สรรพสิ่งในใต้หล้าบางครั้งไม่เป็นไปตามที่คาด ยิ่งเรื่องราวบางเรื่องแล้วเบื้องหลังนั้นซับซ้อนกว่าที่คิด
เหตุการณ์ขัดแย้งระหว่างไทย-สก๊อตต์ เปเปอร์ ที่ประสิทธิ์เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง
ดังที่ "ผู้จัดการ" นำเสนอโดยพิสดารฉบับเดียวเดือนกุมภาพันธ์นั้น
ดูตามรูปการณ์แล้วหลายคนคงสรุปว่ามันคือศึกสายเลือดระหว่างสองพี่น้องณรงค์เดชแน่ๆ
เพราะเมื่อประสิทธิ์มีปัญหาแทนที่เกษมจะอยู่เคียงข้างพี่ชาย กลับถือหางฝ่ายตรงข้าม
ยิ่งการที่ประสิทธิ์ตัดสินใจฟ้องบริษัทไทย-สก๊อตต์ เปเปอร์ เรียกค่าเสียหาย
78 ล้านบาท อันเนื่องมาจากใช้ยุทธวิธีทุกรูปแบบ ทั้งโฆษณา แผ่นปลิว เพื่อพยายามให้ผู้ซื้อเชื่อว่ากระดาษชำระยี่ห้อสก๊อตต์นั้นสูญหายไปจากท้องตลาดแล้วอย่างสิ้นเชิงโดยบริษัทไทย-สก๊อตต์
เปเปอร์ ซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์การผลิตเอง ทั้งที่ความจริงอนามัยภัณฑ์เป็นเจ้าของที่แท้จริง
เกษม ณรงค์เดช ในฐานะประธานบริษัทไทย-สก๊อตต์ เปเปอร์ จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงจากการถูกฟ้องร้องในครั้งนี้
"จริงๆ แล้ว การฟ้องครั้งนี้เป็นการฟ้องไทย-สก๊อตต์ เปเปอร์ ไม่ใช่เรื่องที่นายประสิทธิ์ฟ้องน้องชาย
ผมพยายามจะหลีกเลี่ยงด้วย แต่หนังสือพิมพ์ก็พยายามจะโยงว่าเป็นศึกสายเลือดให้ได้"
ประสิทธิ์ ณรงค์เดชบอก "ผู้จัดการ" เย็นวันหนึ่งที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์
เหตุการณ์นั้นเกิดวันที่ 29 เมษายน 2531
ทางฝ่ายไทย-สก๊อตต์ เปเปอร์ ปิดปากเงียบไม่ว่า "ผู้จัดการ" จะพยายามสอบถามอยู่หลายครั้ง
แหล่งข่าวหลายคนรายงานตรงกันว่า ช่วงเวลานั้นสถานการณ์ไทย-สก๊อตต์ ไม่เป็นปกตินัก
คนงานระดับฝีมือลาออกเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งเครื่องจักรต้องหยุดเดินหนึ่งเครื่อง
หรือพนักงานแผนกอื่นๆ หลายคนที่อยู่มานานสมัยประสิทธิ์ หลายคนอึดอัดใจและเตรียมพร้อมที่จะอยู่กับฝ่ายประสิทธิ์
ทันทีที่โรงงานเสร็จ
ทุกอย่างตรงตามที่ "ผู้จัดการ" พยากรณ์ไว้
คนในวงการคาดกันว่าฝ่ายไทย-สก๊อตต์ จะต้องตอบโต้อย่างรุนแรงแบบตาต่อตา
ฟันต่อฟัน แต่นักวิเคราะห์บางคนบอกว่า การฟ้องร้องครั้งนี้น่าจะจบลงด้วยการประนีประนอมมากกว่าอย่างอื่น
เรื่องนี้สงบไปได้พักใหญ่จนหลายฝ่ายคาดว่าคงจะตกลงกันเรียบร้อยแล้ว แต่แล้วจู่ๆ
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา ไทย-สก๊อตต์ เปเปอร์ ก็เปิดฉากฟ้องกลับโดยกล่าวหาว่า
