนีจากนี้ หากยังเพิ่มขึ้นแบบไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับก็น่ากลัวและอาจเกิดฟองสบู่ได้ ดังนั้นนักลงทุนจึงต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะมาควบคู่ด้วย

"หากราคาหุ้นยังขึ้นต่ออีก ก็ไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐานแล้ว และคิดว่าคงไปต่อได้อีกไม่นาน มองว่า2-3เดือน แต่บางครั้งอาจจะไปได้ต่อถึง 6 เดือน เพราะบางครั้งฟองสบู่มันพองใหญ่ได้มากกว่าที่คิด"


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.