|
พลิกโฉมเด็กกวนกาละแมสู่เศรษฐี 5 หมื่นล้าน กลยุทธ์สร้างความร่ำรวย "ทองมา วิจิตรพงศ์พันธ์"!
ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์(10 ตุลาคม 2553)
กลับสู่หน้าหลัก
ในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ชื่อของ ทองมา วิจิตรพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS คงเป็นชื่อแรกๆที่คนทั่วไปนึกถึง โดยเฉพาะทรัพย์สินที่มีมูลค่าตามการประมาณการในตลาดอยู่ที่ 51,860 ล้านบาท รวมถึงติดอันดับเศรษฐีมี่มีมูลค่าทรัพย์สินสูงสุดในประเทศเป็นอันดับ 8 จาก40 อันดับจากการจัดอันดับของฟอร์บส์ โดยแซงหน้าเจ้าพ่อวงการอสังหาริมทรัพย์อย่าง อนันต์ อัศวโภคิน ผู้ก่อตั้งบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮาส์ ไปแล้ว
และหากอาณาจักรพฤกษาของทองมาที่มีมูลค่ามหาศาลจะสร้างความตื่นตะลึงแล้ว หากเราได้รู้ถึงวิธีคิด ตัวตนและการต่อสู้ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของทองมาจะทราบได้ทันทีว่าทุกประสบการณ์ที่เข้ามาในชีวิตของเขานั้นถือเป็นต้นทุนและแรงผลักดันชั้นดีให้ทองมาสามารถสร้างอาณาจักรพฤกษาให้เติบโตอย่างต่อเนื่องเหมือนที่เห็นในปัจจุบัน
พร้อมกับกล้าประกาศนำพาพนักงานกว่า 5,000 คนและตั้งเป้าให้เป็นบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ติด 1 ใน 10 ของภูมิภาคเอเชียในปี พ.ศ. 2560 ให้ได้
กำไร-ขาดทุน แรงผลักสำคัญ
แน่นอนว่า ภาพของทองมา และพฤกษาฯที่ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในวงการอสังหาริทรัพย์ในขณะนี้แล้ว ยิ่งทำให้หลายคนไม่คิดว่า ทองมามีต้นทุนในชีวิตและการสร้างธุรกิจที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเรียกได้ว่า เติบโตมาจากศูนย์อย่างแท้จริง
“ตอนเด็กเราเริ่มขายของไปรับสลากมาขายให้เพื่อนๆมาจับชิงโชคครั้งละ 25 สตางค์แลกกับของรางวัลพวกของเล่นหรือการเก็บละมุดและกวนขนมกาละแมไปขายที่โรงเรียนจนทำให้รู้จักการประกอบธุรกิจ ซื้อมา ขายไป กำไร ขาดทุนซึ่งนี่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดในการทำธุรกิจ” ทองมา ระบุ
ชีวิตในวัยเด็กของทองมาที่จังหวัดชลบุรีจึงคลุกคลีกับการค้าขายมาโดยตลอด เนื่องจากครอบครัวทำอาชีพขายกระเพาะปลา และทองมาเริ่มจับการค้าขายมาตั้งแต่วัยเด็กทั้งการเก็บละมุดใส่ถุงไปขาย หรือการกวนขนมกาละแมใส่ห่อใบตองไปขายเพื่อนที่โรงเรียนในช่วงประถมศึกษารวมถึงการแบ่งเบาภาระครอบครัวด้วยการการปลูกผัก ช่วยบิดาขายกระเพาะปลา ซึ่งเมื่อย้อนไปมองก็จะพบว่าเป็นการปลูกฝังการทำธุรกิจไปโดยปริยาย
จนดูเหมือนว่าวัยเด็กของทองมาจะค่อนข้างลำบากมากเมื่อเทียบกับเพื่อนๆ ทว่าประสบการณ์ตรงจากการค้าขายเหล่านี้ได้ถือว่าเป็นครูที่ช่วยสอนการค้าขายให้กับเขาและซึมซับความเป็นนักธุรกิจมาโดยไม่รู้ตัว โดยจุดเริ่มต้นจากการแบ่งเบาภาระของครอบครัวมาจนสามารถสร้างนิสัยการรู้จักค้าขายให้เกิดขึ้นมานับจากนั้น
จากช่างทำทอง - สู่วิศวกร
หลังจบชั้นป. 4 ทองมาเข้ามาทำงานในกรุงเทพด้วยการเป็นลูกจ้างในร้านขายยาย่านบางรักอยู่ 1 ปี ต่อมาจึงขยับไปเป็นช่างทำทองอยู่ในร้านทองย่านประตูน้ำ ซึ่งใช้เวลาทำงานอยู่ประมาณ 6 ปี โดยระหว่างนั้นทองมาได้ทำงานเก็บเงินและส่งตัวเองเรียนและสอบเทียบการศึกษาควบคู่กันไปจนจบชั้นป.7 เข้าสู่ชั้น มัธยมศึกษาและสอบเข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาผู้ใหญ่เป็นผลสำเร็จ (ม.ศ.4-5 ณ ขณะนั้น) และเลือกตัดสินใจเข้าสอบในระดับอุดมศึกษาที่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โดยการเลือกเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์เหตุผลสำคัญมาจากข้อจำกัดด้านค่าใช้จ่าย โดยระหว่างการทำงานทองมาทำให้มีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่งที่หมายมั่นว่าจะใช้เป็นทุนการศึกษาตลอดการเรียนระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งมีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นกว่า 30,000 บาทตลอดหลักสูตร และเป็นเงินเก็บจากน้ำพักน้ำแรงในการเป็นช่างทำทองราวๆ 20,000 บาท ทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยประมาณ 2-3 ทุนเป็นเงินประมาณ 5,000บาท และค่าใช้จ่ายจากทางบ้านอีกประมาณ5,000 บาท
“ในช่วง 6 เดือนแรกที่ไปเรียนวิศวที่จุฬาก็ยังคงทำงานเป็นช่างทองอยู่จนคิดว่าเก็บเงินได้เพียงพอแล้ว สำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดไม่ว่าจะค่าหอพัก ค่ากิน ค่าตำรา ค่าเทอม รวมถึงการเรียนที่หนักมากขึ้นจึงต้องลาออกจากงานเรียนเพียงอย่างเดียวแทน”
ทองมาใช้เวลาศึกษาทั้งสิ้น 4 ปีและจบการศึกษาในปี พ.ศ.2524 และเริ่มทำงานในตำแหน่งวิศวกร โดยบริษัทสุดท้ายที่ได้ร่วมงานก็คือ บริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ซึ่งถือว่าเป็น 5 เสือที่ประมูลงานก่อสร้างถนน สะพานงานจากกรมทางหลวง โดยช่วงเวลา2 ปีในฐานะวิศวกรถือเป็นเป็นช่วงที่ให้ประสบการณ์กับทองมาเป็นอย่างมากโดยเฉพาะกับความสามารถในการประเมินราคาวัสดุก่อสร้าง ซึ่งถือว่าเป็นความรู้พื้นฐานที่ช่วยทำให้รู้วิธีการในการประมูลงานรวมไปถึงรับเหมาเบื้องต้น เนื่องจากสามารถประเมินทุนค่าใช้จ่าย ค่าวัสดุ ค่าแรงงาน การทำโครงการ และมีประสบการณ์มากพอที่จะผันตัวไปเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างในเวลาต่อมา
