เอทีแอนด์ที ละครฉากใหญ่ที่ยังจัดไม่เสร็จ


นิตยสารผู้จัดการ( ตุลาคม 2531)



กลับสู่หน้าหลัก

เอทีแอนด์ทีมาเมืองไทยอย่างฟอร์มโต แต่หลายคนสรุปให้เสร็จว่าไปๆ มาๆ ก็ "ตายน้ำตื้น" ทุกวันนี้ เอทีแอนด์ทีเก็บเนื้อเก็บตัวมากขึ้น เหมือนประหนึ่งจะรอบางสิ่งพร้อมสรรพสมบูรณ์เสียก่อน หรืออาจจะต้องทำตัวเงียบๆ ตลอดไปก็เป็นได้!

เอทีแอนด์ที AMERICAN TELEPHONE AND TELEGRAPH เชื่อมั่นตัวเองเสมอมาว่าเป็นบริษัทที่มีการบริหารดีที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นผู้ทำกำไรต่อเนื่องกันมาได้มากที่สุด

เอทีแอนด์ทีเริ่มก่อตั้งเมื่อกว่าร้อยปีมาแล้ว โดยนักประดิษฐ์โทรศัพท์คนแรกของโลก อเล็กซานเดอร์ แกรแฮม เบลล์ นับแนั้นมาเอทีแอนด์ทีได้กลายเป็นผู้นำทางด้านการให้บริการการสื่อสารโทรคมนาคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้บริการโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศทั่วโลก

เอทีแอนด์ทีตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ ณ กรุงนิวยอร์ก มีสินทรัพย์ทั้งสิ้นประมาณ 1,000,000 ล้านบาท มียอดจำหน่ายกว่า 825,000 ล้านบาทต่อปี ปัจจุบันเอทีแอนด์ทีมีสาขา กิจการร่วมทุน โรงงานผลิตใน 33 ประเทศ และธุรกิจผ่านตัวแทนจำหน่ายอีกกว่า 70 ประเทศ

เอทีแอนด์ทีเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ในเมืองไทยเอทีแอนด์ทีเริ่มเจาะแนวรบอย่างเด่นชัดในปี 2524 เมื่อเอทีแอนด์ทีให้บริษัท ADVANCE INFORMATION SYSTEMS บริษัทในเครือกลุ่มศรีกรุงวัฒนาที่มี สว่าง เลาหทัย เป็นประธาน เป็นบริษัทตัวแทนจำหน่ายและบริการของเอทีแอนด์ที ทางด้านระบบสำนักงานประเภท VOICE COMMUNICATION และอุปกรณ์สายตอนนอก (OUTSIDE PLANT APPARATUS)

ในสถานการณ์ช่วงนั้นมีแต่ผู้คนมองว่า เอทีแอนด์ทีช่างชาญฉลาดเสียนี่กระไร เพราะการเริ่มมีสัมพันธภาพกับ พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย ที่สำคัญขณะนั้นพลเอกอาทิตย์เป็นผู้บัญชาการทหารบกและเป็นประธานคณะกรรมการบริหารองค์การโทรศัพท์

ปี 2525 เอทีแอนด์ทีได้รับเลือกจากองค์การโทรศัพท์ ในฐานะเป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญถึง 2 โครงการ

ถึงอย่างไรเอทีแอนด์ทีก็มีท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่บ้าง เมื่อเป็นสิงห์ข้ามแดน แต่มิได้ละเลยเสือเจ้าถิ่น ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2528 เจมส์ โอลสัน ประธานคณะกรรมการบริหารเอทีแอนด์ทีขณะนั้น อุตส่าห์เดินทางมาเมืองไทยเพื่อร่วมประชุมกับบุคคลสำคัญในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ที่โรงแรมโอเรียลเต็ล การประชุมครั้งนั้นถือว่าเป็นการประชุม คณะกรรมการที่ปรึกษาในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ซึ่งหลายคนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในภาคธุรกิจเอกชน เช่น โยชิโซ อิเคด้า ที่ปรึกษาอาวุโสของคณะกรรมการบริษัทมิตซุย ท่านเซอร์ วาย เค เปา อภิมหาเศรษฐีทางการเดินเรือของฮ่องกง และ ดร.อำนวย วีรวรรณ ประธานคณะกรรมการบริหารของธนาคารกรุงเทพ

