เจือ ภวสันต์ : ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดบริษัทไอซีไอ เอเชียติ๊ก (เกษตร)
จำกัด (ไอเอเอซี) เดิมประจำอยู่กับเอเชียติ๊ก ในตำแหน่งดีพาร์ทเม้นท์ เมเนเจอร์,
เคมีคัล แอคติวิตี้ส์ และเมื่อก่อตั้งไอเอเอซี ในปี 2524 ก็มาประจำที่นี่และเป็นหนึ่งในกรรมการของบริษัทด้วย
"เรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยี แน่นอนว่า ไอซีไอ พีแอลซีได้ทรานสเฟอร์
เทคโนโลยีมาให้แก่เรา อย่างเรื่องพาราคว๊อทนี่เป็นตัวอย่างอันหนึ่ง (คือสารกำจัดวัชพืช)
เมื่อเริ่มตั้งโรงงานเขาก็ส่งคนมาชุดหนึ่งเพื่อที่จะฝึกคนของเรา พอรู้พื้นฐานการผลิตแล้ว
เราก็ส่งคนของเราไปฝึกที่บริษัทแม่ ไปเรียนรู้ที่นั่น
เริ่มต้นนั้นเขามาช่วยในการสร้างโรงงานตามมาตรฐานที่ตั้งไว้ คือเขาเป็นคนออกแบบมาให้เราว่าขั้นตอนการผลิตต้องเป็นอย่างนี้
เครื่องไม้เครื่องมือต้องเป็นอย่างนี้ๆ จึงจะผลิตได้ตามมาตรฐานอันนี้ เขาก็ต้องทรานสเฟอร์
เทคโนโลยีกับโนว์ฮาวทุกอย่างมาให้เรา แล้วเราก็เอามาก่อตั้งโรงงานตามที่เขาได้วางแปลนไว้
โดยมีผู้เชี่ยวชาญของเขามาควบคุม จนเสร็จแล้วกลุ่มที่ควบคุมโรงงานก็กลับไป
เขาก็ส่งอีกชุดหนึ่งที่เก่งในทางการดำเนินงาน เป็นทีมที่เชี่ยวชาญในการผลิตเพื่อทำการฝึกคนของเรา
ซึ่งก็จะฝึกกันตั้งแต่พื้นฐานการสร้างโรงงาน ก็เรียนรู้จากเขามาเรื่อยๆ ทีละอย่างจนก่อนที่จะผลิตเราก็จะมีการประชุม
เขาก็จะให้ความรู้แก่พวกเราที่เกี่ยวข้องถึงกรรมวิธีการผลิต การจัดการโรงงานว่าจะต้องทำอย่างไร
หลังจากนั้นเขาก็จะอยู่กับเราสักหนึ่งประมาณ 3 เดือนจนเขาแน่ใจว่าคนไทยสามารถทำได้เอง
แล้วพวกเขาก็กลับไป
ในระหว่าง 3 เดือนนั้น เราก็ส่งผู้จัดการโรงงานไปเรียนจากโรงงานในต่างประเทศ
จนถึงปัจจุบันเราก็สามารถดำเนินงานของเรามาเองได้โดยไม่มีปัญหา ในแต่ละปีเราก็ได้มีการส่งคนของเราออกไปเรียนเพิ่มเติมเรื่อย
เพื่อไม่ทำให้บริษัทล้าหลังได้
"การริเริ่มคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ นั้น บริษัทยังไม่มีความสามารถที่จะทำได้
ต้องรอ เทคโนโลยีจากต่างประเทศ การจะทำเช่นนั้นได้ต้องมีแล็ป ยาตัวหนึ่งๆ
ต้องอาศัยเวลานานกว่าจะพบและยังต้องอาศัยการทดลองต่างๆ กว่าจะนำออกมาผลิตเพื่อขายได้ก็ใช้เวลาถึง
8 ปี ใช้งบประมาณ 5-600 ล้านบาท
"เราไม่มีทุนที่จะทำอย่างนั้น ต้องบริษัทใหญ่ๆ ระดับชาติเท่านั้น จึงจะทำอย่างนั้นได้
เมื่อไอซีไอ พีแอลซีค้นพบและทดลองผ่านไป 8-9 ปีแล้ว เขาก็จะติดต่อมาทางเรา
แผนกอาร์ แอนด์ ดี ก็จะนำเข้ามาวิจัยดูความเหมาะสมด้านต่างๆ ว่าจะใช้ในประเทศไทยได้หรือไม่
ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-3 ปี เร็วที่สุดที่จะออกสู่ตลาดได้คือ 2 ปี
"เทคโนโลยีที่ไอซีไอถ่ายทอดให้แก่คนไทยก็เป็นความรู้ของคนไทย เป็นสมบัติของเราไป
มันก็ฝังอยู่ในหัวของเรา เราก็ถ่ายทอดต่อให้ลูกหลาน จริงอยู่มันอาจจะเป็นความรู้เก่า
แต่ยังไงมันก็เป็นความรู้ทำให้คนเราฉลาดขึ้น เรียนรู้มากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อประเทศอย่างมหาศาล
"อย่างเวลานี้ โรงงานผลิตยาเคมีกำจัดศัตรูพืชแห่งแรกคือ ไอซีไอ ที่ผลิตจริงๆ
ไม่ใช่ฟอร์มูเลท ซึ่งถ้าไอซีไอไม่ได้ลงทุนกับเราก่อตั้งบริษัทนี้ เราก็ไม่มีความรู้ทรานสเฟอร์มาสู่คนไทย
จนแม้แต่ทุกวันนี้เราอาจจะไม่รู้ว่ากรรมวิธีการผลิตเป็นอย่างไร แต่วันนี้เรารู้แล้วว่าตัวพาราคว๊อทนั้นผลิตอย่างไร
มาจากไหน ขบวนการผลิตนั้นเป็นอย่างไร นั่นก็เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย"
วิรัช ชาญด้วยวิทย์ : เจ้าหน้าที่ประจำสำนักพัฒนาธุรกิจไอซีไอ เพิ่งเข้าร่วมงานกับไอซีไอได้
8 เดือนจบการศึกษาด้านเคมีจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวิศวเคมีจากแคลิฟอร์เนีย
สหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีปริญญาเอ็มบีเอ จากเอเชี่ยน อินสติติว ออฟ แมเนจเม้นท์
จากมะนิลา พ่วงท้ายมาอีก ประสบการณ์การทำงานนั้นอยู่กับบริษัทคอนซัลเต้นท์มาเป็นเวลา
10 ปีเต็ม ก่อนจะย้ายมานั่งที่ไอซีไอในตำแหน่งที่เจ้าตัวบอกว่า "ไม่ต่างจากที่เดิมนัก"
"เราต้องการให้คนไทยเห็นอิมเมจของไอซีไอว่าไม่ใช่บริษัทที่เข้ามาเอาเปรียบ
เราต้องการอยู่ในเมืองไทย ลงทุนในเมืองไทย และเทรนคนไทยให้ขึ้นมาสามารถช่วยเรื่องเทคโนโลยีของเขาได้
มันเป็นปรัชญาของไอซีไอทุกแห่งทั่วโลกว่า บริษัทที่เข้าไปอยู่นั้นจะต้องโอเปอเรท
โดยคนในท้องถิ่นนั้นหลังจากที่เทรนเขาขึ้นมาแล้ว เพราะฉะนั้นตำแหน่งใหญ่ๆ
จะไม่เหมือนของญี่ปุ่น
"การเทรนคนไทย ไม่ได้ฝึกเมื่อรับเข้ามาทำงาน แต่ฝึกตั้งแต่เขาเริ่มเรียน
คือเรามีทุนการศึกษา เราทำอยู่แล้วคือติดต่อกับปิโตรเลียม ฟาวน์เดชั่นของจุฬาฯ
ชื่อปิโตรเคมีคัล คอลเลจ มีอาจารย์จากคณะวิทยาฯ และเคมีคัล เอนจิเนียร่วมกัน
ตั้งเป็นวิทยาลัยขึ้นมาเพื่อที่จะสกรีนคนเข้ามาทำงานในวงการอุตสาหกรรมปิโตรเคมีโดยเฉพาะ
เรามีทุนที่จะให้โดยนักศึกษาไม่จำเป็นว่าจะต้องมาทำงานกับเรา เพราะเราต้องการจะสร้างคน
เรารู้อยู่แล้วว่าจะต้องขาดแคลนคนในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะวิศวกรทางปิโตรเคมี
"เรื่องการตลาดนั้น เรามีตลาดภายในประเทศอยู่แล้ว เราขายพีทีเอให้บริษัทที่ทำโพลีเอสเตอร์
ผ่านอิ๊สต์เอเชียติ๊กอยู่แล้ว คือตลาดทั้งหมดของเรานั้นอยู่ในนี้แล้ว
"ในเรื่องของการนำหุ้นเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้น เป็นข้อเสนอของเราและเป็นนโยบายของบริษัทด้วยในการที่จะจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน
ประมาณ 3 ปีจะนำหุ้น 20-30% เข้าไปในตลาด นี่เป็นนโยบายและเป็นปรัชญาของเราที่ว่าโปรเจคใหญ่ๆ
อันไหนที่เราจัดทีมเวิร์คบริหารได้ดีแล้ว เราจะให้คนที่เป็นเจ้าของประเทศเป็นเจ้าของบริษัทนั้นๆ
"เรื่องพีทีเอจะแบ่งพาร์ทเนอร์ออกเป็น 2 แบบ คือไทย เมเจอร์ พาร์ทเนอร์
กับคอนซอร์เทียมของไทยที่เป็นบริษัทเล็กๆ ดึงเขามา อีเอซีอาจจะเป็นคอนซอร์เทียม
พาร์ทเนอร์ เพราะเขาไม่ต้องการเป็นเมเจอร์ พาร์ทเนอร์ ส่วนเมเจอร์ พาร์ทเนอร์นั้นก็อาจจะเป็นสหยูเนี่ยน
หรือซีพี" (ไอซีไอได้ประกาศเมื่อต้นเดือนกันยายนว่า เมเจอร์ พาร์ทเนอร์คือสหยูเนี่ยน
แต่ยังไม่เปิดเผยสัดส่วนการถือหุ้นที่แน่นอน คาดว่าอยู่ระหว่าง 30-40%)"
ร็อบ จอห์นสัน : กรรมการผู้จัดการบริษัทไอซีไอ เอเชียติ๊ก เคมีภัณฑ์ จำกัด
(ไอเอซีซี) การศึกษาจบปริญญาเอกด้านเคมีจากประเทศออสเตรเลีย และเริ่มงานเป็นแห่งแรกกับไอซีไอ
ออกสเตรเลีย เมื่อปี 2498 ในแผนกวิจัยและทดลอง ตลอดเวลา 33 ปีที่อยู่กับไอซีไอได้โยกย้ายเปลี่ยนตำแหน่งมาตลอด
เคยเดินทางไปประจำที่ไอซีไอ อินโดนีเซียเป็นเวลา 3 ปี และอีกครั้งหนึ่งก็เมื่อมาประจำที่ประเทศไทยได้ประมาณ
2-3 เดือน ในวัย 55 ปีของคุณร็อบ จอห์นสันพร้อมกับประสบการณ์จำนวนมากจะสามารถพัฒนาบุกเบิกให้ไอเอซีซีก้าวรุดหน้าไปได้อย่างแน่นอน
"ไอซีไอ ออสเตรเลียนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของไอซีไอ และมีการพัฒนาความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
ซึ่งต่างออกไปจากที่มีในอังกฤษ หรือที่อื่นๆ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านนี้ หมายถึง
เทคโนโลยีจำเพาะ ความสามารถเฉพาะในการที่จะใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะในเรื่องโรงงานขนาดเล็ก
ทั้งนี้ไอซีไอที่อังกฤษนั้นมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรงงานขนาดใหญ่มากกว่า
อย่างเช่นที่มาประมูลโครงการพีทีเอที่มาบตาพุด เป็นต้น
"ส่วนไอซีไอ ที่ออสเตรเลียนั้น เนื่องจากว่าเป็นประเทศเล็ก จึงได้พัฒนาการใช้เทคโนโลยีสำหรับโรงงานขนาดเล็ก
