ไต้หวันนักบุญหรือผู้รุกราน


นิตยสารผู้จัดการ( ตุลาคม 2531)



กลับสู่หน้าหลัก

ไต้หวันเป็นประเทศหนึ่ง ที่จะมีบทบาทต่อการลงทุนพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศไทยมากขึ้น กระแสการเคลื่อนย้ายทุนของไต้หวันในไทยนั้น สูงขึ้นเป็นอันดับที่สองแล้ว และจากสถานภาพการผลิตที่ใกล้เคียงกับนักลงทุนในไทย จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากว่า ความหวังใหม่จากไต้หวันนั้นเสมือนหนึ่งตวัดดาบเชือดคอหอยตัวเองหรือไม่!?

"คุณรู้ไหม… ต่อไปจะไม่เหลือที่ดินเป็นของคนไทยอีกแล้ว"

"ทุเรศสิ้นดีที่เจ้าหน้าที่รัฐบางคนร่วมมือกับนักลงทุนต่างชาติหลอกชาวบ้านที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ให้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับตน แล้วยังได้ นส.3 แสดงสิทธิโดยสมบูรณ์อีกด้วย"

"ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้น่ะหรือ… อย่าไปคิดฝันมันนักเลย ทุกวันนี้ที่ทำกันอยู่ชาวบ้านนับวันจะกลายสภาพเป็นลูกจ้างติดที่ดินกันมากขึ้น หลายคนที่หลงทำตามไม่อาจทำให้เป็นจริงเหมือนเขาได้ มันเป็นเรื่องของความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีการผลิต เขาเพียงแต่ยืมแผ่นดินเราทำมาหากิน"

"ที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือเครื่องมือทันสมัยต่างๆ กลายเป็นตัวทำลายธรรมชาติอย่างน่าเวทนา"

ทุกถ้อยประโยคเหล่านี้ล้วนเป็นความจริง… เป็นเสียงสะท้อนห่วงใยส่วนหนึ่งของชาวบ้านในเขต จ.สมุทรสาคร และจ.จันทบุรี ที่ปรากฏข่าวนักลงทุนไต้หวันพากันกว้านซื้อที่ดินเพื่อลงทุนเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลกันอย่างเอิกเกริก

สถานการณ์การเลี้ยงกุ้งทะเลที่ว่าสดใสนั้นอาจเป็นจริง… ทว่ามันอาจเป็นความหวังที่เป็นไปได้ของคนบางกลุ่มเท่านั้น แต่ที่สำคัญอนาคตของประเทศไทย ใครว่ามันจะจำกัดวงอยู่เพียงแค่ความหายนะของป่าชายเลน ระบบนิเวศวิทยาที่ทรงคุณค่าเท่านั้น…

การเปลี่ยนแปลงสภาพสิทธิในที่ดินเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง!!!

"คุณรู้ไหม… โรงเพาะเห็นที่เห็นเรียงรายสลอนจากเชียงใหม่ยันเชียงรายนั้น ล้วนเป็นของคนไต้หวัน พวกนี้ขึ้นมากว้านซื้อที่ดินแถวภาคเหนือตั้ง 2-3 ปีแล้ว และพวกเขายังซื้อไม่หยุดหย่อน"

"นิคมอุตสาหกรรมลำพูนที่กำลังจะตายซากพวกนักลงทุนไต้หวันก็สนใจไม่น้อย"

"และถ้าคุณเคยไปเชียงใหม่คงเคยเห็นเชียงใหม่อาเขต ศูนย์การค้าขนาดยักษ์ที่ยืนตายซากมาหลายปีดีดัก อีกไม่ช้าที่นั่นกำลังจะแปลงโฉมเป็นโครงการขนาดยักษ์ คิดแค่เสาก็ 2,000 ต้น โครงการนี้ก็เป็นของคนไต้หวันอีก"

นั่นก็เป็นความจริงในอีกเสี้ยวหนึ่งของประเทศไทยที่สะท้อนให้เห็นถึง การเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงอย่างน่าจับตามองของกลุ่มนักลงทุนไต้หวัน โดยเฉพาะความเป็นไปได้สูงของภาคเหนือที่พร้อมต่อการพัฒนาเป็นศูนย์กลางการลงทุนอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป (AGRO INDUSTRY)

การลงทุนในลักษณะนี้นักลงทุนไต้หวันชอบดีนักล่ะ!!