การประชุมครั้งนั้นเกิดขึ้นภายหลังจากที่เอทีแอนด์ทีประสบชัยชนะในศึกการประมูลสมุดโทรศัพท์ในเดือนมกราคม 2528 แล้ว

สิ่งที่เอทีแอนด์ทีมุ่งมั่นมานานสำหรับการลงทุนอย่างขนานใหญ่ในไทยนั้นก็คือ การลงทุนตั้งโรงงานผลิตและประกอบอุปกรณ์โทรศัพท์เพื่อใช้ในประเทศและการส่งออกมูลค่า 480 ล้านบาท มีการจ้างแรงงาน 595 คน กำลังการผลิต 250,000 เครื่องต่อปี

แต่โครงการนี้จบลงที่บีโอไอ เมื่อบีโอไอบอกปัดการให้สิทธิบัตรโครงการของเอทีแอนด์ที เช่นเดียวกับอีก 4 โครงการของกลุ่มอีริคสัน, เอ็นอีซี, เอเอส.อีเล็กทรอนิกส์ ของนอร์เวย์ และกลุ่มซาเทลโก ซึ่งล้วนคล้ายคลึงกัน เพราะบีโอไอให้เหตุผลว่าได้ให้การส่งเสริมแก่กลุ่มไอทีทีไปแล้ว และความต้องการใช้อุปกรณ์โทรศัพท์ในประเทศและลู่ทางส่งออกยังไม่สูงมากถึงขั้นต้องตั้งโรงงานเพิ่ม

อีกโครงการหนึ่งที่เอทีแอนด์ทีสนใจมากๆ ในห้วงเวลา 2528 คือ การเข้าร่วมประมูลโครงการขยายการติดตั้งคู่สายโทรศัพท์เพิ่มจาก 3 แสนเลขหมายเป็น 9 แสนเลขหมาย องค์การโทรศัพท์ตั้งงบประมาณไว้เกือบ 4 หมื่นล้านบาท

ผู้ใกล้ชิดกล่าวว่า ตอนนั้นเอทีแอนด์ทีค่อนข้างจะกระตือรือร้นมาก เพราะคาดว่าโครงการนี้จะมีความสำคัญในอนาคตของโลกสื่อสารโทรคมนมคมเมืองไทยมาก และมองว่าจะต้องเผชิญหน้ากับเจ้าถิ่นคือ อีริคสันแห่งสวีเดน กับเอ็นอีซีแห่งญี่ปุ่นเป็นแน่แท้

แต่งานนี้เอทีแอนด์ทีฝันค้าง เพราะกระทรวงการคลังไม่เห็นด้วยกับกรณีการกู้เงินจากธนาคารโลก โครงการนี้จึงเก็บพับไปในปลายปี 2528

เหนือกว่านั้น กลางเดือนพฤษภาคม 2528 บริษัทเบลล์ แคนาดา อินเตอร์เนชั่นแนล (บริษัทในเครือของเอทีแอนด์ทีที่แคนาดา) เสนอโครงการเทเลสตาร์ซึ่งเป็นโครงการสร้างโทรศัพท์สายเสริม 130,000 เลขหมาย รูปแบบเป็นการร่วมทุนระหว่างองค์การโทรศัพท์ การสื่อสาร และเอกชน เบลล์เสนอจ่ายค่าลิขสิทธิ์ในการดำเนินงานแก่รัฐถึง 2,300 ล้านบาทต่อสัญญา 5 ปี

