กับมูลค่าความมั่งคั่งอย่างน้อยที่สุด 3.5 พันล้านดอลลาร์ในครอบครองของตระกูล
"พริทซ์เกอร์" เห็นจะต้องถือว่า เป็นผลพวงจากการใช้เวลาก่อร่างสร้างตัวนาน
4 ทศวรรษเต็มของสองพี่น้องเจย์กับรอเบิร์ต แต่ผิดกับอภิมหาเศรษฐีอเมริกันอีกหลายตระกูล
ตรงความมั่งคั่ง ที่สั่งสมกันมานี้ไม่ได้มาจากการทำกิจการใน อุตสาหกรรมแขนงเดียวเหมือนตระกูล
"นิวเฮ้าส์" ที่สร้างตัวจากธุรกิจสำนักพิมพ์และกิจการกระจายเสียง
จนมีมูลค่าความมั่งคั่ง 7.5 พันล้านดอลลาร์ หรืออภิมหาเศรษฐี "แซม วัลตัน"
ที่รวมเละถึง 6.5 พันล้านดอลลาร์จากธุรกิจห้างค้าปลีกเพียงอย่างเดียว
ตระกูล "พริทซ์เกอร์" ทำเงินจากการดำเนินกิจการบริษัทผลิตสินค้าและขายบริการในอุตสาหกรรมแขนงต่างๆ
เป็นส่วนใหญ่
แต่เดี๋ยวนี้เป็นที่รู้กันว่า เจย์ ผู้พี่วัย65 ซึ่งควบคุมนโยบายและการตัดสินใจครั้งสำคัญๆ
มาโดยตลอดเริ่มลดบทบาทของตัวเองลง โดยเฉพาะการตัดสินใจครั้งสำคัญเกือบทุกครั้งจะกระทำก็ต่อเมื่อได้ปรึกษาโธมัส
หรือทอม ลูกชายคนหัวปี วัย 38 แล้วเท่านั้น และในวงการต่างรับรู้กันว่านักบริหารหนุ่มคนนี้แหละคือหัวหอกของสมาชิกรุ่นใหม่ที่จะรับช่วงดูแลกิจการและผลประโยชน์ของตระกูลพริทซ์เกอร์ต่อไป
"ยิ่งคนทั่วไปเห็นทอมมี่มากขึ้นเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งเชื่อมั่นว่า ตระกูลนี้จะรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่นยิ่งๆ
ขึ้นไป" วิลเลี่ยม แม็คโดนัฟ รองประธานกรรมการ FIRST NATIONAL BANK
แห่งชิคาโกที่มีบทบาทสำคัญยิ่งในฐานะเป็นทั้งเจ้าหนี้และผู้สนับสนุนการเงินรายใหญ่ที่สุดของตระกูลพริทซ์เกอร์ตั้งข้อสังเกต
พริทซ์เกอร์เป็นตระกูลที่สร้างโรงแรมไฮเทคจากความไม่มีอะไรเลย จนกลายเป็น
CHAIN โรงแรมที่มีกิจการกระจายอยู่ทั่วโลก 135 แห่ง ใช้เวลานานปีสร้างมาร์มอน
กรุ๊ป จนกลายเป็นแหล่งรวมของกิจการบริษัทอุตสาหกรรมต่างๆ 60 บริษัทและมีอำนาจการต่อรองสูงมาก
กิจการในเครือมาร์มอนกรุ๊ป ที่โด่งดังเป็นที่รู้จักกันมี UNION TANK CAR
ผู้ผลิตรถไฟบรรทุกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของอเมริกา, GETZ CORP. บริษัทการค้าระหว่างประเทศอายุ
128 ปี ซึ่งเมื่อปีที่แล้วทำเงินจากการนำเข้าและส่งออกสินค้าทั่วเอเชียถึงกว่า
330 ล้านดอลลาร์ นอกเหนือจากนี้เป็นบริษัทผลิตถุงมือ โรงงานถลุงทองแดง กิจการให้เช่าปั้นจั่น
โรงงานประกอบรถบรรทุกหนัก ตลอดไปจนถึงบริษัทให้กิจการช่วยผู้ปล่อยกู้ด้านการออกเช็คสินเชื่อให้ลูกค้าอีกทีหนึ่ง
กิจการๆ ของพริทซ์เกอร์ยังหมายรอมถึงการขายตั๋วเข้าชมคอนเสิร์ต การบริหารสนามกีฬาต่างๆ
และบริษัทผลิตยาเส้นสำหรับเคี่ยว
นอกจากนี้ยังมีกิจการบริษัทมหาชนที่ตระกูลนี้ถือหุ้นส่วนน้อยคือ S&
W BERISFORD ผู้ผลิตน้ำตาลของอังกฤษ และ THE COMMUNICATIONS ผู้ผลิตอุปกรณ์โคมนาคม
คำถามที่ติดค้างอยู่ในใจทุกคน ผู้ได้ยินชื่อและกิตติศัพท์ของตระกูลนี้ จึงหนีไม่พ้นว่า
ครอบครัวใหญ่ขนาดนี้สามารถควบคุมกิจการในเครือที่เป็นธุรกิจหลากประเภทได้อย่างไร?
ขณะเดียวกันก็ยังผูกพันแน่นแฟ้นกลมเกลียมเป็นหนึ่งเดียวอยู่เสมอ
แต่สำหรับตระกูลพริทซ์เกอร์แล้ว ปัญหาหนักหน่วงที่พวกเขาต้องเผชิญต่อไปน่าจะอยู่ที่การมองอนาคตของตัวเองเมื่อสมาชิกรุ่นใหม่ของครอบครัวเข้ารับช่วงกิจการมาทำต่อมากกว่า
จากอดีตที่ผ่านมาพวกเขาใช้สไตล์การจัดการที่เน้นบทบาทของสมาชิกครอบครัวแต่ละคนอย่างเด่นชัด
และให้อิสระกับมือบริหารอาชีพที่เข้ามาบริหารธุรกิจของครอบครัวเต็มที่ แต่ถ้าถูกนักข่าวตั้งคำถามว่า
ใครคือผู้มีอำนาจสูงสุดในตระกูลนี้ พวกเขามักหลีกเลี่ยงจะให้คำตอบเสมอ เพราะกลัวที่สุดว่าจะเป็นต้นเหตุแห่งความร้าวฉานในครอบครัว
ซึ่งทอมยืนยันเรื่องนี้ว่า "เมื่อนักข่าวเจาะลึกเข้าไปถึงเรื่องในครอบครัวและพยายามขุดคุ้ยเรื่องพวกนี้ขึ้นมาถาม
นั่นคือการที่เขาพยายามสร้างความขัดแย้งทั้งๆ ที่มันไม่เคยมีอยู่เลย"
สำหรับตัวเลขมูลค่าความมั่งคั่งที่แน่นอนของตระกูลพริทซ์เกอร์นั้น ไม่อาจประเมินออกมาได้
นอกจากจะพูดกันคร่าวๆ แค่ 3.5 พันล้านดอลลาร์เป็นอย่างต่ำ เนื่องจากสินทรัพย์ของพวกเขาเข้าไปจมอยู่กับกิจการบริษัทหรือไม่ก็ในรูปของการร่วมทุน
และการเป็นหุ้นส่วนที่ไม่มีการเปิดเผยตัวเลขข้อมูลทางการเงินใดๆ ทั้งสิ้น
ถ้าจะศึกษาความเป็นมาและวิธีสะสมความมั่งมีของตระกูลพริทซ์เกอร์ก็เห็นจะต้องมองลึกเข้าไปในกิจการของไฮแอท
โฮเต็ล และมาร์มอน กรุ๊ป ที่เป็นตัวทำรายได้หลักในปัจจุบันเป็นเบื้องแรก
ปีที่แล้ว CHAIN ไฮเอท โฮเต็ลที่บริหารกิจการของโรงแรม 80 แห่ง และสถานตากอากาศ
11 แห่งในอเมริกา แคนาดา และแถบทะเลแคริบเบียนทำยอดขายทั้งหมดเป็นเงิน 1.8
พันล้านดอลลาร์ก็จริง แต่รายได้เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นของนักลงทุนเจ้าของสินทรัพย์ในโรงแรมมากกว่า
ส่วน CHAIN ไฮแอทจะพยายามซื้อหุ้นเพิ่มทุนกลับเข้าไปในกิจการโณงแรมนอกเหนือจากการได้เข้าบริหารกิจการ
ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมโณงแรมที่คุ้นเคยกับ CHAIN ไฮแอทดีเล่าว่า เฉพาะมูลค่าสัญญาการเข้าบริหารกิจการอย่างเดียวก็ไม่ต่ำกว่า
1.5 พันล้านดอลลาร์ "สำหรับนักซื้อจมูกไวแล้ว การบริหารกิจการในประเทศอย่างเดียวอาจทำเงินได้ถึง
2 พันล้านดอลลาร์" ผู้บริหาร CHAIN โรงแรมที่เป็นคู่แข่งกับไฮแอทให้ความเห็น
ยอดตัวเลขที่ว่านี้ไม่รวมของไฮแอท อินเตอร์เนชั่นแนลที่บริหารกิจการโรงแรมและสถานตากอาการ
44 แห่ง ซึ่งทำยอดขายปีละ 530 ล้านดอลลาร์ และการประเมินยอดความมั่งคั่งของตระกูลพริทซ์เกอร์ที่ว่านี้
ยังไม่หมายรวมถึงมูลค่าทรัพย์สินของโรงแรมที่พวกเขามีหุ้นและเป็นผู้บริหารอยู่ด้วยในเวลาเดียวกัน