………………………………

ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า กระแสการเคลื่อนย้ายทุนออกสู่ต่างประเทศของกลุ่มนักลงทุนไต้หวันในระยะปีสองปีมานี้มีปริมาณค่อนข้างสูง โดยเฉพาะการอพยพมาลงทุนในประเทศไทย การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศของไต้หวัน-ไทย ย่อมมีความแปรปรวนในระยะยาวที่น่ามอง….

จากตัวเลขของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพบว่า มูลค่าทุนจดทะเบียนของไต้หวันในช่วงปี 2530 เพิ่มมากกว่าเท่าตัวของมูลค่าทุนจดทะเบียนในปี 2529 โดยเพิ่มจาก 291 ล้านบาท เป็น 1,515 ล้านบาท และเพียง 8 เดือนในปี 2531 ก็สูงกว่าปี 2530 ไปเสียแล้ว

ถ้านับจำนวนโครงการที่เข้ามาลงทุนใน 8 เดือนของปี 2531 กลุ่มนักลงทุนไต้หวันก็ดีดตัวเองสูงขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง และหากมองถึงมูลค่าทุนจดทะเบียนคงเป็นรองเพียงญี่ปุ่นเท่านั้นเอง!!!

ละครบทเดิม

คนเดือนร้อนรายใหม่

ไต้หวันน่ะเก่งเกินไป!!! เก่งเสียจนน่ากลัว???

คลื่นอพยพการลงทุนของไต้หวันที่ทะลักล้นเข้ามาในไทยนั้นเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปรับตัวของเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ที่ไม่อยู่ในภาวะสมดุลกับยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกาเป็นหลัก โดยที่สหรัฐอเมริกาประสบปัญหาขาดดุลการค้าจำนวนมหาศาลกับประเทศอุตสาหกรรมใหม่อย่างไต้หวันมากมายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ปี 2523 ไต้หวันได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯ เพียง 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่พอสิ้นปี 2529 กลับพุ่งพรวดเป็นเงินถึง 16,000 ล้านดอลลาร์ สภาวการณ์ล่อแหลมปางตายอย่างนี้ ยักษ์ใหญ่ก็ยักษ์ใหญ่เถอะ… ทนได้ก็เกินไป…

ความจำเป็นดังกล่าวนี้จึงทำให้สหรัฐอเมริกาจำต้องดิ้นรนหาทางออกด้วยมาตรการแข็งกร้าว 2 ประการคือ หนึ่ง - ออกกฎหมายบีบคั้นให้ประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าจำนวนมากอย่างไต้หวัน จะต้องดำเนินการผ่อนปรนความได้เปรียบนั้นลงในระยะเวลา 3 ปี สอง - ใช้มาตรการทางการเงินตอบโต้ โดยใช้วิธีปล่อยให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง เพื่อบังคับให้ค่าเงินไต้หวันแข็งขึ้น ซึ่งมาตรการนี้ใช้ได้ผลมาก ดังจะเห็นว่านับจากปี 2528-2529 ค่าเงินเอ็นที.ของไต้หวันแข็งขึ้นถึง 23% โดนกำราบความเก่งด้วยวิธีนี้ไต้หวันถึงกับลมจับ หากดื้อดึงปล่อยให้ค่าเงินแข็งต่อไปแล้ว นั่นย่อมหมายถึง กาลอวสานของอุตสาหกรรมหลายอย่าง เนื่องจากจุดแข็งของอุตสาหกรรมไต้หวันก็คือ การอาศัยแรงงานมากเป็นส่วนประกอบสำคัญอย่างอุตสาหกรรมเสื้อผ้า ของเด็กเล่น สิ่งทอ