แต่งงานนี้ก็พับไปอีก เมื่อลักษณะ "ร่วมทุน" นี้จะต้องนำไปสู่การแก้พระราชบัญญัติเกี่ยวกับการสื่อสารที่ให้รัฐผูกขาดแต่ผู้เดียว ซึ่งไม่มีใครกระตือรืนร้นจะตามต่อ

ดูเหมือนว่าแนวรบทุกด้านที่เอทีแอนด์ทีพยายามจะลุยฝ่ามาให้ได้นั้น จะเจอทางตันไปเสียหมด โดยเฉพาะแนวรบการสื่อสารโทรคมนาคมของเมืองไทย

แม้แต่ "ศึกสมุดโทรศัพท์หน้าเหลือง" งานที่จัดว่าเล็กน้อยมากสำหรับยักษ์เช่นเอทีแอนด์ทีก็เถอะ งานนี้เล่นเอาเอทีแอนด์ทีหน้าเหลืองหน้าซีดมาจนเดี๋ยวนี้

สงคราม "สมุดโทรศัพท์" นั้นอีรุงตุงนังมาตั้งแต่ 2527 ซึ่งมีการเปิดประมูลหาผู้จัดทำรายใหม่ ความยุ่งเหยิงของเรื่องทั้งปวง "ผู้จัดการ" ได้เขียนถึงอย่างละเอียดมาโดยตลอด (ฉบับล่าสุดคือ "ผู้จัดการ" เดือนมกราคม 2531)

ผู้สังเกตการณ์ให้ความเห็นว่า ชัยชนะของเอทีแอนด์ทีในครั้งนี้มีนัยอยู่ 2 ประการ คือ หนึ่ง - การทุ่มเทอย่างสุดตัวของเอทีแอนด์ที โดยเฉพาะการให้สิทธิประโยชน์แก่องค์การโทรศัพท์สูงมากอย่างเหลือเชื่อ คือ ภายใน 5 ปี (2529-2533) เป็นเงิน 1,673 ล้านบาท สูงกว่ากลุ่มอื่นที่เป็นคู่แข่งถึง 200%

นั่นอาจหมายถึงการตีค่าให้แก่สมุดโทรศัพท์อย่างสูงมากจากเอทีแอนด์ทีเองว่า สมุดโทรศัพท์น่าจะเป็นหัวหอกในการบุกเข้าเครือข่ายการสื่อสารโทรคมนาคม แต่เอทีแอนด์ทีก็เจออุปสรรคในหลายๆ โครงการดังที่กล่าวข้างต้น

สอง - เอทีแอนด์ทีเข้าใจสถานการณ์และลักษณะพิเศษของสังคมไทยค่อนข้างมาก เอทีแอนด์ทีเข้าผูกติดกับผู้มีอำนาจทางทหารและนักธุรกิจบางคน โดยเฉพาะผู้มีอำนาจในองค์การโทรศัพท์ขณะนั้น ซึ่งกลับกลายเป็นภาพลบแก่เอทีแอนด์ทีต่อสาธารณชนอยู่เรื่อยๆ ในทำนองว่าผู้ใหญ่ในองค์การฯ มีความ "เห็นอกเห็นใจ" เอทีแอนด์ทีมากเป็นพิเศษ แม้กระทั่งปัจจุบัน

แม้เอทีแอนด์ทีจะพ้นขวากหนามครั้งนี้มาอย่างหืดขึ้นคอ แต่ทุกวันนี้เอทีแอนด์ทีก็ยังต้องมาพะวักพะวงกับการสูญค่าปรับ 30 ล้านบาท เนื่องจากจัดพิมพ์และแจกจ่ายสมุดโทรศัพท์ล่าช้า

ความล่าช้านี้เกิดขึ้นเพราะฤทธิ์เดชของจีทีดีซีที่ยังฟาดหางอยู่กว่าจะสงบก็ปลายปี 2530 รวมทั้งปัญหาการโฆษณาและปัญหาด้านเทคนิคการพิมพ์ที่ยังต้องอาศัยเวลาเพื่อสะสมประสบการณ์อีกสักระยะ