เช่น ในโรงแรม GRAND HYATT ที่นิวยอร์กซึ่งตระกูลพริทซ์เกอร์มีผลประโยชน์ร่วมกับโดนัลด์ทรัมพ์มหาเศรษฐีหนุ่มชาวอเมริกัน
ถ้าจะประเมินมูลค่าความมั่งคั่งของมาร์มอน กรุ๊ป ก็อาจจะง่ายขึ้นชนิดหนึ่ง
เพราะทุกปีเครือกิจการนี้จะเปิดเผยตัวเลขผลประกอบการ โดยสรุปของตนอย่างสม่ำเสมอ
จากผลประกอบการปี 2530 ซึ่งมาร์มอนกรุ๊ปมีรายได้ 145 ล้านดอลลาร์และมูลค่าสินทรัพย์ตามบัญชี
676 ล้านดอลลาร์นั้น หากเอาไปขายให้กับบริษัทอุตสาหกรรมที่มีกิจการในเครือหลายประเภทแล้วจะทำเงินให้ตระกูลพริทซ์เกอร์ราว
2 พันล้านดอลลาร์ทีเดียว
แม้สมาชิกครอบครัวพริทซ์เกอร์จะไม่ยอมพูดเจาะจงลงไปว่า ใครคือผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจสูงสุด
แต่คนภายนอกต่างรับรู้กันทั่วว่าเขาผู้นั้นคือเจย์ "ก็ไม่มีอะไรผิดจากที่เขาพูดกันนี่"
ลอเรนซ์ เกลเลอร์ ผู้บริหาร CHAIN ไฮแอทคนหนึ่งยอมรับ
ขณะที่นิโคลัสลูกเรียงพี่เรียงน้องของเจย์ชี้แจงเพิ่มเติมว่า "เจย์เป็นประธานกรรมการของทุนเรื่องในครอบครัว"
ซึ่งจริงๆ แล้วครอบครัวนี้ทำงานกันแบบลงมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ของคณะผู้บริหารแล้ว
ตระกูลพริทซ์เกอร์แบ่งหน้าที่ให้สมาชิกมีบทบาทตามความถนัดของแต่ละคน … "เจย์"
วัย 66 นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน นอกเหนือจากการเป็นผู้คุมอำนาจสูงสุดของครอบครัว
โดยเฉพาะงานเสนอซื้อกิจการ หรือขยายกิจการของตระกูล ส่วน "บ๊อบ"
(โรเบิร์ต) น้องชายวัย 62 ของเจย์ควบคุมกิจการมาร์มอน กรุ๊ป และยังได้ชื่อว่าเป็นวิศวกรมือฉมัง
ขณะที่ "ทอม" (โทมัส) ลูกชายวัย 38 ของเจย์และ "นิค"
(นิโคลัส) ลูกเรียงพี่เรียงน้องของเจย์ที่ขณะนี้วัย 43 ได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเรียลเอสเตทและเป็นกำลังสำคัญในงานบริหาร
CHAIN ไฮแอท
แม้จะแบ่งแยกอำนาจหน้าที่กันค่อนข้างชัดเจนแล้ว ความซ้ำซ้อนก็ยังเกิดขึ้นบ่อยครั้งมาก
ทำให้พวกเขาต้องใช้คำว่า "เรา" หรือ "ของเรา" เสมอเมื่อต้องอธิบายถึงบทบาทของตัวเอง
นิคเล่าว่าครั้งหนึ่งแม่ของเขาเคยบ่นเรื่อง "แจ๊ค" ผู้สามีหรือพ่อของนิคที่เป็นน้องชายแท้ๆ
ของอับรัมและร่วมหัวจมท้ายกันก่อตั้งกิจการของตระกูล รวมทั้งได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเรียลเอสเตทในยุคนั้น
ไม่เคยได้เครดิตจากบทความในหนังสือพิมพ์ที่พูดถึงกิจการของตระกูลพริทซ์เกอร์เลย
นิคเล่าท้าวความบทสนทนาของพ่อกับแม่ครั้งนั้นว่า เมื่อผู้เป็นแม่บ้านว่ามันไม่ยุติธรรม
ที่แจ๊คโต้กลับภรรยาสั้นๆ ให้เข้าใจในระบบธุรกิจ แค่ว่า "เมื่ออยู่ในออฟฟิศไม่มีใครสนใจเรื่องเครดิตที่ว่านี้หรอก"
ที่สมาชิกครอบครัวพริทซ์เกอร์ทุกคนมีโลกทัศน์เน้นผลประโยชน์และภาพพจน์ของตระกูล
มากกว่าของตัวเองเป็นผลสืบเนื่องจากการวางรากฐานของบรรพบุรุษต้นตระกูล "นิโคลัส
พริทซ์เกอร์" ผู้อพยพจาก KIEV ในโซเวียตรัสเซียสู่ชิคาโกเมื่อปี 2524
ที่เขาหาเลี้ยงตัวจากอาชีพเภสัชกรและทนายความมาตลอด เมื่อบั้นปลายชีวิตเขาเขียนหนังสือประจำตระกูลเล่มเล็กๆ
ที่กลายเป็นบรรทัดฐานของพริทซ์เกอร์รุ่นแล้วรุ่นเล่า โดยเฉพาะคำขวัญที่ว่า
"ความเป็นอมตะของพวกเจ้าคือ การสร้างผลกระทบให้เกิดกับคนรุ่นต่อๆ ไป"
ครั้งนั้นนิโคลัสเป็นเจ้าของสำนักงานทหารความพริทซ์เกอร์ แอนด์ พริทซ์เกอร์
ที่ปัจจุบันยังคงบทบาทการเป็นศูนย์กลางการดำเนินธุรกิจของตระกูลอย่างเดิม
โดยแฮร์รี่, อับรัม และแจ๊ค ลูกชายทั้งสามของนิโคลัสต่างกระโจนเข้าร่วมงานกับพ่อทั้งหมด
จวบจนกระทั่งกลางทศวรรษ 1930 อับรัมหรือที่มีชื่อเรียกเล่นๆ ว่า "แอ๊บเบ้"
หรือ "เอ. เอ็น." ลูกชายคนกลางคิดอยากออกมาเผชิญชีวิตด้วยตัวเอง
เลยลาออกจากสำนักงานทหารความของพ่อแล้วเริ่มทำธุรกิจที่ทำให้เขาโด่งดังเป็นที่รู้จักในฐานะนักเจรจาต่อรองผู้มีซองเช็คอยู่ในกระเป๋า
พร้อมจะเซ็นชื่อซื้อกิจการในราคาที่ตนเสนอได้ทุกเมื่อ
เอ.เอ็น.เริ่มต้นด้วยการเข้าไปลงทุนในบริษัทเล็กๆ แถบชิคาโก รวมทั้งกิจการโรงแรมตามเมืองต่างๆ
ที่ขยายรัศมีออกไปถึงฮาวาน่า ชัยชนะครั้งสำคัญในตอนนั้นคือ การร่วมหุ้นกับเพื่อนซื้อกิจการคอรี่
คอร์ป ผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้านสำเร็จด้วยเงิน 25,000 ดอลลาร์เมื่อปี
2485 อีก 25 ปี ให้หลังเมื่อพวกเขาตัดสินใจขายต่อให้บริษัทเฮอร์ชี่ย์ ฟู้ดส์
ในปี 2510 ราคาของคอรี่ คอร์ปสูงถึง 23 ล้านดอลลาร์
เอ.เอ็น.กับแฟนนี่ คู่ชีวิตคนแรกเลี้ยงดูลูกชาย เจย์, รอเบิร์ต และโดนัลด์
แบบคนมีฐานะสมัยนั้นจะพึงทำกัน สามหนูน้อยได้เข้าเรียนในโณงเรียนราษฎร์เล็กๆ
"ฟรานซิส ดับบลิว. พาร์คเกอร์" ที่ชิคาโก …
แต่การศึกษาทรงคุณค่าที่สุดที่พวกเขาได้รับมาจากบนโต๊ะอาหารเย็นที่ เอ.เอ็น
ผู้พ่อจะคุยแต่เรื่องธุรกิจกับลูกๆ และลับสมองด้วยการตั้งโจทย์คณิตศาสตร์ให้ตอบ
บ๊อบเล่าว่านิโคลัส ปู่ของพวกเขาก็มีบทบาทไม่แพ้พ่อเหมือนกัน โดยเฉพาะการตั้งคำถามทดสอบความจำเกี่ยวกับคำสอนในคัมภีร์ไบเบิ้ลที่เด็กวัย
11 ขวบอย่างเขาต้องอ่านและจำให้ได้ จะได้เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของปู่
ส่วนเจย์หลายชายคนหัวปี โชคดียิ่งกว่านั้นที่ตอนอายุ 11 ขวบ ปู่ก็ให้ลาโรงเรียนแล้วพาทัวร์ตระเวนไปแถวตะวันออกกลาง
ยุโรป และสหภาพโซเวียต ซึ่งเจย์ยังจำได้ไม่รู้ลืมในวันสำคัญทางประวัติศาสตร์
30 มิถุนายน 2477 ขณะพำนักในเบอร์ลินแล้วได้ข่าวจอมเผด็จการฮิตเลอร์สังหารหมู่ศัตรูทางการเมืองของคนอย่างโหดเหี้ยม
หลังจบมัธยมปลาย ขณะอายุเพียง 14 เจย์เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์นที่สแตนเลย์
แฟรงเคิ่ล เพื่อร่วมรุ่นรำลึกความหลังให้ฟังว่าต้องวิ่งวุ่นหา "คู่เดท"