ขณะที่ทำงานอยู่กับบ. วิจิตรภัณฑ์ฯ ทองมาได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในด้านการประเมินราคาอย่างเต็มที่ รวมถึงจุดสำคัญก็คือ บ. วิจิตรภัณฑ์ฯได้ร่วมลงทุนกับ บริษัท นวรัตน์พัฒนาการจำกัด (มหาชน) ด้วย จึงทำให้เมื่อทองมาแยกตัวออกจาก บ.วิจิตรภัณฑ์ ไปทำเริ่มธุรกิจผู้รับเหมาก่อสร้างจึงมีเครือข่ายในการรับเหมาช่วงก่อสร้าง (Subcontractor)มาจากบ.นวรัตน์ฯ ด้วย
ในช่วงแรกของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างยังคงอยู่ในสายงานก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐาน โดยงานในฐานะผู้รับเหมาชิ้นแรกนั้นยังไม่มีเงินทุนมากพอจึงใช้วิธีการได้รับเหมาช่วงก่อสร้าง จาก บริษัท เบสท์เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (บริษัทรับเหมาก่อสร้างจากประเทศไต้หวัน) ซึ่งเป็นงานก่อสร้างสะพานข้ามคลองทั้งหมด 4 แห่งบนถนนสายพนมสารคาม-บ้านสร้าง ระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร แต่บทสรุปครั้งแรกของการรับเหมาชิ้นแรกนี้อยู่ที่เสมอตัวคือไม่มีกำไรแต่ก็ไม่ขาดทุน
ต่อมาทองก็ได้เข้าประมูลและรับงานด้วยตนเองจากงานก่อสร้างสะพานบริเวณท่าอากาศยานกรุงเทพ (สนามบินดอนเมือง) โดยประมูลมาจากบริษัท เมด้า จำกัด (meida) อีกต่อหนึ่ง โดยการรับเหมาค่าแรงโดยบริษัท เมดะเป็นผู้ออกค่าวัสดุซึ่งจากประสบการณ์รับเหมางานในครั้งที่ผ่านมาทำให้รายรับที่ได้สูงขึ้นจนหลังการก่อสร้างเสร็จสิ้นทองมามีกำไรอยู่ที่ประมาณ 5 แสนบาทจากมูลค่าโครงการประมาณ 5 ล้านบาท (ในช่วงปี 2529) ซึ่งทำให้ทองมามีเงินทุนในการทำธุรกิจเพิ่มมาทีละน้อย
จากนั้นทองมาขยับเข้าไปรับงานก่อสร้างโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร จ.ปทุมธานี การก่อสร้างในเครือบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) ซึ่งเริ่มจัดตั้งบริษัทและเริ่มรับงานรับเหมาก่อสร้างอย่างเต็มตัวภายใต้ชื่อ ห้างหุ้นส่วน สยามเอ็นจิเนียริง จำกัด จนกระทั่งปลายปี พ.ศ. 2535 ได้งานรับเหมาครั้งสุดท้ายด้วยมูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท กับโครงการก่อสร้างห้างสรรพสินค้าดิโอลด์สยามพลาซ่า บริเวณตลาดมิ่งเมือง ถือหุ้นโดยสำนักงานทรัพย์ส่วนพระมหากษัตริย์ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารไทยพาณิชย์ จึงทำให้ในช่วงชีวิตของการเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างของทองมาจึงพอเริ่มจะมีทุนพอสมควรที่จะเริ่มต้นธุรกิจใหม่ขึ้นมานั่นเองเข้าสู่วงการอสังหาริมทรัพย์
อย่างไรก็ตามแม้ว่า เขาจะมีเงินทุนเพิ่มขึ้นจากช่วงในการเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างอยู่บ้างแต่การเข้าสู่วงการอสังหาริมทรัพย์ด้วยเงินทุนเพียง 30 ล้านบาทถือว่าไม่มากนักและกลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทำให้ทองมาต้องต่อสู้อย่างหนักอีกครั้ง
ทว่า ภาพลักษณ์ของทองมาที่ทุกคนจดจำได้ดี ก็คือ การเป็นเจ้าพ่อบ้านตลาดล่างหรือราคาไม่แพงมากนัก แต่ในความเป็นจริงแล้วทองมา เริ่มต้นในวงการในนาม หจก.สยามเอ็นจิเนียริ่งฯ ลุยในบ้านระดับกลางซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวราคา 5 ล้านบาทจำนวน 10 หลัง บริเวณย่านรัชดาภิเษกในซอยอาภาภิรมย์ และซอยเสือใหญ่ และขยายไปทำทาวน์เฮ้าส์ราคา 1 ล้านบาทในซอยสุขุมวิท 101 อีกประมาณ 12หลัง ดังนั้นในช่วงเริ่มแรกของทองมาจึงอยู่ที่บ้านระดับกลาง-สูงเฉกเช่นกับนักธุรกิจคนอื่นในวงการอสังหาริมทรัพย์
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในการลงมาลุยในบ้านตลาดล่าง ก็คือ การเข้าฟังปฐกกถาของ ชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวโน้มที่อยู่อาศัยในบ้านระดับราคาไม่เกิน 6 แสนบาท หรือบ้านในตลาดล่างที่มีความต้องการของลูกค้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งประเมินแล้วว่ามีความน่าลงทุนและเป็นไปได้ที่จะพัฒนาธุรกิจของบริษัทให้เติบโตต่อไปได้
ดังนั้น ในปี พ.ศ.2536 หจก.สยามเอ็นจิเนียริ่งฯ จึงได้เปลี่ยนเป็น บริษัท พฤกษาเรียลเอสเตท จำกัดเพื่อลุยในตลาดอสังหารริมทรัพย์อย่างเต็มตัว และได้เริ่มโครงการพฤกษาฯ 1 ที่ อ.รังสิต คลอง 8 จ.ปทุมธานี เป็นโครงการแรก ด้วยโครงการบ้านทาวน์เฮ้าส์ 1 ชั้น จำนวน 1,000 หลัง ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีขายหมดในเวลา 1 เดือนแต่ยังเสมอตัวเนื่องจากตั้งราคาขายต่ำเกินไป จนกระทั่งโครงการพฤกษาฯ 2 อ.รังสิต คลอง 8 จ.ปทุมธานีกับโครงการบ้านทาวน์เฮ้าส์จำนวน 1,700 หลัง จึงเริ่มมีกำไรเพิ่มขึ้นประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์
รวมถึงได้เริ่มขยายบริษัทมากขึ้นจากเดิมที่มีพนักงานทั้งหมดเพียง 40-50 คนซึ่งเน้นในส่วนของฝ่ายก่อสร้างและมีวิศวกรมากกว่าฝ่ายการตลาด จึงทยอยรับพนักงานฝ่ายอื่นๆเข้ามาเรื่อยๆและนำไปสู่โครงการ พฤกษาฯ 3 อ.บางบัวทอง จ.ปทุมธานี โครงการบ้านทาวน์เฮ้าส์ เนื้อที่ประมาณ 700ไร่จำนวนกว่า 7,000 หลัง ซึ่งราคาที่ดินที่สูงถึงราคาไร่ละ 1 ล้านบาทก็แก้ปัญหาด้วยการพยายามทยอยโอนที่ละเขตเพื่อที่จะไม่ต้องแบกภาระทางการเงินมากนัก
อุดจุดอ่อนทุนน้อย
นอกจาก การวางกลุ่มเป้าหมายของลูกค้าไว้ที่ตลาดระดับล่างซึ่งมีปริมาณการซื้อเยอะแล้ว อุปสรรคสำคัญที่ไม่อาจลืมได้ก็คือเงินทุนหมุนเวียนของทองมาที่มีไม่มากนัก ทำให้การจัดซื้อที่ดินสะสม(แลนด์แบงก์)เหมือนกับนักพัฒนาที่ดินรายอื่นซึ่งมีที่ดินสะสมเป็นจำนวนมากไม่อาจทำได้ ทองมาจึงต้องคิดสวนทางกัน และเน้นการซื้อที่ดินในทำเลที่มีลูกค้าต้องการซื้อสูงซึ่งจะทำให้ต้นทุนทางการเงินไม่สูงมากนักเนื่องจากไม่ต้องแบกภาระดอกเบี้ยในการสะสมที่ดิน ทองมาได้ใช้วิธีการนี้มาโดยตลอดกว่า 17 -18 ปีของพฤกษาฯโดยที่ไม่มีการสะสมที่ดินซึ่งเป็นการคิดนอกรอบด้วยความจำเป็นในเรื่องต้นทุนที่จำกัด
