แซงต์-แซร์วองและอเลต

โดย สุภาพิมพ์ ธนะพรพันธุ์
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา( พฤศจิกายน 2553)



กลับสู่หน้าหลัก

แซงต์-แซร์วอง (Saint-Servan) ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแซงต์-มาโลในปี 1967 เป็นย่านที่ร่มรื่นและสงบกว่าแซงต์-มาโลมาก ตัวเมืองเล็กกะทัดรัด ถนนแคบๆ ที่รถวิ่งได้ทางเดียว โดยที่ให้รถจอดได้ฟากหนึ่ง รถประจำทางขนาดใหญ่จึงวิ่งค่อนข้างลำบาก

พากันเดินลัดเลาะจนถึงบริเวณหาดโซลิดอร์ (Solidor) เป็นช่วงน้ำทะเลลด หาดทรายจึงว่างเปล่า อย่างไรก็ตาม ไม่แน่ใจว่าหาดช่วงนี้อนุญาตให้ลงเล่นน้ำทะเลได้หรือไม่ สิ่งที่สะดุดตาคือหอคอยโซลิดอร์ (Tour Solidor) ตั้งบนแหลมยื่นออกไป เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ Musee internationale du Long-Cours Cap-Hornier

หอคอยแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการป้องกันเมือง ซึ่งฌองที่ 4 แห่งเบรอะตาญ (Jean IV de Bretagne) ให้สร้างขึ้นเพื่อควบคุมแซงต์-มาโลที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ พิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับการเดินเรือ ตั้งแต่สมัยคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) วาสโก เด กามา (Vasco de Gama) มาเจลแลน (Magellan) จอห์น เดรค (John Drake) นักเดินเรือชาวแซงต์-มาโล และการค้นพบ เคป ฮอร์น (Cape Horn) ได้เห็นแท่งหิน ที่นักเดินเรือชาวโปรตุเกสไปสร้างไว้ในดินแดนที่ไปถึงทุกแห่ง

เมฆสีดำเต็มท้องฟ้า ลมกระโชกแรงจนเจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ลดธงของหลากประเทศที่เกี่ยวข้องกับเคป ฮอร์นลง ได้เวลาอาหารกลางวัน แถวหาดมีร้านอาหารหลายร้านด้วยกัน เลือกร้าน L’Atre เป็นร้านอาหารที่ดูดีกว่าร้านอื่นๆ แล้วก็ไม่ผิดหวัง เพราะอาหารอร่อยและไวน์รสดี เริ่มด้วยบรรณาการจากร้าน เป็นครีมกุ้งใส่มาในแก้วใสเล็กจิ๋ว แถมเนื้อกุ้งมาด้วย เป็นการเรียกน้ำย่อย อาหารจานหลักเป็นรีซอตโต (risotto) ใส่เห็ดและหอยแมลงภู่ รสกลมกล่อม จากนั้นได้เวลาเดินสำรวจ มีซากปรักของโบสถ์สมัยกาโรแลงเจียง (Carolingien) แล้วจึงเลือกเดินไปตามทางเดินเลียบทะเลไปยังย่านที่ชื่อ Alet ผ่านร้านอาหารชื่อ La Corderie ซึ่งสามารถรับประทานอาหารและชมทะเลไป ด้วย หมายใจว่าหากมีคราวหน้า จะมาที่ร้านนี้

Alet บางครั้งเขียนว่า Aleth เป็นเมืองเก่าของแซงต์-แซร์วอง ยังมีซากกำแพงเมืองที่ชาวโรมันสร้างไว้ ทางเดินเลียบทะเลชันขึ้นเรื่อยๆ จนถึงทางแยก เลือกที่จะเดินขึ้นเนินสูง และได้พบว่าบนนั้นเป็นชัยภูมิเหมาะ ทหารเยอรมันคงคิดเช่นนั้นเช่นกัน จึงไปสร้างบังเกอร์พร้อมติดตั้งปืนใหญ่ไว้ ปัจจุบันเป็นอนุสรณ์สถาน เพื่อรำลึกถึงสงครามโลกครั้งที่สอง

จากแซงต์-แซร์วองและอเลต เดินมาถึง intra muros จนได้ ฝั่งตรงข้ามกับ แซงต์-มาโลคือเมืองดีนารด์ (Dinard) มีเรือข้ามฟากระหว่างสองเมืองโดย Compagnie Corsaire จึงลงเรือไปยังดีนารด์