อนามัยภัณฑ์และประสิทธิ์ ณรงค์เดช ละเมิดเครื่องหมายการค้า เรียกค่าเสียหายถึง
83 ล้านบาท
ปรากฏการณ์ครั้งนี้คนนอกวงการมักจะคิดว่า "ศึกสายเลือดภาค 2"
อุบัติแล้วอะไรเทือกนั้น แต่จริงๆ แล้วการฟ้องกลับครั้งนี้ ไม่ใช่การตัดสินใจที่มาจากเกษม
ณรงค์เดชโดยตรง" เกษมเขามีหุ้นแค่ 10% เท่านั้น จะไปมีอำนาจการตัดสินใจอะไร"
ประสิทธิ์บอก "ผู้จัดการ"
เมื่อฟังประสิทธิ์แบบนี้ บางคนอาจจะบอกว่าประสิทธิ์อาจจะไม่ยอมเผยความจริงและอาจจะยังมีเยื่อใยอยู่ระหว่างพี่กับน้อง
แต่จริงๆ แล้วการตัดสินใจฟ้องกลับครั้งนี้เป็นคำสั่งที่มาจากสก๊อตต์ เปเปอร์
โดยตรง
ประจักษ์พยานสำคัญเห็นได้จากการทอดระยะเวลาการฟ้องร้องระหว่างคดีแรกและคดีสองนานถึง
4 เดือน "ถ้าเป็นศึกสายเลือดแล้ว เกษมต้องฟ้องกลับในทันที อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ควรเกินหนึ่งเดือน"
คนที่ติดตามเรื่องนี้วิเคราะห์
ก่อนการฟ้องกลับของไทย-สก๊อตต์ เปเปอร์นั้น ได้มีความพยายามประนีประนอมกันระหว่างไทย-สก๊อตต์
เปเปอร์ และประสิทธิ์ ณรงค์เดช แต่เรื่องยังไม่เป็นที่ตกลงกัน ฝ่ายแรกก็ฟ้องกลับในทันที
หากลองหวนกลับไปดูไทย-สก๊อตต์ เปเปอร์ ในช่วงก่อนการฟ้องกลับไม่นานนัก
เกษม ณรงค์เดช และคุณพรทิพย์ ผู้ภริยา ได้มีโอกาสต้อนรับนายจอห์น บัทเลอร์
รองประธานฝ่ายปฏิบัติการภาคพื้นแปซิฟิกของสก๊อตต์ เปเปอร์
นายบัทเลอร์คนนี้ หากผู้อ่านยังจำได้ เขาเป็นผู้มีบทบาทสำคัญมากกับการกำหนดกลยุทธ์ใหม่ของสก๊อตต์
เปเปอร์ในภูมิภาคนี้
หลังจากนายคนนี้เข้ามาไม่นาน ก็มีการฟ้องร้องในทันทีทันควัน
สงครามที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มกันตรงนี้ มันเป็นการต่อสู้ระหว่างบริษัทท้องถิ่นกับบริษัทข้ามชาติ
"เขาประกาศว่าจะเอาเราให้ตาย" ประสิทธิ์เผยเบื้องหลัง
ภารกิจของนายประสิทธิ์ และอนามัยภัณฑ์ จึงหนักหน่วงกว่าปกติหลายเท่า
"มันเป็นกรณีแรกที่บริษัทต่างชาติต้องการจะเข่นบริษัทท้องถิ่นชนิดที่เรียกว่าใครดีใครอยู่"
ประสิทธิ์ ณรงค์เดช กล่าวเสียงเครียด
จากนี้ไปการต่อสู้ระหว่างประสิทธิ์และไทย-สก๊อตต์ เปเปอร์จะทวีดีกรีกว่าเดิมหลายขุม
ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างประสิทธิ์ ณรงค์เดช และเกษม ณรงค์เดช หรือศึกสายเลือดอย่างที่เข้าใจแต่ประการใด
"เกษมเขาไม่สนใจด้วยว่าไทยสก๊อตต์เขาจะเอาอย่างไร เดี๋ยวนี้เขาเป็นประธานสยามยามาฮา
ยอดขายมากกว่าไทยสก๊อตต์ไม่รู้สักกี่เท่า ที่เขาลงมาดูแลไทย-สก๊อตต์มาหน่อย
ก็เพราะตอนนั้นทางพรประภาเขามีปัญหาหรอก แต่ตอนนี้เขาไปฉิวแล้ว" วงในสรุป