ในปัจจุบันพฤกษาฯยังคงไม่มีที่ดินสะสมแต่ใช้แนวทางการให้ผู้รับเหมาก่อสร้างในเครือแข่งขันกันหาที่ดินมาเพื่อให้พฤกษาฯประมูลในการเตรียมพัฒนาที่ดินต่อไปซึ่งการแข่งขันของผู้รับเหมาจำนวนมากก็จะช่วยให้พฤกษาฯ มีต้นทุนในการจัดหาที่ดินไม่มากนัก
รวมถึง การแก้ปัญหาดอกเบี้ยในการกู้เงินจากธนาคารมาพัฒนาที่ดินนั้น ทองมาตีโจทย์ว่าจะต้องแก้ไขและหมุนรอบการเงินให้เร็วที่สุด โดยคำตอบที่ได้คือ ต้องสร้างบ้านให้เสร็จและสามารถรับเงินโอนจากลูกค้าให้เร็วที่สุด ซึ่งระยะเวลาในการก่อสร้างของล่าสุดของพฤกษาฯอยู่ที่ประมาณ 2-3 เดือน (หรือ 120วัน) รวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการก่อสร้างซึ่งช่วยให้ลดระยะเวลาในการก่อสร้างได้มากขึ้น ด้วยการใช้แผ่นผนังสำเร็จรูป(Precast) ซึ่งมีการนำมาใช้ตั้งแต่โครงการพฤกษาฯ 1และพัฒนามาจนและเริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตผนังและพื้นสำเร็จรูปแห่งแรกในปีพ.ศ. 2547จนถึงปัจจุบันที่ พฤกษาฯมีโรงงานดังกล่าวแล้ว 3 แห่งและกำลังก่อสร้างอีก 1 แห่ง
แนวคิดดังนี้มีที่มาจากการได้ไปศึกษาตัวอย่างการสร้างคอนโดมิเนียมของ บ.บางกอกแลนด์ ซึ่งสร้างตึกและคอนโดมิเนียมเมื่อเห็นความเป็นไปได้ก็ได้เริ่มศึกษาและจ้างบริษัทที่ปรึกษาจากประเทศฝรั่งเศสเข้ามาช่วยในการผลิตพื้นและผนังสำเร็จรูปทันที
“แนวคิดก็คือการก่ออิฐฉาบปูนั้นช้าเกินไป ซึ่งเราต้องการการก่อสร้างเสร็จเร็วที่สุดจึงต้องหาวิธีการใหม่ๆเข้ามาช่วย แต่ช่วงแรกยังไม่มีโรงงานแต่เน้นในการสร้างในหน้างานในแบบกึ่งสำเร็จรูปจนพัฒนามาเป็นโรงงานในปัจจุบัน ”
อย่างไรก็ตาม จากวิกฤติต้มยำกุ้งในช่วงปี พ.ศ. 2540 ทำให้โครงการพฤกษาฯที่เกิดขึ้นในขณะนั้นชะลอตัวไปกว่า1 ปีในช่วงของโครงการพฤกษาฯ 4,5,6,7 แต่เมื่อลูกค้ามียอดจองก็ต้องแก้ปัญหาด้วยเร่งสร้างแล้วโอนให้ลูกค้าโดยเร็วที่สุด แต่เมื่อผ่านพ้นภาวะวิกฤติดังกล่าวไปได้ก็เกิดโครงการพฤกษาฯ 8,9 ในช่วงปี พ.ศ.2544-46 จึงได้ขยับจากตลาดบ้านระดับล่างไปเป็นบ้านระดับกลาง-บน
หลงจู๊ทองมา
ลุยทุกสมรภูมิบ้าน
ดังนั้น จึงเห็นได้ว่ารูปแบบการทำงานของทองมานั้นมีเป้าหมายที่วางไว้และต้องทำให้สำเร็จ ซึ่งชัดเจนจากการบุกในตลาดบ้านระดับล่างไปสู่บ้านตลาดกลางและบน รูปแบบการทำธุรกิจที่รวดเร็วและคลอ่งตัวนีส่วนหนึง่มาจากความกล้าคิด กล้าตัดสินใจและลงมือเองในทุกขั้นตอนหรือเป็น “หลงจู๊” ที่ดูงาน ตรวจงาน คุมงานเข้มงาน ในทุกระดับการเติบโตของพฤกษาฯจึงขยายตัวอย่างรวดเร็วและโต 25 เปอร์เซนต์มาโดยตลอด
“เหมือนกับว่าเมื่อเราทำบ้านทาวน์เฮ้าส์จนสุด ก็จำเป็นต้องขยับไปในตลาดที่กว้างขึ้น จึงตัดสินใจลุยในตลาดบ้านเดี่ยวระดับล่างและกลางในโครงการต่อๆมา”
ต่อมาในปี พ.ศ.2545-46 พฤกษาฯได้ขยับเข้าสู่ตลาดบ้านเดี่ยว ซึ่งเพิ่มจากตลาดเดิมที่เน้นบ้านทาวน์เฮ้าส์เป็นส่วนใหญ่ รวมถึงจุดสำคัญที่ทองมาต้องการขยับและพัฒนาองค์กรให้โตขึ้นเรื่อยๆ การขยับมาลุยในสมรภูมิบ้านเดี่ยวจึงกลายเป็นโจทย์ใหม่ที่ท้าทายอย่างยิ่ง
“ก่อนที่พฤกษาฯจะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ถือว่าทำงานหนักมากและทำในทุกรูปแบบทั้งการดูทำเลก่อสร้าง การลงหน้างาน การรับสมัครงาน สัมภาษณ์พนักงานที่ต้องเลือกเฟ้นคนที่มีบุคลิกลักษณะคล้ายกับตนเอง คือ มีความมุ่งมั่นและตั้งใจสูง สู้งานเป็นหลัก รวมถึงทั้งภาคการเงิน การตลาด ดูเองแทบทั้งหมด แต่มาเบาลงเมื่อเข้าสู่ตลาดแล้วงานทุกอย่างกระจายตามหน่วยธุรกิจสาขาต่างๆไปเกือบหมดแล้ว”
การแก้ปัญหาในครั้งนี้อยู่ที่การเลือกทำเล เนื่องจากจุดอ่อนจุดหนึ่งในขณะนั้นก็คือ เงินทุนที่มีไม่มากนัก จึงทำให้การซื้อที่ดินสะสมเพื่อเตรียมไว้พัฒนาโครงการก่อสร้างนั้นไม่มากนัก ดังนั้น จึงจำเป็นต้องกำหนดกรอบ และกลุ่มเป้าหมายของลูกค้าให้ถูกต้องที่สุด เพื่อลดภาระความเสี่ยงและยอดดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นหากต้องกู้เงินมาลงทุนจากธนาคารรวมถึงการก่อสร้างโรงงานผลิตผนังสำเร็จรูปก็แล้วเสร็จจึงทำให้สามารถช่วยให้การก่อสร้างเสร็จเร็วมากยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าจากการเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของพฤกษาฯและทองมา และสามารถผลักดันบริษัท พฤกษาฯ เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เป็นผลสำเร็จจึงส่งผลอย่างมากต่อพลังในการขยายธุรกิจของพฤกษาฯ ทั้งบ้านทาวน์เฮ้าส์ บ้านดี่ยวทุกระดับราคา คอนโดชานเมืองและใจกลางเมือง และจัดหน่วยธุรกิจ (SBU)
จ้าง'Head Hunter'
ซื้อมือดี ขยายธุรกิจ
ในเวลานั้นบทบาทของทองมาจึงไม่ต่างจากหลงจู๊ ที่ต้องล้วงลูกและเข้าดูแลงานในทุกขั้นตอนเองแทบทั้งหมดซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้พฤกษาฯเติบโตมาถึงทุกวันนี้ ได้ แต่การเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์และขยายกลุ่มธุรกิจนี้ แม้ว่าในกลุ่มบ้านทาวน์เฮ้าส์หรือบ้านเดี่ยวระดับล่าง ทองมาจะถือว่ามีประสบการณ์ค่อนข้างโชกโชน แต่การขยายในหลายสาขานั้นจำเป็นหามือดีเข้ามาช่วยเสริมจุดอ่อนของทองมาซึ่งตัวเขาเองก็ทราบดีว่าในตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นที่เขาไม่เชี่ยวชาญจำเป็นต้องมีมือดีเข้ามาช่วยงานซึ่งถือเป็นอีกก้าวย่างที่สำคัญ
“เราก็แจ้งกับบริษัทเฮดฮันเตอร์ไปว่าเราอยากได้แบบไหน ก็บอกไปซึ่งก็มีอยู่หลายบริษัทที่ใช้บริการอยู่ โดยที่เราจะไม่เน้นกำหนดสเปค แบบที่อยากได้เป็นพิเศษแต่จะมาดูว่าแต่ละคนนั้นมีคุณสมบัติที่เหมาะสมตามที่ต้องการหรือไม่ ซึ่งในอดีตนั้นมีกว่าครึ่งต่อครึ่งแต่ตอนนี้ก็เริ่มที่จะพัฒนาขึ้นมาเองจากภายในบ้างแล้ว”
ทองมาแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการควานหามือดีโดยว่าจ้างบริษัทสรรหาบุคลากร (Head Hunter) โดยในขณะนั้นทองมาได้ว่าจ้างบริษัท บอยเด้นท์ (ฺBoydent) รวมถึงอีกหลายบริษัทที่เคยว่าจ้างในการเฟ้นหามือดีเข้ามาช่วยในการขยายธุรกิจจนทำให้ได้มือดีเข้ามาร่วมงานมากมาย อาทิ ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต อดีตผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบมจ.ลลิลพร็อพเพอร์ตี้มารับตำแหน่งกรรมการและรองกรรมการผู้จัดการดูในสายงานการวางแผนธุรกิจและการขาย
ณรงค์ มาณพวัฒน์ อดีตรองประธานบริหาร ฝ่ายปฏิบัติการจาก บมจ.เค-เทค คอนสตรัคชั่น มารับตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการสำนักปฏิบัติการและวรรณา ชัยสุพัฒนากุล อดีตผู้บริหารจาก บมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ มารับตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการของพฤกษาฯเพื่อบริหารในสายงานคอนโดมิเนียม
วีระ ศรีชนะชัยโชค ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบัญชีและการเงิน ก่อนหน้านี้เคยดำรงตำแหน่งเป็นรองกรรมการผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. จำกัด (มหาชน) ศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานบ้านเดี่ยวแบรนด์“พฤกษา วิลเลจ”ซึ่งก่อนหน้านี้อยู่ในบริษัทใหญ่อย่าง บมจ.ซิโน-ไทยเอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น ในตำแหน่งเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการส่วนงานบริหาร มาก่อน
อมรพล ธูปะวิโรจน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานโรงงาน Precast เคยเป็นผู้จัดการโครงการก่อสร้าง บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ ในโครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิมาก่อนและวีระวิทย์ สัตยานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาโครงการ อดีตกรรมการผู้จัดการ บริษัท เม็ซคอนซัลแทนท์ จำกัด
“ยอมรับว่าการมีผู้ร่วมงานที่มากประสบการณ์ซึ่งมีที่มาหลากหลาย อาจจะต้องมีเหตุให้ต้องสะดุด หรืออาจมีการดึงตัวจากที่อื่นก็เป็นไปได้เพราะคือการแข่งขันทางธุรกิจแต่ก็พยายามดูแลให้ดีที่สุด หรือค่อยๆแก้ปัญหากันไปหากว่ามีปัญหาเกิดขึ้น”
ขณะที่ลูกหม้อที่ ทองมาปั้นขึ้นมาเองนั้นก็ดูเหมือนจะมีเพียง ปิยะ ประยงค์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานทาวน์เฮ้าส์ ซึ่งเคยเป็นผู้จัดการฝ่ายการผลิต หจก.สยามเอ็นจิเนียริ่ง มาก่อนเท่านั้น
ยิ่งเหนื่อยหนัก
เมื่อตั้งเป้า 1 ใน10 เอเซีย
และจากอดีตจนถึงปัจจุบันทุกย่างก้าวของทองมาที่จะเติบโตควบคู่ไปกับการเติบโตของพฤกษาฯ ซึ่งการเติบโตอย่างรวดเร็วมาโดยตลอด ด้วยการตั้งเป้าหมายในทุกระยะของทองมาจึงทำให้พฤกษาฯเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการตั้งเป้าในช่วง3-4 ปีก่อนว่าจะเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งเมื่อถึงพอปี 52 พฤกษาฯก็มีรายได้เยอะที่สุดและบรรลุเป้าหมายที่วางไว้
และเมื่อเป้าหมายสำเร็จ ก็จำเป็นต้องมองในอนาคตต่อไปเพื่อนำพาองค์กรให้เติบโตอย่างต่อเนื่องมากที่สุด ซึ่งอุปสรรคสำคัญในประเทศที่มีการประเมินแล้วว่ากำลังซื้อภายในประเทศจะอยู่ที่ประมาณ 70,000 ยูนิต หรือประมาณ 1 แสนล้านบาทจึงจำเป็นต้องหาลู่ทางในการเติบโตต่อไปด้วยการขยายตลาดไปยังต่างประเทศทั้งประเทศอินเดีย เวียดนามและมัลดีฟท์ ที่พฤกษาฯเริ่มเปิดตลาดไปบ้างแล้ว และในอนาคตอันใกล้นี้ยังมีฟิลิปปินส์ และจีนที่รอการการจตัดสินใจลงทุนหากโอกาสเอื้ออำนวย
“การที่จะนำพาองค์การให้เติบโตต่อไปได้ ส่วนหนึ่งต้องมองที่อุปสรรค หากไม่ทำอะไร จะเกิดอะไรขึ้นจึงทำให้เราต้องมองไปยังการเติบโตในรูปแบบอื่นๆต่อไปเพื่อให้องค์กรเติบโตมากที่สุดทั้งเป้าหมายในประเทศที่สำเร็จไปแล้ว และการวางเป้าหมาย 1 ใน10 ของเอเชียก็คือเป้าหมายต่อไปเพราะหากไม่มีเป้าหมายองค์กรก็จะไม่เติบโต”
แม้ว่า ทองมาจะวางเป้าหมายและกระจายหน่วยทางธุรกิจให้กับพฤกษาฯแล้วจนดูเสมือนว่าจะลอยตัวแล้ว ซึ่งมีหน้าที่หลักก็คือการเลือกหาทำเลที่จะพัฒนาที่ดินต่อไป และการสัมภาษณ์เพียงเล็กน้อย แต่แท้งจริงแล้ว “ทายาททางธุรกิจ” ที่จะช่วยแบ่งเบาภาระอันหนักอึ้งของทองมาก็ยังไม่ปรากฎ ดังนั้นการที่จะวางมือและนั่งดูบนหอคอยก็ยังคงเป็นอนาคตที่ทองมาจะยิ่งเหนื่อยมากยิ่งขึ้นไปอีก
“เราเติบโตจากการเป็นลูกจ้าง เป็นพนักงาน เราจะเห็นทุกอย่าง ทุกระดับ เคยอยู่ทั้งในบริษัทที่ไม่เคยเติบโต เงินเดือนแบบเดือนชนเดือนและเมื่อเรามีบริษัทของเราก็ต้องหนักแน่นและนำพาองค์การให้โตต่อไปได้ แต่ตอนนี้ตำแหน่งซีอีโอที่เป็นอยู่ก็ถือว่าค่อนข้างลอยตัว เพราะทุกหน่วยธุรกิจมีคนอื่นรับผิดชอบอยู่แล้ว โดยเราจะเน้นในงานการเลือกทำเลและช่วยสัมภาษณ์บุคคลากรระดับสูงเท่านั้น “
แม้ว่า พฤกษาฯ จะดูเหมือนเติบโตในจุดที่สูงสุดแต่เป้าที่ที่ถือว่าค่อนข้างยาก ก็เป็นสิ่งที่ท้ายทายทองมาอย่างมาก แม้ว่าจะมีการเสริมเขี้ยวเล็บด้วยการดึงมือดีมาร่วมงานมากมาย แต่อย่างไรเสีย อาณาจักรพฤกษาฯที่ทองมาเป็นผู้ก่อตั้งมาก็ยังไม่มีทายาทที่จะเข้ามาสานงานต่อ ซึ่งค่อนข้างจะสวนทางกับเป้าหมายทางธุรกิจที่วางไว้ใน 1 ใน 10 บริษัทอสังหาในภูมิภาคเอเชียอย่างยิ่ง จึงต้องจับตาดูว่าทองมาจะสามารถนำพาพฤกษาฯให้ประสบความสำเร็จต่อไปได้หรือไม่...