ชาวอังกฤษเป็นผู้พัฒนาเมืองดีนารด์ ให้เป็นเมืองพักผ่อนชายทะเล จึงมีกลิ่นอาย อังกฤษอวลอบทั่วไป ไหนจะร้านขายเครื่อง กระเบื้องของอังกฤษ ไหนจะร้านขายชายี่ห้อ Lindfield ที่หอมอร่อยมาก ซึ่งมาค้น พบหลังจากกลับจากดีนารด์แล้ว น่าเสีย ดายเป็นอย่างยิ่งที่ไม่ได้ซื้อติดมือกลับมา ดีนารด์มีกาสิโนอยู่แถวชายหาดด้วย คฤหาสน์บนชะง่อนผาสวยงามมาก ชวนให้เคลิ้มฝัน ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่เมืองนี้ จึงไม่ได้เห็นอะไรมากนัก ขากลับเดินเลาะ ไปตามทางเดินเลียบทะเล ทางเดินแคบๆ อยู่บนหน้าผา ไม่มีอะไรกั้น น่ากลัวสำหรับ ผู้ที่กลัวความสูง จึงเดินแนบเขาตลอดเวลา

รับประทานอาหารค่ำที่โรงแรม Armoricaine ซึ่งอยู่ตรงทางไป Plage du Bon Secours เป็นเซตเมนูราคาไม่แพง เสิร์ฟอาหาร 3 จาน เลือกจานแรกเป็นหอยเชลล์ขนาดเล็กที่เรียกว่า petoncle อบใส่ผักชีฝรั่ง-persil กระเทียม เนยและไวน์ขาว อาหารจานหลักเป็นปลา อาหาร อร่อยมากจนต้องกลับไปอีกมื้อหนึ่ง เมื่อไปถึงนั้น พนักงานเสิร์ฟถามว่าจองไว้หรือ เปล่า ปรากฏว่าเจ้าของโรงแรมและร้านอาหารนำชื่อผู้จองไปวางตามโต๊ะต่างๆ เหลือเพียงไม่กี่โต๊ะเท่านั้นที่ไม่มีผู้จอง

วันเดินทางกลับ รถไฟออกเวลาเที่ยง เจ้าของบ้านอาสานำกระเป๋าไปส่งให้ที่สถานีรถไฟ จึงมีเวลาไปเดินเล่น ไปยังย่านที่ชื่อว่าโรเซส์ (Rosais) เป็นย่านสวยงามของแซงต์-แซร์วอง บ้านเรือนสวยน่ารัก บางบ้านมีระเบียงขนาดใหญ่ยื่นลงไปในทะเล พลันเห็นคนว่ายน้ำอยู่ 2-3 คน มองจากด้านบนลงมา นึกว่าเป็นหาดส่วนตัว หากกลายเป็นว่าเป็นหาดสาธารณะขนาดเล็ก น้ำใสน่าว่ายเป็นอย่างยิ่ง ทางเดินลงหาดลาดชัน ต้องมีราว จับอยู่ตรงกลาง เป็นหาดที่ชาวบ้านแถบนั้นต่างมุ่งมา

เดินเลาะจนถึงใจกลางเมืองแซงต์-แซร์วอง ไม่มีเวลามากพอที่จะไป intra muros ตามที่ตั้งใจ จึงแวะหาเครื่องดื่มที่ร้านชื่อ Livresse เป็นร้านน่ารักที่จัดหานิตยสารต่างๆ ให้ลูกค้านั่งอ่านด้วย ภายในร้านขายชาของ Lindfield ด้วยต้องใจรส Digestive ที่เคยดื่มที่ร้าน Marie Cuisine เป็นส่วนผสมที่มีชะเอม จึงหอมหวานกรุ่นลิ้น ทว่าไม่มีรสนี้ จึงเลือก Earl Grey แทน

แล้วก็ได้เวลาจับรถประจำทางไปยังสถานีรถไฟ มาดามเจ้าของบ้านนำกระเป๋ามาให้ตามเวลานัดหมาย

จากแซงต์-มาโลมาโดยไม่ได้ชิมไอศกรีมของร้าน Sanchez ที่มีรสให้เลือกหลายสิบชนิด แต่ละครั้งที่ผ่านไป ผู้คนเข้าแถวรอซื้อหนาแน่น จึงได้แต่เดินจาก หมายใจว่าคราวหน้าจะต้องลิ้มให้ได้ ด้วยว่าเห็นแต่ละคนซื้อโคนขนาดใหญ่น่ากินเป็นอย่างยิ่ง


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.