โครงการที่เอทีแอนด์ทีดำเนินไปได้ราบรื่นชัดเจนคือ การเทคโอเวอร์บริษัทฮันนี่เวลล์-ซินเนอร์เท็กซ์ (ไทย) เพื่อผลิตแผงวงจรไฟฟ้า (ไอซี) ซึ่งมีโรงงานที่นวนครปทุมธานี การเทคโอเวอร์นี้เป็นผลมาจากการกว้านซื้อหุ้นบริษัทซินเนอร์เท็กซ์ อันเป็นบริษัทในเครือกลุ่มฮันนี่เวลล์โดยเอทีแอนด์ทีในสหรัฐฯ

โครงการนี้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอต่อเนื่องมาจากผู้ลงทุนเก่า เป็นโรงงานผลิตไอซี (INTEGRATED CIRCUIT) กำลังการผลิต 208 ล้านชิ้นเพื่อส่งออกทั้งสิ้นมีคนงานประมาณ 700 คน ใช้เงินลงทุนครั้งแรกประมาณ 700 ล้านบาทหลังการเทคโอเวอร์

วัตถุดิบสั่งซื้อจากตางประเทศทั้งสิ้น ยกเว้นวัตถุดิบประเภทตะกั่ว ตัวบัดกรี บรรจุภัณฑ์ คอนเทนเนอร์ชิพ ซึ่งเป็นส่วนน้อยมากๆ โรงงานในเมืองไทยจึงเป็นเพียงฐานการประกอบชิ้นส่วนเท่านั้น และเป็นการผลิตเพื่อป้อนบริษัทแม่ที่สหรัฐฯ เป็นส่วนใหญ่

โครงการใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่เป็นการปัดฝุ่นโครงการที่เอทีแอนด์ทีเคยเสนอมาแล้ว แต่ไม่ผ่านบีโอไอ คือ โครงการผลิตโทรศัพท์มีสาย ใช้เงินทุน 1,140 ล้านบาท นับเป็นโครงการที่ใช้เงินลงทุนสูงที่สุดในไทยของเอทีแอนด์ที โรงงานผลิตเครื่องโทรศัพท์มีสายนี้ กว่าจะเริ่มการผลิตก็ราวปี 2533 มีกำลังการผลิต 5 ล้านเครื่องต่อปี เป็นการผลิตเพื่อส่งออก และใช้แรงงานทั้งสิ้น 1,100 คน

โครงการนี้โครงการของเอทีแอนด์ที ผ่านฉลุยเช่นเดียวกับโครงการของศรีไทยซุเปอร์แวร์ที่ร่วมทุนกับโกลด์สตาร์

นอกเหนือจากโครงการต่างๆ ที่เอทีแอนด์ทีพยายามจะลงมาลุยเองแล้ว เอทีแอนด์ทีก็เป็น SUPPLIER ผลิตภัณฑ์ชุมสายโทรศัพท์ อุปกรณ์สื่อสัญญาณและคอมพิวเตอร์ หลายคนบอกอีกว่าช่วงหลังมานี้ เอทีแอนด์ทีหันไปเป็น SUPPIER หรือ SUBCONTRACTOR ให้กับหลายเจ้า มักจะไม่ออกหน้าออกตามาประมูลด้วยตัวเอง เอทีแอนด์ทีก็ควรจะพลิกมาเป็น SUBCONTRACTOR เสียดีกว่า

ปลายปี 2530 มีการเปิดประมูลโครงการโทรศัพท์ทางไกลมูลค่า 2,000 ล้านบาท โครงการนี้เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังในการขยายเครือข่ายโทรศัพท์ทางไกลไปทั่วประเทศ ซึ่งเมื่อวางเครือข่ายเรียบร้อยแล้ว การเก็บเกี่ยวงานต่อเนื่องภายหลังย่อมตามมาอีกหลายพันล้าน อีกทั้งการใช้สายเคเบิ้ลใยแก้วก็เป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยอย่างมากๆ (รายละเอียดของความวุ่นวายในการประมูลครั้งนี้อ่านได้จาก "ผู้จัดการรายสัปดาห์" ฉบับวันที่ 1-7 สิงหาคม 2531)