ให้เจย์หนุ่มน้อยร่างสมบูรณ์ควงออกงานปาร์ตี้อยู่บ่อยครั้ง
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เจย์หาลำไพ่พิเศษด้วยการเป็นครูสอนบินประจำกองทัพเรือ
ที่เริ่มต้นในเพนซาโคลาแล้วย้ายไปฟลอริด้า สุดท้ายประจำที่ฐานทัพอากาศกองทัพเรือเกล็นวิว
ใกล้ที่ตั้งมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์นที่เขากำลังเรียนอยู่พอดี ทำให้เจย์มีโอกาสเข้าชั้นเรียนจนจบวิชากฎหมายด้วยในเวลาเดียวกัน
หลังจากรับปริญญาได้ไม่นาน เจย์เข้าพิธีวิวาห์กับมาเรียน "ซินดี้"
เฟรนด์ ลูกสาวผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ในอิลลินอยส์ และเพราะผลการเรียนที่นอร์ธเวสเทิร์นดีเยี่ยมนั่นเอง
เจย์จึงได้เข้ารับราชการในหน่วยงานที่ควบคุมดูแลกิจการบริษัทต่างชาติ ซึ่งถูกยึดทรัพย์สินในระหว่างสงคราม
เขาทำหน้าที่ตัวแทนฝ่ายรัฐบาลที่เข้าไปคุมการทำงานของคณะกรรมการบริหารของบริษัทเยอรมันระดับยักษ์เป็นส่วนใหญ่
ไม่ว่าจะเป็น AMERICAN BOSCH หรือ GAF
เพราะตอนนั้นเจย์ยังหนุ่มฉกรรจ์มาก อายุเพิ่งย่างเบญจเพส ขณะที่คณะกรรมการบริหารในหน่วยงานที่เขาร่วมอยู่ด้วยล้วนอยู่ในวัยไม้ใกล้ฝั่งราว
60 ปีทั้งนั้น ทำให้เขาต้องพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่แสดงลักษณะก้าวร้าวรุนแรงตามแบบฉบับของคนวัยหนุ่มออกมา
จะยังไงก็ตาม เจย์เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองอย่างแรงกล้าว่า รัฐบาลอเมริกันควรปล่อยมือจากกิจการพวกนั้นไปมากกว่าจะรั้งเอาไว้บริหารต่อ
ขณะที่ผู้บังคับบัญชาของเขากลับไม่เห็นด้วย
หลังจากทนอึดอัดกับระบบราชการมาได้ปีเต็มๆ เจย์ก็บอกศาลาชีวิตข้าราชการเดินทางกลับชิคาโกบ้านเกิด
แล้วเบนเข็มเป็นนายทุนเอง … กับความคิดที่ขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชา เรื่องต้องการให้รัฐบาลวางมือจากกิจการบริษัทต่างชาติที่ยึดมาได้นั้น
หลังจากเจย์ลาออกมาแล้ว ในที่สุดรัฐบาลก็ดำเนินการตามที่เจย์คิดไว้เหมือนกัน
ชีวิตนายทุนของเจย์เริ่มต้นจากกิจการค้าไม้ซุงและไม้อัดในเมืองอูยีน, โอเรกอนที่เขากับซินดี้คู่ชีวิตพำนักอยู่เพียงปีเดียว
นอกจากนี้ก็เปิดบริษัทเล็กๆ ผลิตลูกกลิ้งสำหรับทาสีบ้านด้วย
เป็นที่น่าสังเกตว่าเจย์กับเอ.เอ็น. ผู้เป็นพ่อไม่เคยติดต่อธุรกิจช่วยเหลือกันโดยตรงตามประสาพ่อ-ลูกจะพึงทำก็จริง
แต่เอ.เอ็น.เข้าไปเกื้อกูลลูกชายคนหัวปีทางอ้อมอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะบารมีของเขาที่เป็นลูกค้ารายสำคัญของ
FIRST NATIONAL BANK OF CHICACO มาตั้งแต่ต้น ทำให้แบงก์นี้กระตือรือร้นที่จะปล่อยกู้ให้ลูกชายของลูกค้าผู้ทรงอิทธิพล
เจย์เองก็ยอมรับอย่างหน้าชื่นว่า "เพราะบารมีพ่อนี่เอง ผมเลยได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เอ่ยปากกับทางแบงก์
แม้ว่าบางครั้งจะเป็นข้อเสนอที่ดูไม่สมเหตุสมผลนักก็ตาม"
เฉพาะปี 2496 แบงก์ยอมปล่อยสินเชื่อถึง 59% ของเงินหลายล้านดอลลาร์ที่เจย์จำเป็นต้องใช้สำหรับซื้อกิจการบริษัทโคลสันที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมเล็กๆ
ในเมืองเอลิเรีย, โอไฮโอซึ่งกำลังอยู่ในฐานะย่ำแย่ ต้องการเงินอัดฉีดด่วนที่สุด
เมื่อซื้อโคลสันมาไว้ในครอบครองแล้ว เจย์ออกคำสั่งให้บ๊อบน้อยคนกลางที่ตอนนั้นอายุแค่
26 ย้ายไปคุมงานที่เอลิเรียทันที เพราะเป็นงานที่เหมาะกับความรู้ของเขาโดยตรง
ากที่บ๊อบจบปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมอุตสาหกรรมจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งอิลลินอยส์
บวกกับประสบการณ์การทำงานฝ่ายผลิตกับบริษัทอื่นอีก 6 ปี
พอเข้ารับงานบ๊อบก็ลงมีดผ่าตัดใหญ่ ปรับโครงสร้างของโคลสัน จากบริษัทผลิตจักรยานสามล้อ,
ชิ้นส่วนของจรวด และล้อสำหรับใช้รถสองล้อเทียมม้าและสาลี่สำหรับตั้งกล่องถ่ายภาพยนตร์ที่มียอดขายปีละ
5 ล้านดอลลาร์ ด้วยการเลิกธุรกิจผลิตจักรยานสามล้อและชิ้นส่วนของจรวด แล้วเน้นผลิตล้ออย่างเดียว
ซึ่งเมื่อกิจการเจริญก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็ย้ายจากเมืองเอลิเรียที่คับแคบลงถนัดใจไปอยู่อาร์คันซัส
พอกิจการโคลสันเริ่มฟื้นตัว ทำท่าจะไปด้วยดี เจย์ผู้พี่ก็เริ่มงานถนัดของตัวเองอีก
คราวนี้เข้าซื้อบริษัทเล็กๆ ในเมืองเล็กอีกแห่งหนึ่ง ที่กำลังจะล้มมิล้มแหล่
แล้วโยนต่อให้บ๊อบทำหน้าที่หมอผ่าตัดใหญ่ รักษาเยียวยาจนกิจการฟื้นตัวขึ้นมาอีก
กลายเป็นวงจรที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า … เจย์ซื้อบริษัทแล้วบ๊อบบริหาร ปรับโครงสร้างจนกลายเป็นทรัพย์สินมีค่าทำเงินทำกำไรให้เจ้าของทุกครั้ง
ส่วนโดนัลด์ลูกชายคนสุดท้องของเอ.เอ็น. เข้าทำงานในสำนักงานทหารความพริทซ์เกอร์
แอนด์พริทซ์เกอร์ หลังจบวิชากฎหมายจากมหาวิทยาลัยชิคาโกปี 2502
ก่อนหน้านั้นหลายปีเจย์เข้าซื้อกิจการ "ไฮแอท เฮ้าส์" ซึ่งเป็นแอร์พอร์ทโฮเต็ลขนาดเล็กในลอสแองเจลิส
ที่ตั้งชื่อตามเจ้าของเดิม คือ ไฮแอท ฟอน เดห์น จากนั้นราวปี 2504 เจย์ขยายกิจการโรงแรมแห่งนี้เป็น
CHAIN ที่มีโรงแรมในเครือ 6 แห่ง แล้วมอบหมายให้ดอน (โดนัลด์) น้อยชายคนสุดท้องรับหน้าที่บริหารจน
CHAIN เล็กๆ เริ่มรุ่งเรืองและแกร่งขึ้นมาผิดตา
พูดถึงความร้ายกาจของฝีมือบริหารของดอนแล้ว ก็ไม่ผิดสมาชิกตระกูลพริทซ์เกอร์เกือบทุกคน
แถมมีรูปร่างเหมือนแกะจากพิมพ์เดียวกัน คือเตี้ยเป็นจุดเด่น ผิดแต่ว่าดอนออกจะสมบูรณ์เจ้าเนื้อกว่าคนอื่นๆ
เขายังเป็นคนยิ้มง่าย เวลาหัวเราะก็ระเบิดเสียงแบบไม่เกรงใจใคร และอารมณ์ขันของเขานั้นไม่แพ้ดาวตลกมืออาชีพ
ดอนบริหาร CHAIN ไฮแอทจนกิจการเจรญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว เจย์จะเข้าไปมีส่วนบ้างก็เฉพาะเวลาต้องตัดสินใจครั้งสำคัญเท่านั้น