*************
'3 ส่วน'ผสมลงตัวของ"ทองมา”
ล้วนเป็นเส้นทางสู่มหาเศรษฐีไทย
เปิดเส้นทางสู่นักพัฒนาอันดับ 1 ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ของ “ทองมา วิจิตรพงษ์พันธ์” จนนำพาบริษัทพฤกษาเรียลเอสเตทก้าวสู่ความสำเร็จระดับหลายหมื่นล้าน พบ 3 ส่วนผสมที่ลงตัว ทั้งเป็น 'วิศวกร-นักประเมิน-นักต่อรอง” ทำให้ทองมาเป็นคนเก่งระดับมือชั้นเซียน!
เส้นทางจากดินสู่ดาว จะมีกี่คนที่ประสบความสำเร็จได้จากคนธรรมดาๆ จนกลายเป็นนักธุรกิจระดับหมื่นล้านบาท และกลายเป็นนักพัฒนาอันดับ 1 ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ อย่าง “ทองมา วิจิตรพงษ์พันธ์” CEO พฤกษาเรียลเอสเตท
เส้นทางสู่ความสำเร็จของ “ทองมา” และ “พฤกษาเรียลเอสเตท” กว่า 17 ปีที่ผ่านมานั้น ไม่ได้เกิดจากการมีเงินถุงเงินถังจำนวนมากในการเริ่มต้นทำธุรกิจ แต่เกิดจาก “ความเก่ง” “ความพยายาม” และความมั่นใจที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าของคนที่ชื่อ “ทองมา วิจิตรพงษ์พันธ์”แบบที่เรียกว่าไม่พึ่งพรสวรรค์แต่เป็น “พรแสวงล้วนๆ”
ตั้งเป้าสูงแล้วไปให้ถึง
แหล่งข่าวในแวดวงก่อสร้าง ซึ่งเคยร่วมศึกษาในคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายถึงชีวิตในช่วงวัยเรียนของทองมาว่า เป็นเด็กจากต่างจังหวัด ฐานะทางบ้านไม่ดีนัก ทำให้ต้องเข้ามาเรียนช้ากว่าเพื่อนคนอื่นๆประมาณ 2 ปี เป็นคนตั้งใจเรียนมาก เงียบๆไม่โดดเด่น มีเพื่อนฝูงอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก ซึ่งเพื่อนๆในยุคนั้นไม่มีใครมองว่าทองมาจะกลายเป็นเศรษฐิใหญ่เหมือนที่เป็นอยู่ในขณะนี้เลย
“ทองมาเป็นคนเงียบๆ ขยัน แต่ด้วยการที่เป็นคนเรียนช้าจึงไม่ค่อยสุงสิงกับใครแต่ว่ามีความพยายาม และตั้งใจสูงมาก ไม่มีความโดดเด่น ตอนนั้นทุกคนในคณะมองว่าคนที่จะเด่นและมีชื่อเสียงในอนาคต ก็คือ คุณประสาร ไตรวรรัตน์กุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนปัจจุบันเพราะเป็นคนเก่งมาก ส่วนทองมาไม่มีแววว่าจะรุ่งเลย ”
หลังจากเรียนจบทองมาเริ่มงานในตำแหน่งวิศวกร แม้ว่าจะได้เริ่มงานในบริษัทเล็กแต่ก็มีความเกี่ยวพันกับบริษัทใหญ่อย่าง บ.นวรัตน์พัฒนาการจำกัด (มหาชน) โดยรับผิดชอบในงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ถนน สะพาน รวมไปถึงโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งความอุตสาหะพยายาม ตั้งใจจึงทำให้ทองมามีความกระตือรือร้นและรับผิดชอบมากกว่าวิศวกรรุ่นพี่หลายเท่า จึงทำให้มีประสบการณ์ในแวดวงก่อสร้างและงานสำคัญที่ส่งให้ ทองมา นำพาพฤกษาฯจนสำเร็จทุกวันนี้ด้วยคืองานประเมินราคา เพราะว่าทำให้ทองมา รู้จักการประมาณราคา การควบคุมราคา ที่เป็นต้นทุนในการก่อสร้างได้เป็นอย่างดี และสามารถคัดเลือกทำเล เลือกที่ดิน ได้อย่างถูกต้องตรงจุด ตรงความต้องการของกลุ่มเป้าหมายในเวลาต่อมา
และเมื่อทองมาเข้าสู่วงการรับเหมาก็สร้าง ด้วยประสบการณ์ที่โชกโชนจึงทำให้มีการเติบโตที่ค่อนดี ประกอบกับในยุคนั้นเป็นช่วงที่แวดวงก่อสร้างค่อนข้างบูม บรรดาผู้รับเหมาจึงพากันเติบโตซึ่งเพื่อนในกลุ่มผู้รับเหมาของทองมาล้วนมีเงินติดตัวในระดับ100 ล้านบาทกันแทบทั้งนั้น ( พ.ศ. 2523)
จนเมื่อทองมาเข้าสู่วงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งถือว่าเป็นการยกระดับครั้งสำคัญ ซึ่งหมายถึงโครงการก่อสร้างในปริมาณและขนาดที่มากกว่าการเป็นเพียงผู้รับเหมามากมายหลายเท่า และการนำเทคโนโลยีในลักษณะใกล้เคียงกับบ้านน๊อคดาวน์มาใช้ในระดับต้น ๆ ของประเทศไทย จึงทำให้สามารถสร้างบ้านได้เสร็จเร็วและรับเงินเร็วจนไม่มีภาระหนี้สินกับธนาคาร
“จุดเด่นในตอนนั้นก็คือทองมาเป็นวิศวกรมาก่อน มีประสบการณ์ในด้านการผลิต รู้ขั้นตอนกระบวนการ ขั้นตอนทุกอย่างมีการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในทุกขั้นตอน จึงทำงานได้ค่อนข้างดี จนกระทั่งสามารถนำเงินที่ลูกค้าโอนมาหมุนเวียนโดยไม่เสียดอกเบี้ยให้กลับธนาคารเลยเพราะโครงการสร้างเสร็จได้รวดเร็วมาก”
มือชั้นเซียนบริหารราคาที่ดิน