เอทีแอนด์ทีเข้าประมูลงานครั้งนี้ด้วยมีบริษัทเข้าประมูลทั้งสิ้น 14 บริษัท แต่สามารถแบ่งเป็นกลุ่มๆ กลุ่มที่สำคัญมี 2 กลุ่มคือ กลุ่มบริษัทญี่ปุ่น ประกอบด้วย โตโยเมนก้า, มิตซุย และมารุเบนนี กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มบริษัทฝรั่ง คือ บริติช เทเลคอม, อีริคสัน, เทเลททร้า และเอทีแอนด์ที

เอทีแอนด์ทีหลุดจากวงโคจรตั้งแต่การคัดเลือกขั้นที่ 1 คือการพิจารณา MANAGEMENT PROPOSAL และ TECHNICAL PROPOSAL ทั้งยังเป็นการหลุดไปด้วยเหตุผลที่ตลกมากๆ คือ ในขณะที่เอทีแอนด์ทีเป็นผู้ขายอะไหล่ให้บริษัทอื่นที่ยื่นซองประกวดราคาครั้งนี้ โดยกำหนดว่าจะสำรองอะไหล่สำหรับโครงการของตัวเองเพียง 10 ปี แม้ทางองค์การโทรศัพท์ฯ จะทักท้วงแล้ว เอทีแอนด์ทีก็ไม่ขอเปลี่ยนแปลง เอทีแอนด์ทีก็เลยปิ๋ว

หลังจากนั้น เอทีแอนด์ทีก็ยังทำตลกร้ายตามมาอีก ด้วยการทำบันทึกลงวันที่ 30 มิถุนายน 2531 ถึงมหิดล จันทรางกูร ประธานคณะกรรมการพิจารณา โดยอ้างว่า เอทีแอนด์ทีเป็น SUBCONTRACTOR ของเทเลททร้า มีความสงสัยเกี่ยวกับรายละเอียดของวัสดุอุปกรณ์และการกำหนดราคาที่ทางองค์การฯ ยังไม่ได้ระบุให้ชัดเจน ทั้งที่เหลือเวลาก่อนเปิดซองประมูลอีกเพียง 10 วัน

เท่านั้นก็ได้เรื่อง ทางองค์การโทรศัพท์ฯ ย้อนตอบกลับมาทันใจ ระบุรายละเอียดให้ชัดเจนขึ้น แถมเป็นข้อกำหนดที่ช่างสอดคล้องกับบริษัทญี่ปุ่นมากๆ และทางองค์การฯ ก็แจ้งไปยังบริษัทที่ผ่านการคัดเลือกขั้นที่ 1 ทั้งหมดด้วย กว่าทางบริษัทฝรั่งจะเปลี่ยนรายละเอียดของข้อเสนอให้สอดคล้องกับข้อกำหนดขององค์การโทรศัพท์ฯ ก็ฉิวเฉียดวันที่เปิดซองประมูล คือวันที่ 11 กรกฎาคม

ในวันนั้น โตโยเมนก้า บริษัทจากญี่ปุ่นชนะการประมูล (ก่อนการพลิกมติโดยรัฐมนตรีคมนาคมในภายหลัง) หลังจากวันนั้น คนที่เซ็งมาๆ คือ เทเลททร้า และไม่ได้เซ้งใครอื่น ก็เซ็งเอทีแอนด์ทีเพื่อนซี้ของตัวเองนั่นแหละ