ในที่สุด ไฮแอทเข้าตลาดหลักทรัพย์ปี 2510 และปีเดียวกันนี้เองที่พริทซ์เกอร์เข้าซื้อโรงแรมขนาดยักษ์ในแอตแลนต้า
ที่กำลังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง เพราะกลุ่มนักพัฒนาที่ดินมีปัญหาทางกาเงินอย่างหนัก
โรงแรมในแอตแลนต้าที่ออกแบบโดยสถาปนิกจอห์น พอร์ทแมน มีความสำคัญต่อ CHAIN
ไฮแอทในแง่เมื่อมีการสร้างโรงแรมแห่งใหม่ๆ นี้ขึ้นมาอีกหลายแห่ง ไฮแอทก็ยึดเอาผลงานการออกแบบของที่นี่เป็นหลักจนดูเหมือนจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของไฮแอทก็ว่าได้
แต่เสียดายที่โดนัลด์อายุสั้นเกินไป เขาลาโลกตั้งแต่อายุ 39 ด้วยอาการหัวใจวาย
ขณะอยู่ในสนามเทนนิส ทิ้งภรรยาและลูกอีก 3 คนไปเมื่อปี 2515
มรดกล้ำค่าคือ CHAIN ไฮแอทที่ดอนทิ้งไว้เบื้องหลังหาได้ตายตามไปด้วย ผลจากการฝึกสต๊าฟรุ่นหนุ่มสาวไฟแรงเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์
ทำให้ CHAIN ไฮแอทผงาดขึ้นมากลายเป็นน้องใหม่ที่น่าสะพึงกลัวของคู่แข่งในอุตสาหกรรมโรงแรม
แต่หลังจากนั้นไม่นาน คือปี 2520 ไฮแอทตกเป็นข่าวอื้อฉาวเมื่อเรื่องแดงออกมาว่า
กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ ฮูโก เอ็ม. "สคิพ" เฟรนด์ จูเนียร์ ยักยอกเงินบริษัทกว่า
300,000 ดอลลาร์ ไปใช้ส่วนตัว ที่หนักหนาสาหัสกว่าการที่ผู้บริหารตัวเบิ้มคอร์รับชั่นคือ
สคิพมีศักดิ์เป็นน้อยเขยของเจย์ด้วย
เจย์จัดการเรื่องอัปยศของตระกูลฐานกรุณาที่สุดด้วยการลดตำแหน่งของสคิพ แต่ไม่นานนักเขาก็ชิงลาออกไปก่อน
… ฝ่ายเอ.เอ็น.นั้นหัวฟัดหัวเหวี่ยงมากที่ตระกูลพริทซ์เกอร์ตกเป็นเป้าแห่งคำครหา
ถึงกับมีข่าวว่าเขาไม่ยอมพูดกับสคิพอีกเลย
ปัจจุบันสคิพ ผู้ก่อเรื่องอื้อฉาว ไปเป็นนายหน้าค้าที่ดินในแคลิฟอร์เนีย
จะติดต่อธุรกิจกับ CHAIN ไฮแอทบ้างเป็นครั้งคราว
เจย์ต้องหนีความอัปยศถึงขนาดย้ายสำนักงานใหญ่ของไฮแอทจากลอสแองเจลิสไปอยู่ชิคาโก
เพื่อควบคุมดูแลใกล้ชิดขึ้น หลังจากย้ายสำนักงานใหญ่ได้ไม่นาน เจย์เริ่มโครงการระยะยาวด้วยการกว้านซื้อหุ้นที่เสนอขายไปแล้วกลับคืนมาหมด
ทำให้ไฮแอทกลับกลายเป็น PRIVATE COMPANY ที่ไม่ได้จดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์อีกครั้งหนึ่งเมื่อปี
2522
ปัจจุบันมีกิจการในเครือที่ตระกูลพริทซ์เกอร์ถือหุ้นใหญ่ ที่มีฐานะเป็นบริษัทมหาชนเพียงแห่งเดียวเท่านั้นคือ
"BRANIFF"
ไม่เพียงแต่จะชอบดำเนินกิจการในเครือแบบ PRIVATE เท่านั้น คนของตระกูลพริทซ์เกอร์เองก็ชอบใช้ชีวิตแบบ
PRIVATE ไม่ชอบตกเป็นข่าว ไม่นิยมโอ้อวดความมั่งมีมั่งคั่ง ทั้งๆ ที่ความเป็นอยู่ของพวกเขาก็หรูหราตามฐานะ
แต่พริทซ์เกอร์ทุกคนชอบรู้กันเฉพาะวงในมากกว่า
ความสมานฉันท์ในครอบครัวพริทซ์เกอร์ยังสะท้อนถึงการเกาะกลุ่มอยู่ใกล้กันทั้งหมด
… "เจย์กับซินดี้" อยู่ในอพาร์ทเมนท์ที่ตกแต่งด้วยผลงานทางศิลปะมากมาย
และมองลงไปเห็นทิวทัศน์ของทะเลสาบมิชิแกนเต็มตา ถัดไปบนถนนสายเดียวกันเป็นคฤหาสถ์ของ
"ลอร์เรน" คู่ชีวิตคนที่สองของเอ.เอ็น. ที่เขาแต่งงานด้วยเมื่อปี
2515 หลังจากแฟนนี่คู่ชีวิตคนแรกตายจากไปแล้ว 2 ปี และปัจจุบันลอร์เรนก็ตกพุ่มม่ายด้วยเหมือนกัน
เมื่อสามีตายจากไปปี 2529 อีกไม่กี่ช่วงตึกถัดไปก็เป็นที่พำนักของ "บ๊อบกับไอรีน
ดรายเบิร์ก" ภรรยาคนที่สองที่แต่งงานกันเมื่อปี 2523 หลังหย่ากับภรรยาคนแรก
ปีเดียวทั้งสองมีลูกเล็กๆ 2 คน ส่วน "นิค" กับภรรยาและทายาทอีก4
เป็นเพื่อนบ้านของครอบครัวบ๊อบนั่นเอง มีครอบครัวของ "ทอม" ที่อยู่ห่างออกไปมากหน่อย
แต่ก็ราว 2 ไมล์เท่านั้น
พริทซ์เกอร์เน้นบริจาคเงินช่วยเหลือแก่องค์กรต่างๆ ของยิวและองค์การกุศลในชิคาโก
โดยเฉพาะปี 2511 ที่เป็นข่าวเกรียวกราวเมื่อบริจาค 12 ล้านดอลลาร์ให้คณะแพทย์ศาสตร์
มหาวิทยาลัยชิคาโก แต่เป็นที่รู้กันว่าตระกูลนี้ไม่แคร์เรื่องวงเงินบริจาคนักและวิธีมอบเงินของพวกเขาก็เป็นที่เลื่องลือไม่แพ้กัน
เห็นได้จากปี 2519 เมื่อสองสามีภรรยาเจย์-ซินดี้ไปบริจาคเงินให้มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดสำหรับวิจัยด้าน
NEURO CHEMISTRY ซึ่งก่อนจะทำพิธีรับมอบเงินกันนั้น ทั้งสองเดินดูงานทั่วห้องแล็บแล้วคุยกับทุกคน
ตั้งแต่นักวิทยาศาสตร์ไปจนถึง พนักงานล้างจาน หลังจากนั้นเมื่อผู้อำนวยการห้องแจ๊ค
สาร์คัสตั้งคำถามให้ทั้งสองกล่าวตอบได้หลายข้อแล้ว เจย์พูดในตอนหนึ่งว่า
"เรามีปรัชญาว่าจะไม่ซื้อบริษัทมาเพียงเพื่อต้องการสินทรัพย์ของพวกเขา
เราเน้นความสำคัญของทรัพยากรบุคคลที่ทำให้งานบริษัทนั้นดำเนินไปได้ และเราก็ยึดปรัชญานี้กับสถาบันที่เราพิจารณาบริจาคเงินให้ด้วยเช่นกัน"
กิจกรรมของธุรกิจของตระกูลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเข้าเจรจาซื้อกิจการหรือตลอดไปจนถึงการประสานงานทำเรื่องบริจาคเงินให้สถานบันต่างๆ
ล้วนรวมศูนย์อยู่ที่สำนักงานทนายความ "พริทซ์เกอร์ แอนด์พริทซ์เกอร์"
ทั้งสิ้น และนับจากเอ.เอ็น. ผู้ก่อตั้งเสียชีวิตไปเมื่อ 2 ปีก่อน ขณะสูงวัยถึง
90 ปี ก็เหลือหุ้นส่นของตระกูลทั้งหมด 4 คนที่ล้วนจบวิชากฎหมายมาแล้วทั้งนั้นคือ
เจย์, ทอม, นิค และเพนนี ลูกสาวคนเดียวของโดนัลด์ที่ตายจากไปนานแล้ว
พริทซ์เกอร์ แอนด์พริทซ์เกอร์ หรือที่ครอบครัวนี้เรียกสั้นว่า "พีแอนด์พี"
นั้น จริงๆ แล้วทำกิจการลักษณะวาณิชธนกิจ (INVESTMENT BANKING) ขนราดเล็กที่มีมืออาชีพ
17 คนคอยให้บริการลูกค้ารายเดียวคือ ตระกูลพริทซ์เกอร์นั่นเอง ในสำนักงานที่อยู่ตึกเดียวกับที่ตั้งสำนักงานใหญ่
บริษัทไฮแอทจึงเป็นแหล่งรวมข้อมูลและเอกสารทุกอย่างที่ตระกูลนี้เข้าไปมีผลประโยชน์ในรูปของ
TRUSTS
"ถ้าคุณถามผมว่าโดยส่วนตัวแล้วผมมีผลประโยชน์ในกองมรดกอยู่เท่าไร?
ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน ผมรู้คร่าวๆ แต่ว่าที่ได้รับอยู่ทุกวันนี้ก็ยุติธรรมดีแล้ว"
ทอมตอบข้อสงสัย
เอ.เอ็น.เป็นคนโอนทรัพย์สินส่วนใหญ่ของตนเข้า TRUSTS ในทศวรรษ 1930 แถมยังพูดอวดในตอนหลังอีกว่า
"เมื่อใช้วิธีนี้แล้ว ผมกับเพื่อนๆ สามารถประหยัดค่าภาษีได้ 100-200
ล้านดอลลาร์ทีเดียว"
ปัจจุบันแม้ว่า TRUSTS จะไม่สามารถใช้เพื่อปิดบังซ่อนเร้นรายได้อีกต่อไป
แต่ก็ยังช่วยลดภาษี ESTATE TAX ได้ โดยทรัพย์สินที่อยู่ใน TRUST ซึ่งตั้งขึ้นก่อนปี
2528 และในกรณีของตระกูลพริทซ์เกอร์แล้วตั้งขึ้นก่อนทั้งหมดด้วยซ้ำ อาจมอบให้ทายาทรุ่นต่อไปได้โดยไม่ต้องเสียภาษี
ESTATE TAX ซึ่งเป็นภาษีที่เก็บบนทรัพย์สินของผู้ตายก่อนแบ่งแก่ทายาทหรือบุคคลือ่น
และวิธีการนี้เปิดเผยขึ้นหลังจากเปิดพินัยกรรมของ เอ.เอ็น. แล้วนั่นเอง ตามบันทึกของศาลระบุว่า
เอ.เอ็น.มีทรัพย์สินส่วนตัวมูลค่าเพียง 25,000 ดอลลาร์เท่านั้น
แม้สมาชิกครอบครัวพริทซ์เกอร์จะเป็นเจ้าของทรัพย์สินทุกอย่างร่วมกัน แต่เมื่อบริหารกจการแล้วพวกเขาจะรักษาผลประโยชน์ในความควบคุมของตนเองอย่างเด่นชัดดังคำบอกเล่าของดาร์ริล
ฮาร์ทลีย์ เลียวนาร์ด กรรมการผู้จัดการใหญ่ของไฮแอทผู้ทุ่มเทกับงานบริหาร
CHAIN ไฮแอทมาแล้ว 24 ปีเต็มว่า "ตลอดหลายปีที่ผ่านมาบ๊อบจะไม่ยอมปล่อยให้ธุรกิจของมาร์มอนกรุ๊ปเข้ามาใช้บริการของเราเด็ดขาด
เพราะติดว่าเราชาร์จแพงเกินไป"
เอ็ดเวิร์ด กิลล์ จูเนียร์ ผู้จัดการของโคลสัน คาสเตอร์ คอร์ปที่เป็นกิจการในเครือของพริทซ์เกอร์ด้วยอย่างหนึ่งก็เล่าความหงุดหงิดใจว่า
"เวลาผมเห็นไฮแอทใช้ลูกล้อรถเข็นที่บริษัทอื่นผลิตแล้ว มันทำให้เดือดดาลอย่างบอกไม่ถูก
แต่เราทำได้แค่ยิ้มแล้วก็ทนเอา"
ปรัชญาการบริหารแบบให้ธุรกิจแต่ละประเภทเลี้ยงตัวเอง โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกันยังมีผลไปถึงการบริหารรายได้ของกิจการในเครือด้วย
ดังที่รอเบิร์ต กลัท กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ของมาร์มอน กรุ๊ป เล่าว่า เขาไม่เคยเห็นเงินที่มาร์มอนทำได้ถูดดึงเอาไปช่วยเหลือธุรกิจอื่นๆ
ที่อยู่ในเครือเลย
สมาชิกของพริทซ์เกอร์ทุกคนไม่เพียงแต่จะยอมรับระบบนี้เท่านั้น แต่ยังช่วยกันสนับสนุนให้มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ
จึงไม่เคยมีข่าวอื้อฉาวการฟ้องร้องแย่งชิงผลประโยชน์กันเองเลยสักครั้งเดียว
ถ้าเกิดจะมีใครสักคนออกนอกลู่นอกนางล่ะ?
"ถ้าเราจะมีปัญหาละ" เจย์ไขปัญหา "มันคงจะมาจากความขี้เกียจของคนมากกว่า
คืออาจจะมีใครสักคนคิดว่าเขามีสิทธิในบางสิ่งบางอย่างเพียงเพราะนามสกุลพริทซ์เกอร์
แต่จริงๆ แล้วไม่มีใครในตระกูลมีสิทธิในทรัพย์สินอะไรทั้งนั้น จนกว่าจะได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์และต้องทำได้ดีด้วย
เขาอาจะไม่จำเป็นต้องเข้ามาร่วมในธุรกิจของตระกูลก็ได้ อาจไปเป็นศาสตราจารย์สอนบทกวีของยูโกสลาเวีย
แต่ต้องเป็นเลิศเช่นกัน"
เจย์นั่นเองที่เป็นคนวางหลักเกณฑ์ปรัชญาการทำธุรกิจของครอบครัวและตัวหลักในงานเจราจาธุรกิจที่เริ่มตั้งแต่
6 โมงเช้าของวันใหม่ไปเรื่อยๆ แต่ก่อนจะเริ่มธุรกิจประจำวัน เขาต้องเล่นเทนนิสออกกำลังกายกับสตีฟ
เออเรนเบิร์ก เพื่อนสนิทที่คบกันมา 20 ปีเต็ม
เจย์โชคร้ายตรงที่เป็นโรคหัวใจเข้ารับการผ่าตัดมาแล้ว 4 ครั้ง ทำให้ระหว่างพักฟื้นเขาต้องลดการหักโหมงานโดยปริยาย
ต้องพักผ่อนตอนกลางวันด้วยการงีบสักพัก ต้องเลิกกีฬาโลดโผน คือเล่นสกีที่ผู้เล่นถูกปล่อยตัวลงจากเขาสูงแล้วสกีมาตามไหล่เขาโดยเด็ดขาด
แต่เมื่อไม่นานมานี้มีลางบอกเหตุบางอย่างที่ยืนยันว่าเจย์กำลังกระโจนเข้าวงการเต็มตัวอีกแล้ว
เมื่อในสมองของเขาเต็มไปด้วยความคิดจะเจรจาซื้อกิจการมากมายในแต่ละปี พอนึกชอบใจบริษัทไหนขึ้นมา
เจย์จะดำเนินการด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องพึ่งคำแนะนำจากทีมทนายความเหมือนคนอื่น
เห็นได้จากปี 2523 ที่เขาตัดสินใจเสนอซื้อกิจการ "TRANS UNION"
บริษัทให้เช่ารถไฟบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ในเวลาไม่ถึงอาทิตย์หลังจากประธานกรรมการของ
TRANS UNION เข้าพบ ครั้งนั้นเขาใช้เงินไป 690 ล้านดอลลาร์ก็ได้ TRANS UNION
เข้ามาอยู่ในเครือมาร์มอน กรุ๊ป
เจย์เองยอมรับว่าเขาเป็นคน "ใจร้อนเป็นไฟ" ถ้าอีกฝ่ายตอบสนองไม่ทันใจหรือพยายามเตะถ่วงละก็เขาจะลุกเดินหนีทันที
"ถ้าการเจรจาต่อรองไม่เป็นที่พอใจไม่ว่าจะเป็นข้อกำหนดด้านการเงินหรืออื่นๆ
ที่เจย์เป็นฝ่ายเสนอ เมื่อลุกหนีไปแล้วเขาจะไม่หวนกลับมาอ้อยอิ่งด้วยการขอต่อรองใหม่อีกครั้ง"
แดน ลัฟคิน ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทเดนัลสัน ลัฟคิน แอนด์ เจนเรตต์และหุ้นส่วนในกองทุนลงทุนของตระกูลพริทซ์เกอร์
พูดถึงเจย์ในฐานะที่เป็นผู้ใกล้ชิดคนหนึ่ง
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับนักธุรกิจสำคัญรายอื่นๆ ดูเหมือนเจย์จะกล้าเสี่ยงน้อยกว่า
"มีธุรกิจอีกมามายที่เจย์ควรเจรจาแล้วซื้อได้สำเร็จแต่เขาก็ไม่ทำ"
เจอร์รี่ เซสโลว์ กรรมการผู้จัดการของกิจการวาณิชธนกิจในนิวยอร์กแห่งหนึ่งซึ่งพริทซ์เกอร์มีหุ้นส่วนอยู่ด้วยเล่า
"และก็ไม่มีการเจรจาใดเหมือนกันที่คิดว่าเขาไม่ควรตัดสินจทำลงไปแล้วเขากลับทำ"
เจย์มีหลักการผิดแผกจากนักเทคโอเวอร์อีกหลายคนในแง่เขาชอบกระจายเงินเข้าซื้อกิจการขนาดกลางหลายๆ
แห่งหรือไม่ ก็เข้าไปเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่มากกว่าจะทุ่มเงินเข้าซื้อเพียงรายเดียว
… วิธีนี้นอกจากจะทำให้พริทซ์เกอร์สามารถกระจายรูปแบบการลงทุนให้หลากหลายออกไปแล้ว
ยังช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนด้วย
ยิ่งกว่านั้นเจย์ยังเมินกิจการที่มีผลประกอบการดีและมั่นคง กลับไปสนใจกิจการที่กำลังเผชิญปัญหาหนักหน่วงที่สุดและสลับซับซ้อนท้าทายการแก้ปัญหามากกว่า
เห็นได้จากเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ที่เขาแสดงตัวว่าอยากเข้าเทคโอเวอร์ SEATRAIN
LINES บริษัทเดินเรือที่กำลังล่อแหลมต่อการถูกฟ้องล้มละลายในปี 2529 หรือบริษัท
WESTERN UNION ที่มีกิจการย่ำแย่มานานเต็มที หรือสายการบิน PAN AM ซึ่งมียอดขาดทุนช่วง
2 ปีหลังรวมกันแล้ว 727 ล้านดอลลาร์ แม้แต่ BRANIFF และ TICKETMASTER ซึ่งบริษัทหลังให้บริการขายตั๋วด้วยระบบคอมพิวเตอร์ก็ล้วนจะล้มมิล้มแหล่ทั้งนั้น