นอกจากจุดเด่นในความเป็นนักวิศวกรของทองมา ทำให้เขาพัฒนารูปแบบการสร้างบ้านได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพสูงแล้วนั้น ทองมายังมีจุดเด่นในเรื่องการบริหารงานที่ดิน อย่างที่เรียกได้ว่าเป็นมือชั้นเซียน
วสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการบริษัทเอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตทแอฟแฟร์ส เปิดเผยว่า พฤกษาฯ เป็นบริษัทที่มีการบริหารที่ดิน โดยเฉพาะราคาที่ดินที่เก่งมาก
ลักษณะวิธีการเลือกซื้อที่ดินที่ ทองมา ใช้มาตลอด และทุกวันนี้ แม้จะใช้วิธีการบริหารโดยรูปแบบ BSU แต่ทองมา ก็ยังคุมงานด้านการเลือกทำเล และการซื้อที่ดินด้วยตัวเอง เพราะเป็นงานที่ทองมาเก่ง และมีวิสัยทัศน์ในการประเมินที่ดินแบบที่เรียกว่าเก่งหาคนจับยาก
"พฤกษาเริ่มมาจากตลาดล่างแลวขยายไลน์มาสู่การทำคอนโดมีเนียมราคาแพงในไทย ทำเลของพฤกษาในแต่ละโครงการนั้น ต้องบอกว่าตรงไหนทำเลดี พฤกษามีครบหมด”
ลักษณะการเลือกใช้บริษัทนายหน้าที่ดินหลายๆเจ้า เพื่อสร้างพลังในการต่อรองกับเจ้าของที่ดินเป็นวิธีถนัดของทองมา
โดยอันดับแรกจะเลือกย่านที่จะจัดทำโครงการต่างๆ ก่อน แล้วค่อยหาที่ดิน ซึ่งทองมาใช้วิธีจ้างบริษัทนายหน้าที่ดิน หรือให้เจ้าของที่เสนอที่ดินเข้ามาขาย ทีละหลายๆ เจ้า และในย่านหนึ่งๆ จะมีที่ดินให้ทองมาเลือกมากถึง 10-20 แปลง ซึ่งนอกจากบริษัทนายหน้าแล้ว เจ้าของที่ดินเอง ยังสนใจและนำเสนอที่ดินขายให้พฤกษาอย่างต่อเนื่อง
"จะทำ 1 โครงการ มีที่ดินให้เลือก 10 แปลงขึ้นไป เมื่อเป็นอย่างนั้น พลังต่อรองของพฤกษาจึงสูงมาก สามารถเลือกได้ว่าจะเอาที่ไหน ราคาเท่าไร เพราะมีตัวเลือกเยอะ อันนี้คือเทคนิคของพฤกษาที่เก่งมาก”
ขณะที่วิกฤตเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง ในประเทศไทยก็ยิ่งส่งผลให้พลังต่อรองมาอยู่ที่ฟากนายทุนมากกว่าเจ้าของที่ดิน เพราะเจ้าของที่ดินมีความต้องการขายที่ดินแปลงใหญ่ๆ จำนวนมาก
เมื่อที่ดินได้มาในราคาที่ถูกมาก การบริหารต้นทุนค่าก่อสร้างก็ถูก นอกจากนี้ พฤกษาจะใช้วิธีไม่สะสมแลนด์แบงค์ จะใช้วิธี ซื้อแล้วสร้าง ทำให้ไม่เสียดอกเบี้ยที่ดิน ไม่มีต้นทุนดอกเบี้ยที่ดิน ทำให้พฤกษาได้เปรียบด้านราคากับคู่แข่ง จึงกลายเป็นจุดแข็งของพฤกษาที่ยากที่ใครจะเลียนแบบ
"คุณทองมาจะคำนวนราคาขายก่อน ค่อยไปกำหนดราคาซื้อที่ดิน จากนั้นค่อยไปหาซื้อที่ดินให้ได้ราคาที่ตั้งเป้าไว้ ตรงนี้ทำให้ราคาขายกำหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นการคำนวนอย่างละเอียด สมมติว่าคอนโดนี้ ทำเลนี้ คุณภาพนี้ ที่จริงต้องขาย 2 ล้านบาท แต่พฤกษาจะขายในราคาแค่ 1 ล้านกว่าบาท ทำให้พฤกษายิ่งขายดี”
พิสูจน์ฝีมือบริหาร “คนเก่ง”
อย่างไรก็ดี เรียกได้ว่า พฤกษา ประสบความสำเร็จได้ เพราะตัว ทองมา ก็ไม่ผิดนัก อย่างไรก็ดี ในช่วงนี้ พฤกษาได้เปลี่ยนวิธีการบริหารงาน โดยให้มืออาชีพสายงานต่างๆ มาทำงานมากขึ้น
แหล่งข่าวในแวดวงอสังหาริมทรัพย์กล่าวว่า เป็นอีกจุดหนึ่งที่ต้องพิสูจน์ฝีมือการบริหารคนของทองมาเพราะหลังจากทองมานำพฤกษาเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งทองมาเป็นคนที่ทำงานหนักจึงมีการเพิ่มทีมเข้ามาช่วยด้านต่างๆโดยเฉพาะเมื่อได้ตัว ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต มือการตลาดจากลลิลพร็อพเพอร์ตี้ เข้ามาช่วยในการทำตลาดจึงทำให้พฤกษาเติบโตเร็วขึ้น ซึ่งเหมือนการนำผู้ที่ก่อสร้างเก่งมารวมกับคนที่ขายเก่งธุรกิจจึงเติบโตรวดเร็วมาก
“ทองมา ตั้งปณิธานไว้ว่า บริษัทที่ตั้งขึ้นมาจะต้องอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ และต้องอยู่ในแถวหน้าของตลาด ทองมายึดหลักนี้มาตลอด และทำงานหนักมาก และเติบโตมาจากพรแสวง 100ร้อยเปอร์เซนต์ ไม่มีใครที่จะทำงานหามรุ่งหามค่ำ นอนที่ออฟฟิศแบบทองมา”
จากนั้นจึงมีการดึงมือดีในสายงานด้านต่างๆเข้ามาช่วยอีกเป็นจำนวนมาก จนทำให้พฤกษาเติบโตอย่างต่อเนื่องทำให้ทองมาได้เริ่มให้พฤกษาเข้าไปทำโครงการในสายบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียมไปจนถึงการไปรุกตลาดต่างประเทศทั้งอินเดีย เวียดนามและมัลดีฟท์