เพื่อทำให้เกิดการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น โรงงานของไอเอซีซีที่บางปูนั้น
ก็มีขนาดเดียวกับโรงงานของไอซีไอในเมลเบิร์น ดังนั้นเราจึงสามารถถ่ายทอดเทคโนโลยีในเมลเบิร์นมาสู่เมืองไทยได้โดยตรง
"เทคโนโลยีที่จะถ่ายทอดมานี้มี 2 ลักษณะคือ - เทคโนโลยีในการสร้างโรงงานขนาดเล็กให้ผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การถ่ายทอดความเชี่ยวชาญต่างๆ ให้แก่คนงานไทย รวมทั้งวิธีการดำเนินงานที่ยากๆ
ให้กับโรงงานขนาดเล็กที่นี่ ทั้งนี้ไอซีไอ ออสเตรเลียมีความสามารถในการจัดการวัตถุดิบและการที่จะทำให้เครื่องจักรในโรงงานทำงานได้ตลอด
24 ชั่วโมง ซึ่งจะเป็นการช่วยลดต้นทุนด้านแรงงานลงได้มาก
"สิ่งที่ไอซีไอ ออสเตรเลียนำมาให้ประเทศไทยก็คือ ความเชี่ยวชาญพิเศษในการดำเนินงานในโรงงานขนาดเล็ก
"ทางด้านเทคโนโลยีนั้นเราก็ได้มีการถ่ายทอดให้กับคนไทย โดยมีการส่งวิศวกรด้านเคมีไปฝึกงานที่ออสเตรเลียเป็นเวลา
6 สัปดาห์ และเขาจะกลับมาดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายผลิต
"ผลิตภัณฑ์ที่จะผลิตนั้นมีหลายอย่างคือ พลาสติกไซเซอร์ จะเริ่มดำเนินการผลิตในราวกลางปี
2532 แต่ในปลายปี 2531 ก็จะมีการผลิตออกมาบางตัวก่อนแต่ว่าอยู่ในคอมพาวน์เดียวกัน
คือเกี่ยวกับน้ำมันเบรกกับน้ำยาใส่หม้อน้ำรถยนต์ และอีกอันหนึ่งเป็นสารผสมพิเศษที่ใช้ในน้ำยากำจัดศัตรูพืช
"ในเรื่องของตลาดภายในประเทศ สำหรับพลาสติกไซเซอร์นั้นก็มีการเติบโตพัฒนาอย่างรวดเร็ว
และอยู่ในอัตราที่สูงมาด้วย เราคาดว่าส่วนแบ่งการตลาดของผลิตภัณฑ์คลอรีน
พลาสติกไซเซอร์ของเราจะมีอยู่ประมาณ 50-60% เราคาดว่าเราจะมีกำลังผลิตได้เต็มที่ในช่วง
2 ปีและเราก็หวังว่าเราจะมีการขยายกำลังผลิตออกไปได้อีก
"ปรัชญาการทำงานของไอซีไอกับของญี่ปุ่นนั้นต่างกัน ของญี่ปุ่นจะนำผู้เชี่ยวชาญต่างๆ
เข้ามาด้วยเป็น 10 คน แต่ของไอซีไอเอาเข้ามาเพียงคนเดียว นอกจากนี้ยังได้มีการเซ็นสัญญาซื้อขายเทคโนโลยีระหว่างไอซีไอ
ออสเตรเลีย กับไอเอซีซี ซึ่งครอบคลุมไปถึงความก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีนั้นในเวลาต่อไปด้วย
นี่คือปรัชญาการถ่ายทอดเทคโนโลยีของไอซีไอ ไม่ใช่การเข้ามาแล้วก็เอาแต่ประโยชน์ส่วนตัว
"ในอีกด้านหนึ่งก็คือการฝึกคนไทยให้มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ทั้งในแง่ของกระบวนการผลิตและการบริหารงาน
และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมคนไทยก็จะได้เป็นเจ้าของเทคโนโลยีและการบริหารงานเหล่านี้เอง
แต่เป็นเวลาใดนั้นก็ยังไม่สามารถบอกได้"