เมื่อตอนที่เจย์เข้าไปซื้อมา
เจอร์รี่ เซสโลว์เผยกลเม็ดอีกว่า เจย์มุ่งเข้าเจรจาขอซื้อกิจการเหลานี้ขณะฐานะย่ำแย่
เพราะรู้ว่านักเทคโอเวอร์อื่นต้องไม่สนใจอยากได้แน่ ยิ่งมีคู่แข่งเสนอราคาซื้อน้อยรายเท่าไร
โอกาสจะกดราคาก็มีมากขึ้นเท่านั้น
เพราะรูปแบบการลงทุนของพริทซ์เกอร์หลากหลายมาก ทำให้พวกเขาสามารถสร้างผลประโยชน์ด้วยการรวมกิจการที่ซื้อมาเข้าอยู่ด้วยกัน
แล้วใช้ระบบบริหารคล้ายกับของกิจการที่ตนเป็นเจ้าของอยู่เดิมแล้ว ยิ่งกว่านั้น
เพราะวีธีบริหารกิจการในเครือที่แยกกันโดยเด็ดขาดอย่างที่กล่าวไปข้างต้น
ทำให้มีความคล่องตัวสูงมากในการฉวยโอกาสหาข้อได้เปรียบจากกฎหมายภาษี เช่น
การจะให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากความสูญเสียทางด้านภาษีที่สะสมในกิจการที่ตนเพิ่งซื้อมา
ผู้ซื้อก็ต้องทำให้กิจการนั้นมีกำไรให้ได้ไม่ว่าจะด้วยการปรับปรุงระบบบริหารหรือนำไปรวมกับกิจการอื่น
ซึ่งอยู่ในเครือและมีกำไรอยู่แล้ว
ทอมเองก็ยอมรับอย่างอารมณ์ดีว่า "ถ้าคุณต้องการยุทธวิธีที่จำเป็นต้องแก้เรื่องความสูญเสียทางด้านภาษี
ผมก็มีให้คุณได้ ถ้าคุณต้องการยุทธวิธีที่จำเป็นต้องมีหุ้นส่วนที่มีกำไรอยู่แล้ว
ผมก็มีอีกนั่นแหละ และถ้าต้องการยุทธวีธีบริหารกิจการที่ขาดทุน ผมก็มีให้ดูเหมือนกัน
คือคุณจะเอ่ยยุทธวิธีอะไรขึ้นมาเรามีให้คุณดูทั้งนั้น!"
เมื่อเจย์เสี่ยงซื้อ BRANIFF ในปี 2526 นั้น ดูเหมือนเขาจะหวังพึ่งการได้ผลประโยชน์ทางภาษีถึง
325 ล้านดอลลาร์ที่สายการบินนี้พึงได้รับจากการอยู่ในฐานะสายการบินล้มละลาย
แล้วเจย์เข้าไปพลิกฟื้น BRANIFF ด้วยโครงการสลัดธุรกิจอื่นๆ ออกจนเหลือแต่แผนกซ่อมบำรุงที่มีกำไร
ขณะเดียวกันก็ยังได้ผลประโยชน์จากภาษีอยู่อย่างเดิม และตั้งชื่อใหม่ว่า DALFORT
มีฐานะเป็นเหมือนบริษัทแม่อีกที
เพื่อให้ได้ผลประโยชน์เต็มที่ยิ่งขึ้น DALFORT ซึ่ง CONWOOD ผู้ผลิตยาเส้นสำหรับสูบและเคี้ยว
ขณะเดียวกันเจย์ก็เร่งสร้างฐานะ BRANIFF ขึ้นใหม่ด้วยธุรกิจเช่าซื้อเครื่องบิน
30 เครื่อง และจ้างคนงานเพิ่มขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง
ถ้าพูดในแง่เศรษฐศาสตร์แล้ว การตกลงซื้อกิจการครั้งนี้ก็คุ้มกันดี แม้ว่ากิจการสายการบินจะเกิดทรุดลงอีกครั้งหนึ่ง
และเหตุการณ์ที่ว่านี้ก็เกือบอุบัติขึ้นเหมือนกัน คือหลังจากเริ่มดำเนินกิจการใหม่ไปได้
6 เดือน ด้วยผลประกอบการขาดทุนเดือนละ 8 ล้านดอลลาร์โดยเฉลี่ยนั้น เจย์ก็เกือบจะหมดหวังอยู่แล้ว
ดีแต่ว่าตอนนั้นผลประโยชน์ของเขาอยู่ในรูปของหุ้นมากกว่าเงิน และบรูซ ลีดบัทเทอร์
หุ้นส่วนคนสนิทของเจย์ ผู้ให้กำลังใจยุส่งให้เจย์กัดฟันทำกิจการ BRANIFF
ต่อไปอีกเล่าว่า แรงยุของเขาได้ผลเมื่อเจย์เกิดความรู้สึกว่า เขามีพันธะต้องทำให้สายการบินแห่งนี้มีกำไรขึ้นมาให้ได้
อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะความรู้สึกสบายใจที่ได้รับความร่วมมือด้วยดี เมื่อฝ่ายลูกจ้างเองตกลงยอมให้มีการลดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าจ้างลงก้อนใหญ่
แพทริค โฟลีย์ ประธานฝ่ายปฏิบัติการของ BRANIFF และอดีตผู้บริหารระดับสูงของไฮแอท
จึงเล่าด้วยความภาคภูมิใจว่า "เจย์ชอบพูดเสมอว่า ลองบอกชื่อนักธุรกิจที่ว่ามือแน่เรื่องการเจรจาซื้อกิจการมาซิ
แล้วผมจะบอกให้คุณรู้ถึงการตัดสินใจซื้อกิจการที่ประสบความล้มเหลว"
เพราะในฐานะที่โฟลีย์บริหาร BRANIFF มากับมือ เขาไม่เชื่อว่าการตัดสินใจของเจย์เกี่ยวกับการซื้อ
BRANIFF จะเป็นความล้มเหลว เขาเชื่อมั่นว่าสายการบินแห่งนี้จะมีกำไรเล็กน้อยในปีนี้
ไม่ได้ล้มเหลวอย่างเจย์คิดไว้
วิธีการที่เจย์ทำจนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวไปแล้วคือ เมื่อซื้อกิจการเข้ามาไว้ในมือแล้วเขาเกือบจะไม่เข้าไปแตะต้องเรื่องงานบริหารเลย
ถ้ากิจการที่ซื้อมาถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของ "มาร์มอน กรุ๊ฟ" เป็นอันรู้กันว่า
บ๊อบคือคนเข้าไปรับผิดชอบดูแลบริหารงานให้ฟื้นตัวขึ้นมา คนที่รู้จักบ๊อบดี
อดไม่ได้ที่จะยอมรับว่าเขาคือ "วิศวกร" ในตระกูล "นักกฎหมาย"
ฮัล บูรโน ผู้ควบคุมรายการทีวีด้านการเมืองของสถานีโทรทัศน์เอบีซีและสนิทสนมกับบ๊อบมา
28 ปีเต็ม เล่าเหตุการณ์เมื่อครั้งการประชุมผู้ว่าการรัฐแห่งชาติ ซึ่งจัดที่ไฮแอท
รีเจนซี่ในเซาท์แคลิฟอร์เนียว่า ผู้ว่าการรัฐคนหนึ่งถามบ๊อบว่าเขามีอาชีพอะไร
"เป็นวิศวกรครับ" คือคำตอบสั้นๆ จากปากของบ๊อบ และบูรโนก็พูดถึงเพ่อนรักต่อว่า
"เขาไม่เคยต้องการเป็นคนเก่ง วิเศษอะไรทั้งนั้น ที่เขาบอกกับใครต่อใครว่าเป็นวิศวกรก็เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาคิดว่าเขาเป็นอยู่"
ความเป็นวิศวกรของบ๊อบ นอกจากตัวเขาจะเข้าใจกลไกความเป็นไปของทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องในสายงานอาชีพแล้ว
เขายังสามารถกวาดออกมาเป็นภาพให้ความกระจางได้อย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะการสเก็ตซ์ส่วนประกอบของเครื่องมือแต่ละอย่างให้ได้รายละเอียดครบถ้วนเป็นเรื่องที่เขาถนัดเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ยังหมายรวมถึงการอภิปรายโต้เถียงเกี่ยวกับวิธีควบคุมค่าใช้จ่ายในโรงงานที่เขาก็ทำได้ไม่แพ้กัน
และบ๊อบยังเคยเขียนบทความเกี่ยวกับการควบคุมการผลิตลงตีพิมพ์ในนิตยสารธุรกิจต่างๆ
"น่าทึ่ง" คือคำสั้นๆ ง่ายๆ ที่เจย์ พี่ชายพูดถึงบ๊อบ ในแง่ความเชี่ยวชาญในโรงงานต่างๆ
ที่อยู่ในเครือมาร์มอน กรุ๊ป และบ๊อบเป็นคนควบคุมทั้งหมด "แต่ถ้าเรียกให้บ๊อบเข้ามานั่งคุยเรื่องการเจรจาที่เกี่ยวกับเงินๆ
ทองๆ ละก็ เพียง 5 นาทีเท่านั้น เขาจะทำอย่างนี้" เจย์เล่าพร้อมกับทำท่ากลอกตาไปมาแล้วก็เริ่มหงุดหงิดนั่งไม่ติด
"หลังจากนั้นราว 10 นาที เขาจะขอตัวบอกว่า ยังมีธุระอื่นต้องทำ"
ใช่แต่บ๊อบจะมุ่งแต่งานวิศวกรรมอย่างเดียว เขายังเป็นประธานพิพิธภัณฑ์ CHICAGO'S
FIELD MUSEUM OF NATURAL HISTORY และพูดย้ำแล้วย้ำอีกถึงความจำเป็นของบริษัททุกแห่ง
รวมทั้งบริษัทของเขาเองด้วยที่ต้องช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม บ๊อบไม่เพียงแต่พูด
เขายังให้เงินอุดหนุนคณะวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมในสถาบันเทคโนโลยีแห่งอิลลินอยส์
ซึ่งเป็นสถาบันเก่าที่เขาร่ำเรียนมาด้วย เวลาอีกส่วนหนึ่งที่บ๊อบอุทิศให้กับงานสอนวิชาการจัดการในหลักสตรเอ็มบีเอ.