แต่การดึงมือดีเข้ามาร่วมงานก็ถือว่าเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่จะต้องพิสูจน์ฝีมือการบริหารของทองมาหลังจากที่ในอดีตทองมารับหน้าที่แม่ทัพเพียงคนเดียวแต่เมื่อขยับเป็นจอมทัพและมีขุนศึกในมือมากมาย จึงเพิ่มจากการบริหารเป็นการบริหารคนไปพร้อม ๆ กัน และการบริหารคนก็ถือเป็นสิ่งที่คนในวงการจับตาดูว่าพฤกษาจะยังคงเติบโตแบบก้าวกระโดดเหมือนดังยุคที่ทองมากุมบังเหียนเพียงคนเดียวหรือไม่
“ที่ผ่านมาทุกคนยอมรับว่าพฤกษาที่โตแบบก้าวกระโดดและรวดเร็วนั้นเพราะทุกอย่างมาจากทองมา ทั้งแนวคิด วิธีการตัดสินใจแบบทองมาทุกอย่างพฤกษาจึงมาแรงในแบบทองมา แต่เมื่อต้องเข้าสู่ยุคบริหารคน ทองมาที่ต้องคุมทัพและส่งขุนศึกไปรบในสมรภูมิต่างๆจะสามารถคุมได้หรือไม่” แหล่งข่าวในแวดวงอสังหาริมทรัพย์กล่าว
จากนี้ไปจึงต้องจับตาดูว่า ทองมา จะสามารถควบคุมการบริหารจัดการได้ตามเป้าหมายหรือไม่ ? ภายใต้มืออาชีพที่ทองมาเป็นผู้เลือกเข้ามาร่วมงานทั้งสิ้น และหากดำเนินการไปได้การประกาศเป็น 1 ใน 10 ด้านอสังหาริมทรัพย์แห่งภูมิภาคเอเชียจึงย่อมเป็นจริงได้เช่นกัน
************
โบรกฯแนะถือ PS เป้า 30 บาท
ยอด presaleทะลัก - สยายปีกลุยต่างประเทศ
บริษัทหลักทรัพย์ยักษ์ใหญ่ คาดหุ้น PS เติบโตต่อเนื่อง เชื่อราคาขึ้นถึง 30 บาท ไม่ยาก เพราะรายได้และกำไรสุทธิเกินเป้าที่ PS ตั้งไว้ ขณะเดียวกันตั้งเป้าจะเปิดโครงการใหม่ปี 53 นี้เพียง 48 โครงการ แต่สามารถเปิดได้จริงถึง 68 โครงการ ทำให้เป้ายอดขาย presale ทั้งปี ปรับขึ้นจาก 2.9 หมื่นล้านบาทเป็น 3.5 หมื่นล้านบาท แถมมีโครงการลงทุนต่างประเทศที่จะทำให้ PS แข็งแกร่งขึ้น ขณะที่ “ผู้บริหาร”เป็นจุดแข็งของพฤกษาสร้างความไว้วางใจให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ ขณะที่ L&H ได้ปรับแผนเริ่มสร้างบ้านสรรสร้างตามพฤกษาแล้ว
ใครจะคาดคิดว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์เล็กๆ และเพิ่งเกิดขึ้นมาในปี 2536 อย่าง บริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นยักษ์ใหญ่ในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่แซงเจ้าตลาดอย่าง แลนด์ แอนด์ เฮาส์ ไปเรียบร้อย แถมมีเป้าหมายที่จะเป็นบริษัทพัฒนาหลักทรัพย์ชั้นนำ 1ใน 10 ของภูมิภาคเอเชีย ที่จะมีการเติบโตของรายได้ไม่น้อยกว่า 25% ต่อปี มีอัตราการเติบโตของรายได้สุทธิ 18% ต่อปี และมีรายได้แตะ 100,000 ล้านบาทภายใน 2560 เห็นเป้าหมายแล้วหลายคนถึงกับต้องร้องอู้หู เพราะเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายไม่เล็ก แต่หลายคนเชื่อว่า “ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์” จะนำพาบริษัทพฤกษาเรียลเอสเตทไปถึงจุดนั้นได้ไม่ยาก
หากมองย้อนไปจะพบว่า สิ่งที่ “ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์” วางเป้าหมายให้กับบริษัทพฤกษาตลอด 17 ปีที่มีการก่อตั้งบริษัทมานั้น ล้วนทำได้ตามเป้าหมาย และนำพาพฤกษาให้เดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง แม้จะเผชิญปัญหาดอกเบี้ยผันผวน และราคาน้ำมันที่สูงขึ้น แต่พฤกษาเรียลเอสเตทกลับไม่สะดุด
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าพฤกษาเรียลเอสเตท จะเป็นหุ้นใหม่ที่เข้าตลาดหุ้นในปลายปี 2548 และมีราคาต่ำกว่าจอง คือมีราคาเพียง 3.64 บาท ขณะที่ตั้งราคาจองไว้ที่ 4.10 บาทก็ตาม แต่ปรากฏว่าผ่านมาแค่ 5 ปี วันนี้หุ้นพฤกษากลับเป็นหุ้นในหมวดอสังหาริมทรัพย์ที่โดดเด่น และเป็นหุ้นขวัญใจนักลงทุนในฐานะหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีตัวหนึ่ง
โดยเมื่อกลางปี 2553 ราคาหุ้นของ พฤกษา จะปิดลงที่ 15.30 บาท (4 มิ.ย.53) แต่เพียงไม่ถึงเดือน หุ้นพฤกษากลับก้าวขึ้นปิดตัวที่ 18.10 บาทในวันที่ 29 มิ.ย.53 และก้าวขึ้นสู่การปิดที่ราคา 19.00 บาทในวันที่ 13 ก.ค.53 และไต่มาที่ราคา 22.50 ในวันที่ 19 มิ.ย.53 ก่อนขึ้นสูงสุดในวันที่ 9 ส.ค.53 ที่ 25.25 บาท แม้ว่าราคาจะตกลงมาเล็กน้อย แต่ปัจจุบันราคาหุ้นพฤกษาก็ยังคงอยู่ที่ระดับ 24 บาท และนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ต่างๆ ต่างมองว่า หุ้นพฤกษา มีสิทธิ์ขึ้นสู่ระดับ 30 บาทไม่ยาก!