แรงกดดันดังกล่าวนี้เองที่มีผลทำให้รัฐบาลไต้หวันต้องปฏิรูประบบการเงินในประเทศเสียใหม่เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2530 โดยให้มีการยกเลิกการควบคุมการขนย้ายเงินตราออกนอกประเทศ ประชาชนคนหนึ่งสามารถแลกเงินตราต่างประเทศ เพื่อนำออกได้ไม่เกิน 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ปริมาณเงิน 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ก็เพียงพอแล้วที่จะกระตุ้นให้เอกชนหลายรายแสวงหาทางออกในการปรับตัวเองให้อยู่รอด ด้วยการเคลื่อนย้ายทุนออกสู่ต่างประเทศ และแน่นอนล่ะว่าในภูมิภาคเอเชียนี้ จะมีสวรรค์แห่งไหนเลอเลิศเทียมเท่าแผ่นดินไทยไม่มีอีกแล้ว….

กระแสการเคลื่อนย้ายทุนของไต้หวันมาสู่ประเทศไทยนั้นมองผิวเผินคงไม่มีอะไรต้องน่ากลัว ทว่าพิจารณาอย่างลุ่มลึก คำถามที่ต้องขบคิดกันมากคือว่า…

"เขาเข้ามาเพื่อเสริมสร้างหรือทำลายล้างศักยภาพการพัฒนาอุตสาหกรรมของนักลงทุนไทยกันแน่"

ประเด็นนี้มองจากโครงการลงทุนของไต้หวันที่ได้รับการส่งเสริมส่วนใหญ่จะเป็นโครงการตั้งแต่ระดับปานกลางลงมาหาขนาดย่อม มีโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้เงินลงทุนเกินพันล้านบาทเพียง 2 โครงการ คือ โครงการของบริษัทไทยแทฟฟิต้ากับกลุ่มทุนเทกซ์ ที่ลงทุนด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอ สำหรับโครงการขนาดเล็กถึงปานกลางที่พบมากก็ได้แก่ ผักและผลไม้กระป๋อง รองเท้า ถุงมือยาง และของเด็กเล่น และเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้

โครงการลงทุนเหล่านี้ในส่วนของนักลงทุนไทยก็ทำกันมาก และมีอนาคตที่ไปได้สวยเสียด้วย เมื่อต้องมาเจอกับคู่แข่งอย่างไต้หวันที่ว่ากันไปแล้ว ได้เปรียบเราในด้านเทคโนโลยีการผลิตค่อนข้างมาก นี่หมายความว่า… เรากำลังจะฆาตกรรมตัวเองอย่างนั้นหรือ!!?

การพัฒนาของไต้หวันมีลักษณะพื้นฐานใกล้เคียงกับที่ประเทศไทยดำเนินการอยู่อย่างมากก็คือ อาศัยพื้นฐานจากภาคการค้าและพาณิชย์เป็นจุดของการพัฒนาอุตสาหกรรม รูปลักษณ์อุตสาหกรรมของไต้หวัน ส่วนใหญ่เน้นความสำคัญที่การใช้แรงงานมากและมีวัตถุดิบในประเทศสูง ไม่ได้ใส่ใจกับงาน R&D มากนัก ดังนั้นเรื่องที่จะหวังให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย

ก็ในเมื่อแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน โครงการที่ขนเข้ามาลงทุนก็หาได้แตกต่างไปจากที่เคยทำกันมาแล้วในประเทศของเขา หนำซ้ำยังมาชนกับสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว จึงเป็นปุจฉาในหมู่นักลงทุนไทยมากว่า "เราคิดดีแล้วหรือ ที่ปล่อยให้ไต้หวันเติบโตโดยไม่จำกัดขอบเขตอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้"

กุ้งทะเล

ตัวอย่างอันตราย

กุ้งทะเลหรือกุ้งกุลาดำเลี้ยงกันมานมนานร่วมครึ่งศตวรรษแล้ว แต่ก็เงียบหงอย???