ภาคค่ำของมหาวิทยาลัยชิคาโก ก็นับว่าได้ผลคุ้มค่าในแง่ที่เป็นวิชาท้อปฮิตของคณะเหมือนกัน
ในห้องรับรองที่จัดไว้สำหรับต้อนรับผู้มาเยือนสำนักงานต่างๆ ของมาร์มอน
กรุ๊ฟก็สะท้อนถึงทฤษฎีการบริหารของบ๊อบอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะเน้นความเรียบง่ายและสไตล์การจัดห้องให้โล่งสบายตาเป็นหลัก
มีเพียงแผนฟังแสดงส่วนประกอบทางเคมีของน้ำที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เมื่อไหลผ่านพื้นโลกเป็นเครื่องตกแต่งห้อง
บ๊อบบริหารบริการในเครือของมาร์มอน กรุ๊ฟ 60 บริษัทด้วยหลักการกระจายอำนาจที่
ผู้จัดการทั่วไปมีอำนาจการบริหารเต็มที่ โดยเขาไม่เข้าไปก้าวก่ายเด็ดขาด
และผู้บริหารเหล่านี้ก็เห็นว่าวิธีให้อิสระในการบริหารกับตนจะเป็นแรงกระตุ้นและรางวัลในเวลาเดียวกัน
"มันเหมือนการที่คุณได้เป็นเจ้าของบริษัทของตัวเอง แต่มีเงินทุนของพริทซ์เกอร์หนุนหลัง"
เมอร์ลิน วิลล์ ผู้จัดการทั่วไปของบริษัทผลิตคอนกรีตสำเร็จรูปให้ความเห็น
บ๊อบจะติดต่อกับผู้บริหารของแต่ละบริษัทอย่างจริงจังก็เฉพาะช่วงพิจารณางบประมาณประจำปี
ซึ่งเขาจะเดินทางตระเวนเยี่ยมแต่ละบริษัทและพูดคุยสอบถามเอากับผู้จัดการที่รับผิดชอบ
เขายังช่วยให้งานดำเนินไปด้วยดีโดยอนุมัติค่าใช้จ่ายใดๆ ที่เกินกว่า 15,000
ดอลลาร์เป็นการส่วนตัวให้
จากหนังสือคู่มือของมาร์มอน กรุ๊ฟที่ทำแจกลูกค้าและพนักงานกล่าวว่า ตั้งแต่ปี
2521 เป็นต้นมา กิจการมีผลตอบแทนต่อหุ้นโดยเฉลี่ย 20.2% เปรียบเทียบกับริษัทที่ติดอันดับ
FORTUNE 500 ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งมีผลตอบแทนต่อหุ้นโดยเฉลี่ยเพียง 13%
ส่วนกำไรเมื่อปีที่แล้ว 145 ล้านดอลลาร์นั้นอยู่ในระดับเดียวกันกับของบริษัทเฮอร์ชีย์
ฟู้ด และบริษัทผลิตซูเปอร์คอมพิวเตอร์เครย์ รีเสิร์ช
ดูเหมือน "ทอม" จะเป็นพริทซ์เกอร์คนเดียวที่บริหารงานใกล้ชิดกับกิจการหลักของตระกูลมากที่สุดคือ
CHAIN "ไฮแอท" ที่เขาเข้ามาร่วมงานเมื่อปี 2520 คือหลังจากจบเอ็มบีเอ.
และวิชากฎหมายจากมหาวิทยาลัยชิคาโกเพียงปีเดียว
ทอมใช้เวลาประมาณครึ่งหนึ่งของที่มีอยู่หมกมุ่นกับไฮเทคคอร์ป ในตำแหน่งกรรมการ
ผู้จัดการใหญ่ ไฮแอท คอร์ป เป็นเจ้าของบริษัทที่บริหาร CHAIN โรงแรมไฮแอทในอเมริกา
แคนาดา และแถบทะเลแคริบเบี้ยนโดยตรง 91 แห่ง รวมทั้งควบคุมควบคุมกิจการโดยอ้อมของบริษัท
DALFORT , CONWOOD, BRANIFF, TICKETMASTER และอีกหลายบริษัทที่พริทซ์เกอร์เข้าไป
AFFIATE ด้วย
แม้กระทั่งกิจการของไฮแอท อินเตอร์เนชั่นแนลที่มีลักษณะบริหารงานในฐานะบริษัทที่แยกตัวออกไปต่างหาก
ทอมก็มีหน้าที่เข้าไปดูแลเช่นกัน เวลาที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งเขาก็อุทิศให้กับการบริหารธุรกิจในสำนักงานทนายความพริทซ์เกอร์พริทซ์เกอร์
แอนด์พริทซ์เกอร์
ในฐานะลูกชายคนหัวปีของเจย์ ทอมกลับเป็นคนสุขุมรอบคอบและช่างพูดน้อยกว่าผู้เป็นพ่อเขาสนใจวัฒนธรรมของอินเดียและเนปาลเอามากๆ
ถึงกับเดินทางไปอินเดียเมื่อปี 2514 กับคณะเดินป่าฝ่าเทือกเขาหิมาลัยระยะทาง
400 ไมล์ ตอนนั้นทอมอายุแค่ 21 และเขาไม่ยอมกลับอเมริกา จนกระทั่งอีก 5 ปีให้หลังพร้อมคู่ชีวิต
MARGOT LYN BARROW-SICREE ที่พบและแต่งงานระหว่างอยู่อินเดีย ปัจจุบันทั้งสองเช่าอพาร์ทเมนท์ทิ้งไว้ที่กาฎมัณฑุ
พอมีวันหยุดก็จะบินไปพักผ่อนที่นั่นทุกครั้ง
เมล ไคลน์ หุ้นส่วนในกิจการของตระกูลพริทซ์เกอร์หลายโครงการเล่าว่า ถ้าทอมไม่ได้ตั้งใจแน่วแน่แต่ต้นแล้วว่าต้องเดินตามรองเท้าพ่อให้ได้
เขามีสิทธิเป็นศาตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญวิชาศิลปะและวัฒนธรรมของอินเดียได้สบายๆ
ทอมเขามามีบทบาทในการติดต่อเจรจาธุรกิจต่างๆ แทนเจย์มากขึ้นเรื่อยๆ ก็จริง
แต่เขามีความคิดและแบบฉบับของตัวเองด้วยเหมือนกัน "เจย์สนใจแต่จะเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่อย่าง
PAN AM ขณะที่ทอมเน้นซื้อกิจการเกือบทุกอย่างที่คิดว่าคุ้มค่ากับการลงทุน"
เจอร์รี่ เซสโลว์ เปรียบเทียบให้ฟัง
ตัวทอมเองก็เล่าถึงเหตุการณ์เมื่อปี 2525 เมื่อหมอในชิคาโกคนหนึ่งเสนอความคิดและวิธีทำเงินจากการเข้าไปช่วยเหลือกิจการดูแลรักษาสุขภาพหลายๆ
แห่งให้เขาฟัง ทอมเห็นด้วยพร้อมกับให้ทั้งคำแนะนำและสนับสนุนทางการเงินจนกระทั่งเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาคือ
บริษัท HEALTHCARE COMPARE ที่เพิ่งจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์เมื่อปีที่แล้วด้วยการเสนอขายหุ้นในราคาหุ้นละ
11 ดอลลาร์ และเมื่อไม่นานมานี้ราคาเขยิบสูงขึ้นเป็น 17 ดอลลาร์ โดยตระกูลพริทซ์เกอร์ยังถือหุ้นส่วนน้อยของกิจการนี้อยู่
แต่ผลงานโดดเด่นที่สุดของทอม ที่นำมาซึ่งความมั่งคั่งแบบทวีคูณของพริทซ์เกอร์เห็นจะได้แก่การที่เขาตัดสินใจเข้าไปเร่งและกระตุ้นการขยายตัวของไฮแอทอย่างรวดเร็วเมื่อหลายปีที่ผ่านมา
โดยมีนิคลูกเรียงพี่เรียงน้องของเจย์กับบ๊อบแต่อยู่ในวัยรุ่นราวคราวเดียวกับทอม
เป็นคนเคียงบ่าเคยงไหล่ดำเนินตามยุทธวิธีนี้ …
คือในช่วงทศวรรษ 1970 ไฮแอทยังคงดำเนินธุรกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการเซ็นสัญญาเข้าบริหารโรงแรมของบรรดานักพัฒนาที่ดินและนักลงทุนไปเรื่อยๆ
แต่พอถึงทศวรรษ 1980 นักลงทุนพวกนั้นเริ่มสร้างเงื่อนไขเรียกร้องว่า บริษัทที่จะได้สัญญาเข้าบริหารโรงแรมของตนต้องมีข้อแลกเปลี่ยน
ด้วยการเข้ามาช่วยรับความเสี่ยงจากการซื้อหุ้นมีส่วนเป็นเจ้าของด้วย และพริทซ์เกอร์เองก็ตระหนกดีว่า