กว่า 7 ปีที่เอทีแอนด์ทีมาลงหลักปักฐานในเมืองไทย เอทีแอนด์ทีอาจจะพบว่าเมืองไทยนั้นมีข้อยกเว้นมากมายเหลือเกิน และเอทีแอนด์ทีกำลังศึกษาบทเรียนเหล่านั้นอย่างใจเย็นมากขึ้นก็ได้ เอทีแอนด์ทีอาจเป็นพยัคฆ์รายฟอร์มโต แต่ก็มีวันจะมาตายน้ำตื้นในเมืองไทยได้ง่ายๆ เพราะความไม่รู้เหนือรู้ใต้ เข้ามาอย่างอหังการ ย่อมแพ้คนที่มาแต่เดิมที่มีกลยุทธ์พราวแพรวอย่างมิตซุย โตโยแมนก้า เอ็นอีซี บริษัทจากญี่ปุ่น หรืออีริคสันจากสวีเดน เป็นต้น

เอทีแอนด์ทีกำลังไตร่ตรองเวทีที่ตัวเองจะกระโจนขึ้นไปอย่างรอบคอบมากขึ้น

ทางด้านกิจการไอซี เอทีแอนด์ทีคงอิ่มอกอิ่มใจไม่น้อยสำหรับนโยบายส่งเสริมการลงทุนของไทย ดังจะเห็นได้จากการตัดสินใจสร้างโรงงานผลิตเครื่องโทรศัพท์มูลค่าพันล้านในเวลาต่อมา เหตุผลข้อหนึ่งที่เอทีแอนด์ทีให้สำหรับการสร้างโรงงานครั้งนี้คือ "…แรงงานที่ขยันขันแข็งและมีประสิทธิภาพ"

อีกด้านหนึ่งของโครงการผลิตไอซี เราอาจหลงใหลได้ปลื้มกับมูลค่าการลงทุนความใหญ่โตมโหฬารของตัวโรงงาน แต่บางทีเราก็ต้องถามตัวเองบ้างเหมือนกันว่า ที่เอทีแอนด์ทีลงทุนมโหฬารเช่นนี้เราได้อะไรบ้าง?

เอทีแอนด์ทีได้รับการส่งเสริมการลงทุน ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี ยกเว้นอากรขาเข้า ภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบ ยกเว้นภาษีเครื่องจักร ไม่เสียภาษีขาออก วัตถุดิบจากเมืองนอกเกือบ 100% ทั้งยังแพงจนเกินเหตุ

ที่ไทยได้ก็คือ ค่าจางแรงงาน 700 คน และ "หน่ออ่อน" สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีด้านไอซี ซึ่งยังอีกไกลนักที่ไทยจะพัฒนาจนเป็นตัวของตัวเองได้ หรือต่อให้ผลิตเอง ถึงตอนนั้นอาจต้องถามว่า เราจะเอาไปขายให้ใคร ถ้าบริษัทแม่เขาไม่เอา เพราะไม่มีตลาดในเมืองไทย

สิ่งเดียวที่มีผลชัดเจนที่สุดที่เอทีแอนด์ทีกระทำต่อเมืองไทยคือ การแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิ์ผู้รับอนุมัติจัดทำ พิมพ์และเผยแพร่รายชื่อผู้ใช้โทรศัพท์ ซึ่งทำให้องค์การโทรศัพท์ฯ ได้รับผลประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย เบื้องหลังของ พ.ร.บ.ฉบับนี้คือ การผลักดันอย่างเต็มกำลังจากเอทีแอนด์ที หลังจากที่ไม่เคยมีการคุ้มครองลิขสิทธิ์เช่นนี้เลยตลอด 17 ปีที่จีทีดีซีดำเนินงาน

เป็นคณูปการของเอทีแอนด์ทีที่องค์การโทรศัพท์ฯ จักต้องจดจำ

ในอนาคตของเอทีแอนด์ทีในเมืองไทยเพียงสิ่งเดียวที่ย้ำได้คือ คำวิจารณ์จากบริษัทคู่แข่งที่เฝ้ามองเอทีแอนด์ทีก็คือว่า "เอทีแอนด์ทีอาจจะลงทุนสร้างโรงงาน แต่การตลาดและยุทธวิธีของเขาในด้านอื่นๆ ระยะหลังมานี้ไม่กระตือรือร้นเอาเลย แต่ภายหน้า … ไม่แน่"



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.