แต่ในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา กับการอพยพทุนของไต้หวันมาในไทย อาชีพการเลี้ยงกุ้งทะเลกลับกลายเป็นอาชีพที่เฟื่องสุดขีด หลายคนละเมอเพ้อฝันว่า กุ้งทะเลจะทำให้ร่ำรวยในพริบตา ทั้งนี้ทั้งนั้นด้วยความเชื่อที่ว่า เดินตามรอยผู้เชี่ยวชาญอย่างไต้หวันที่ได้ชื่อว่า เป็นผู้เลี้ยงและส่งออกกุ้งทะเลรายใหญ่ที่สุดของโลกแล้วย่อมไม่ผิดหวัง…

ข่าวคราวของการเลี้ยงกุ้งทะเลในระยะเวลาดังกล่าวจึงมีไม่เว้นวัน ทั้งในรูปแบบที่ชาวบ้านคนไทยทำกันเอง… บริษัทใหญ่อย่างเต็กเฮงหยู เบอร์ลี่ฯ ไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย กระโดดลงไปทำจนถึงการรุกเงียบของไต้หวัน

พื้นที่การเลี้ยงกุ้งทะเลนั้นนิยมเลี้ยงบริเวณป่าชายเลนซึ่งเป็นแหล่งผลิตอาหารสำหรับสัตว์น้ำที่มีค่ามากที่สุด ทั้งยังเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์นั้นที่ดี เดิมทีเดียวป่าชายเลนใน ประเทศไทยเคยมีถึง 2,299,375 ไร่ในปี 2504 แต่กลับเหลือเพียง 1,227,680 ไร่ในปี 2529 ซึ่งพบว่าสาเหตุหลักของการทำลายป่าชายเลนเกิดขึ้นจากการบุกรุกเพื่อใช้เป็นพี้นที่เลี้ยงกุ้งทะเล

ในปี 2528 ที่การบุกรุกส่วนใหญ่ยังเป็นชาวบ้านที่ไม่รู้ถึงโทษานุโทษของการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศวิทยาจากป่าชายเลน ยังมีพื้นที่เพียงแค่ 254,800 ไร่ ทว่าในปี 2530 พื้นที่ของการทำลายกลับสูงขึ้นถึง 404,878 ไร่ เรียกว่าเพิ่มขึ้นถึง 58% ในระยะเวลา 2 ปีเท่านั้น

อัตราการบุกรุกทำลายดังกล่าวนี้ ลำพังเพียงชาวบ้านธรรมดาๆ ย่อมทำไม่ได้แน่นอน นอกเสียจากจะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มทุนอิทธิพลขนาดใหญ่หรือไม่ก็กลุ่มทุนต่างชาติ…

ตัวอย่างของป่าชายเลนที่ถูกทำลายลงอย่างย่อยยับคือ ป่าชายเลนในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ซึ่งมีพื้นที่ป่าชายเลนอยู่ประมาณ 176,181 ไร่ ปัจจุบันประมาณว่าป่าชายเลนของจังหวัดนี้ถูกทำลายลงไปแล้ว 80-90% และกำลังถูกทำลายลงไปอย่างรวดเร็ว

อย่าว่ายังงั้นยังงี้เลย แม้แต่ในเขตอนุรักษ์ซึ่งมีพื้นที่ป่าชายเลนเพียง 18,743 ไร่ ก็ไม่รอดพ้นจากการถูกทำลาย อย่างป่าชายเลนปากน้ำเวฬุ ซึ่งอยู่ในเขตอนุรักษ์ 1,668 ไร่ ได้ถูกทำลายลงไปแล้วกว่า 1,000 ไร่

หลับตานึกคิดกันเอาเถอะว่า ความหายนะของป่าชายเลน ป่าไม้ที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อมของประเทศไทยกำลังจะคืบคลานมาถึงในไม่ช้านี้แล้ว!!!!

ที่น่ามองมากไปกว่านี้ก็คือ จากการระบุอย่างแน่ชัดของ ร.ต.ดำรง รัตนโสภณ ป่าไม้จังหวัดจันทบุรี เล่าถึงเบื้องหลังการทำลายป่าชายเลนว่า เกิดจากการเพาะเลี้ยงกุ้งโดยนายทุนรายใหญ่ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนายทุนต่างประเทศอย่าง "ไต้หวัน" เป็นสำคัญ และนายทุนต่างชาติเหล่านี้ปัจจุบันได้ถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินอย่างถูกต้องแล้วหลายราย