ไฮแอทจะเติบโตอย่างรวดเร็วได้ก็ต่อเมื่อบริษัทตัดสินใจเข้าไปลงทุนด้านเรียลเอสเตทนั่นเอง
คนที่นำบริษัทเข้าไปลงทุนด้านเรียลเอสเตทคือ "นิค" ซึ่งอยู่ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายพัฒนาของไฮแอท
เขาทุ่มเททำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อให้ไฮแอทเข้าไปมีบทบาทสำคัญในธุรกิจสถานตากอากาศขนาดมหึมาให้ได้
เริ่มต้นจากสถานตากอากาศ HYATT REGENCY WAIKOLOA มูลค่า 360 ล้านดอลลาร์ในฮาวายที่ร่วมทุนกันระหว่างไฮแอท,
พี่น้องตระกูลบาส และบริษัทญี่ปุ่นอีก 2 แห่ง ซึ่งมีกำหนดเสร็จและเปิดบริการในเดือนกันยายนนี้ในฐานะ
"โรงแรมราคาแพงที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา"
เป็นที่รู้กันว่า นิคคลั่งไคล้กีฬาเป็นชีวิตจิตใจ และเป็นสมาชิกของตระกูลพริทซ์เกอร์เพียงคนเดียว
ที่เอาชื่อของตัวเองไปตั้งเป็นชื่อบริษัทด้วยคือ NICK'S AQUA SPORT กิจการให้เช่ากระดานโต้คลื่นและอุปกรณ์กีฬาอื่นๆ
ที่ปักหลักอยู่ตามโรงแรมและสถานตากอากาศต่างๆ
แต่ "พริทซ์เกอร์" เพียงคนเดียวที่มีสิทธิ์พาใครต่อใครเช็ค-อินเข้าพักในไฮแอทคือ
"จอห์น" ลูกชายคนที่สองวัย 34 ของเจย์ ชีวิตของเขาออกจะโลดโผนผิดกับลูกคนมีสตางค์ทั่วไปในแง่อายุ
14 ก็ไปเป็นบัสบอยหาประสบการณ์หลังเลิกเรียน และก่อนจะรับตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายภาคพื้นในซานฟรานซิสโกควบคุมกิจการโรงแรมในเครือ
10 แห่ง จอห์นเคยผ่านการฝึกงานตามโรงแรมไฮแอทใน 6 เมืองใหญ่มาก่อน
ส่วน "เพนนี" ลูกสาวคนเดียวของโดนัลด์ที่เสียชีวิตไปแล้วและปัจจุบันอายุ
28 ปีก็ทำงานกับไฮแอทมานานพอๆ กับจอห์นผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชาย เธอมีส่วนในงานบริหารมาตั้งแต่เด็ก
เมื่อติดสอยห้อยตามพ่ออยู่เรื่อยๆ และบ่อยครั้งที่โดนัลด์ชอบแวะเข้าโรงแรมไฮแอทที่อยู่ใกล้บ้านเพื่อตรวจตราเล็กๆ
น้อยๆ ว่าห้องน้ำสะอาดหรือเปล่า?
เพนนีจบวิชากฎหมายและบริหารธุรกิจ จากโครงการหลักสูตรร่วมของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
ปัจจุบันควบคุมโครงสร้างสถานพักฟื้นคนชราสำหรับคนมีฐานะ ซึ่งไฮแอทเข้าไปร่วมทุนอยู่ด้วย
สำหรับ "โทนี่" น้องชายวัย 27 ของเพนนี จบวิศวกรรมศาสตร์จากดาร์ทมัธและเป็นความหวังของตระกูลว่าจะเป็น
"ทายาท" รับช่วงงานบริหารกิจการมาร์มอน กรุ๊ฟ ที่ "บ๊อบ"
ผู้มีศักดิ์เป็นลุงควบคุมอยู่ในเวลานี้ ปัจจุบันโทนี่รับผิดชอบฝ่ายขายและการตลาดของบนริษัทในเครือมาร์มอน
ที่ผลิตเส้นลวดและสายเคเบิ้ลในเมืองนิวเฮฟเว่น, คอนเนคติกัท
นอกเหนือจากนี้แล้ว ไม่มีสมาชิกตระกูลพริทซ์เกอร์คนอื่นๆ ที่สนใจเข้าบริหารกิจการในเครืออีก
ไม่ว่าจะเป็น "แดนนี่" ลูกชายวัย 28 ของเจย์ ซึ่งจบวิชากฎหมายมาก็จริง
แต่ไม่สมัครใจทำธุรกิจของตระกูล กลับหันไปยึดอาชีพนักดนตรีเพลงร็อคแทน หรือ
"จิจี้" ลูกสาววัยเบญจเพสของเจย์ก็เพิ่งเดินทางไปผลิตรายการสารคดีที่ภูฐานสำหรับขายให้กับสถานีวิทยุโทรทัศน์บีบีซีของอังกฤษ
ลูกๆ ทั้งสามของบ๊อบที่เกิดจากภรรยาคนแรก ก็ไม่มีใครเข้ามาในวงการธุรกิจของครอบครัวเช่นกัน
จะมีติ่งอยู่คนเดียวคือ "คาเรน" ลูกสาวคนสุดท้องที่เคยเป็นบรรณาธิการนิตยสาร
WORKING MOTHER ที่อยู่ในเครือพริทซ์เกอร์ก่อนจะขายทิ้งไป ต่อมาเป็นบรรณาธิการนิตยสาร
McCALL'S ที่ตระกูลพริทซ์เกอร์ร่วมทุนกับ TIME INC. ผู้ตีพิมพ์นิตยสาร FORTUNE
ตีพิมพ์ออกขายเมื่อปี 2529
เหลือ "เจย์ รอเบิร์ต" หรอที่เรียกกันเล่นๆ ว่า "เจ.บี."
ลูกชายคนสุดท้องของโดนัลด์ผู้ล่วงลับ ซึ่งตอนนี้อายุ 23 ปีแล้ว เขาก็ไปเป็นผู้ช่วยฝ่ายนิติบัญญัติของวุฒิสมาชิกเทอร์รี่
แซนฟอร์ด แห่งรัฐนอร์ธแคโรไลน่า และประกาศเจตนารมณ์ไว้แล้วเหมือนกันว่า ในที่สุดจะมุ่งเข็มไปเล่นการเมืองลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
แม้ว่าคนรุ่นทอมจะแสดงอกอย่างเด่นชัดถึงความตั้งใจจริงที่จะอุทิศตัวให้ธุรกิจของครอบครัว
แต่พวกเขาก็ยังต้องการการชี้นำของคนรุ่นพ่อต่อไปอีกนาน ตอนนี้วงการจึงตั้งความหวังว่า
ถ้าเจย์กับบ๊อบแข็งแรงเหมือน เอ.เอ็น. ผู้เป็นพ่อละก็ ทั้งสองคงเป็นเสาหลักของตระกูลต่อไปได้อีกนานถึง
25 ปีทีเดียว
คนรุ่นต่อไปของพริทซ์เกอร์จึงเผชิญกับความท้ายทายในแง่การคงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีความยิ่งใหญ่ของตระกูลให้ได้
แม้ว่าขณะนี้พริทซ์เกอร์จะมีนโยบายขยายธุรกิจสู่กิจการอื่นให้หลากหลายออกไป
เพื่อป้องกันความหายนะที่อาจเกิดขึ้นหากหวังพึ่งแต่ธุรกิจหลักเพียงอย่างเดียว
เหมือนตระกูลเศรษฐีน้ำมันที่ล่มจมกันเป็นแถบเมื่อเกิดภาวะวิกฤติราคาน้ำมันตกต่ำแบบดิ่งเหว
แต่ยิ่งขยายกิจการสู่ธุรกิจมากประเภทเท่าไร ก็ยิ่งยากแก่การควบคุมมากเท่านั้น
ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ในความคิดของผมแล้ว สิ่งท้าทายใหญ่หลวงที่สุดคือ
การคงไว้ซึ่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในครอบครัวให้ได้ ยิ่งสมาชิกของตระกูลมีครอบครัวแตกหน่อออกไปมากเท่าไร
การประสานความรักความผูกพันให้รวมศูนย์ไว้เพียงจุดเดียว ก็ยิ่งทำได้ยากขึ้นเท่านั้น
และเมื่อมาถึงจุดๆ หนึ่งแล้ว หลักการที่ว่านี้คงเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป แต่จุดนั้นจะมาถึงเมื่อสมาชิกของตระกูลเราเพิ่มขึ้นเป็น
30 คนหรือ 130 คน หรือเท่าไรแน่นั้นผมไม่อาจรู้ได้" … ทอมเปิดหัวใจพูด
แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ตระกูล "พริทซ์เกอร์" มีสมาชิกรวมแล้ว 29 คนพอดิบพอดี
และยังผูกพันรักใคร่กลมเกลียวกันเหนียวแน่น