นี่จึงเป็นความน่าห่วงใยประการหนึ่งเกี่ยว การเปลี่ยนแปลงของที่ดิน!!! นอกเหนือไปจากการปั่นราคาที่ดินบางแห่งให้สูงเกิดความเป็นจริงมาแล้ว

"เขามาติดต่อขอซื้อในราคาถูกๆ ชาวบ้านที่รู้เท่าไม่ทันก็เลยเฮโลขายกันไป บางทีสัญญาแม้จะซื้อขายกันไม่ได้ก็ขอทำสัญญาเช่ากันเป็นร้อยปี คิดดูเอาเถอะว่าหากรูปการณ์ยังเป็นอยู่อย่างนี้ ในอนาคตป่าชายเลนจะมีเหลืออีกหรือ และที่ดินของคนไทยจะมีให้ชื่นชมอีกไหม" ชาวนาจาก จ.จันทบุรีรายหนึ่งบอกเล่ากับ "ผู้จัดการ"

สำหรับสาเหตุใหญ่ที่ทำให้นักลงทุนไต้หวันพากันมาลงทุนเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลในไทยนั้นก็เป็นเพราะว่า "อาชีพการเลี้ยงกุ้งทะเลกำลังจะกลายเป็นของต้องห้ามในไต้หวัน เนื่องมาจากผลกระทบจากการทำฟาร์มกุ้งก่อให้เกิดการทรุดตัวของแผ่นดินถึงปีละ 8 นิ้ว จนทำให้กลุ่มนักธุรกิจอุตสาหกรรมอื่นๆ ต้องทำหนังสือบันทึกถึงรัฐบาลให้จำกัดพื้นที่เพราะเลี้ยงกุ้งทะเล

สถานการณ์บ้านเขามันเป็นอันตรายอย่างนี้ จึงต้องเบี่ยงเบนเป้าหมายมายัง ประเทศไทยที่มีสภาพความพร้อมทุกๆ ด้านรองรับ ไม่ว่าจะเป็น ที่ดินป่าชายเลนที่มีเหลือเฟือ แรงงานราคาถูก และยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยที่เห็นว่า ต้นแบบการเลี้ยงกุ้งทะเลของไต้หวันน่าจะเสริมสร้างความมั่งคั่งให้กับคนไทยได้

น่าเสียดายที่รัฐบาลคาดการณ์ผิดไปถนัดใจ… ทั้งนี้เพราะว่ากรรมวิธีการเลี้ยงระหว่างไทยกับไต้หวันนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ขณะที่เราเลี้ยงกันได้โดยถัวเฉลี่ย 75 กก./ไร่ ของไต้หวันกลับเลี้ยงได้สูงถึง 1,000 กก./ไร่

เทคโนโลยีการเลี้ยงเหล่านี้เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยแย้มพรายให้กับเกษตรกรไทยรับทราบสักนิดเลย… และอย่าว่าแต่เกษตรกรรายย่อยเลย แม้แต่นักลงทุนไทยรายใหญ่ๆ บางรายก็ไม่อาจซึมซัมเทคโนโลยีของไต้หวันได้เช่นกัน จนถึงกับทำให้หลายรายล้มคว่ำไม่เป็นท่ามาแล้ว

"เรื่องของการทำลายป่าชายเลนนั้น เราต้องคำนึงเป็นสำคัญ แต่ถ้ายับยั้งมันไม่ได้ ก็ต้องหาทางแก้ไขด้วยการพัฒนาการเลี้ยงให้ได้คุณภาพและปริมาณสูง/พื้นที่ที่ลดน้อยลง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราต้องเรียนรู้จากไต้หวันที่มีชื่อ เราต้องเรียกร้องการลงทุนของเขาให้ถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่เราเป็นการตอบแทนบ้าง" พีรพงศ์ ถนอมพงศ์พันธ์ ส.ส. กทม. ผู้สนใจในเรื่องนี้กล่าวให้ฟัง

เป็นข้อเสนอแนะที่น่ารับฟัง และควรร่วมมือกันทำให้เป็นจริง!!!

เราจะปล่อยให้เขาตักตวงผลประโยชน์ไปแต่เพียงถ่ายเดียวได้ยังไง ???



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.