บัวหลวงเชื่อ PS
ติด 1 ใน 20 เอเชียปี 54
โดยบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง เชื่อว่า พฤกษาเรียลเอสเตทจะติด 1 ใน 20 อันดับแรกของผู้พัฒนาอสังหาฯในปี 2554 และได้ประเมินราคาเป้าหมายของพฤกษาเรียลเอสเตทไว้ที่ 30.00 บาท รวมทั้งให้พฤกษาเรียลเอสเตทเป็นหุ้นที่บล.บัวหลวงชอบเป็นอันดับหนึ่ง โดยให้เหตุผล ดังนี้
1.คาดว่าพฤกษาจะทำกำไรและยอดจองซื้อทำสถิติใหม่สูงสุดต่อเนื่องในปี 2553-2554
2.โอกาสในการทำกำไรปี 2554 จะชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากยอดขายบ้านแนวราบในปลายไตรมาส 3/53 เป็นต้นไปจะเป็นยอดขายรอรับรู้รายได้สำหรับปีหน้า
3.ความคืบหน้าโครงการในต่างประเทศจะมีมาต่อเนื่อง และ
4.หุ้นมีแนวโน้มได้รับการปรับเพิ่มมูลค่าการซื้อขายสูงขึ้น เนื่องจากมองว่าพฤกษาจะติด 1 ใน 20 ผู้พัฒนาอสังหาฯในเอเชียปี 2554 นี้
อย่างไรก็ดีบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวงได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2554 เพิ่มอีก 4% คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 17%ในปี 2554 และ 13% ของปี 2555 ซึ่งจะทำให้พฤกษาเป็นผู้นำตลาดอสังหาฯไทยอย่างต่อเนื่อง ที่ยอดจองซื้อ 3.6-4.0 หมื่นล้านบาทต่อปี ทั้งนี้คาดรายได้ปี 2554 ของพฤกษาจะติดอันดับ 17 ในเอเชีย จากปัจจุบันที่อยู่ที่ลำดับที่ 21 โดยเป้าหมายบริษัท คือต้องการติด 10 อันดับแรก (มีรายได้ 1 แสนล้านบาทในปี 2560) โดยรายได้ 40% มาจากธุรกิจในต่างประเทศ
กิมเอ็งระบุ Ps แข็งแกร่ง
จากเป้า Presale
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) วิเคราะห์ว่า ในปี 2553 พฤกษาเรียลเอสเตทจะมี Presale ที่เติบโตโดดเด่น โดยยอดPresale ใน 9 เดือนแรกปี 2553 ที่คาดว่าจะทำได้ประมาณ 29,500 ล้านบาท เติบโต 96% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็น 84% ของเป้า Presale ในปีนี้ที่ตั้งไว้ที่ 35,000 ล้านบาท ประกอบกับ Backlog ที่จะรับรู้ไปถึงปี 2556 ยังแข็งแกร่งถึง 27,000 ล้านบาท จึงคาดว่าในปี 2553 และ 2554 พฤกษาเรียลเอสเตท จะมีผลประกอบการเติบโต 17.1% และ 12.9% ตามลำดับ บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็งจึงได้ประเมินมูลที่เหมาะสมด้วยวิธี Forward PER ที่ 14 เท่า ได้ราคาเป้าหมายของปี 2554 ที่ 30.50 บาท
โดยคาดว่าพฤกษาเรียลเอสเตทจะมีรายได้ปี 2553 เท่ากับ 25,923 ล้านบาท เติบโต 36.7% และคาดมีกำไรสุทธิเท่ากับ 4,242 ล้านบาท ส่วนในปี 2554 คาดรายได้และกำไรสุทธิจะเติบโต 9.2% (28,302 ล้านบาท) และ 12.9% (4,790 ล้านบาท)
โกลเบล็กชี้ 3 ปัจจัย
หนุนราคา PS ขึ้น
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก ให้ราคาเป้าหมายของ พฤกษาเรียลเอสเตท ในปี 2554 ที่ 28.80บาทโดยมีมุมมองเชิงบวกต่อปัจจัยพื้นฐานในศักยภาพในการเติบโตต่อเนื่องในระยะยาวของบริษัท
โดยวิเคราะห์จากประเด็นสำคัญในการลงทุน 3 ประการ คือ
1.กำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2553 เพิ่มขึ้น 31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งแม้ว่าจะต่ำกว่าไตรมาสแรกที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่เมื่อรวมยอดครึ่งปีแรกปี 2553 แล้ว พฤกษาเรียลเอสเตทยังมีรายได้และกำไรสุทธิ 12,571 ล้านบาท และ1,327 ล้านบาท ซึ่งเติบโตถึง 70% และ 56% ตามลำดับเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน
2.ยอดขายรอโอนที่แข็งแกร่งหนุนการเติบโตต่อเนื่องในอนาคต โดยยอดขาย presale ในช่วงไตรมาส 2 ที่อยู่ที่ 1.14 หมื่นล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 5 และเนื่องจากครึ่งปีแรกของปี 2553 พฤกษาเรียลเอสเตททำเป้าได้ 2 หมื่นล้านบาท ทำให้เป้ายอดขาย presale ทั้งปี ปรับขึ้นจาก 2.9 หมื่นล้านบาทเป็น 3.5 หมื่นล้านบาทจากการปรับแผนเปิดโครงการใหม่ทั้งปีจาก 48 เป็น 68 โครงการ
ทั้งนี้ ยอดขายรอโอน ปัจจุบันอยู่ที่ 2.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีกำหนดโอนในช่วงครึ่งหลังของปี 10,522 ล้านบาท ทำให้ประมาณการยอดขายทั้งปีอยู่ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท และมียอดขายรอโอนรองรับถึง 96% ส่งผลให้มีการปรับประมาณการยอดขายและกำไรสุทธิปี 2554 เพิ่มจาก 2.9 หมื่นล้านบาท และ 4.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเติบโต 19% และ 12% จากปี 2553
3.อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) สูงขึ้นในการรักษาอัตราการเติบโตต่อเนื่องของยอดขายและกำไรสุทธิ ทั้งการทำการตลาดเชิงรุกทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ระดับ D/E Ratio พุ่งขึ้นเป็น 0.45 เท่า ณ ปลายปี 2552 เป็น 0.74 เท่า เมื่อสิ้นไตรมาส 2 ปี 2553 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากแผนการออกหุ้นกุ้รวม 7.5 พันล้านบาท แต่เมื่อพิจารณาเฉพาะหนี้ที่มีดอกเบี้ยหักยอดเงินสดในมือจะเห็นว่าสัดส่วน Net Interrest Bearing Dept/Equity Ratio อยู่ในระดับต่ำเพียง 0.1 เท่า ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่ากังวลถึงฐานะการเงินของบริษัท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์จากโกลเบล็ก กล่าวว่า ลักษณะธุรกิจของพฤกษาเรียลเอสเตทนั้นจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับบริษัทแลนด์แอนด์เฮาส์ เพราะแลนด์แอนด์เฮาส์จะเน้นการสร้างเสร็จก่อนขาย ซึ่งจะมีระยะเวลาวันซื้อ-วันโอนไม่เกิน 1 เดือน จุดเด่นของแลนด์แอนด์เฮาส์สำหรับผู้ซื้อไม่เกิดความเสี่ยง ขณะที่ตัวแลนด์แอนด์เฮาส์เองจำเป็นต้องมีเงินทุนที่แข็งแกร่งมากเช่นกันถึงจะทำเช่นนี้ได้มาตลอด
ขณะที่พฤกษาเรียลเอสเตทนั้น เน้นการทำบ้านสรรสร้าง (Presale) เท่านั้น คือผู้ซื้อจะต้องจ่ายเงินจองก่อนแล้วค่อยมีการสร้างโครงการแต่ละโครงการ ซี่งได้ทำในลักษณะนี้มาตลอด ข้อดีของพฤกษาเรียลเอสเตทคือมีระยะเวลาสร้างที่อยู่อาศัยเช่นบ้านประมาณ 2-4 เดือน ขณะที่เจ้าอื่นจะต้องใช้เวลาสร้างถึง 6-8เดือน ส่วนระยะเวลาในการก่อสร้างคอนโดฯของ พฤกษาเรียลเอสเตท หากเป็นคอนโดฯไม่เกิน 8 ชั้น ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน-1ปี ขณะที่คอนโดระดับสูงคือ 10-20 ชั้น จะมีการการสร้าง 1ปี -2 ปี
นอกจากนี้พฤกษายังมีจุดเด่นอยู่ที่ความสามารถในการบริหาร เพราะการที่จะทำบ้านสรรสร้างให้ได้รับความเชื่อถือจากผู้ซื้อนั้น จะต้องอาศัยทั้งเงินทุนของบริษัท ความสามารถในการดำเนินงานของบริษัทที่ผ่านมา รวมทั้งความมั่นใจในตัวผู้บริหารของพฤกษาเรียลเอสเตท รวมอยู่ในปัจจัยการตัดสินใจซื้อโครงการหนึ่งๆด้วย รวมถึงการเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อ
นอกจากนี้ การสร้างโดยเน้นสร้างให้ผู้จองในลักษณะจองแล้วสร้าง จองแล้วสร้าง ยังเป็นจุดแข็งของพฤกษาเรียลเอสเตทที่ทำให้สามารถบริหารต้นทุน และควบคุมราคาต้นทุนการสร้างบ้านได้เป็นอย่างดี ขณะที่แลนด์แอนด์เฮาส์อาจจะเสี่ยงต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้นตามราคาวัสดุก่อสร้างที่ผันผวนทำให้ราคาบ้านเสร็จแล้วอาจสูงกว่าที่ตั้งเป้าไว้แต่แรก ปัจจุบันแลนด์แอนด์เฮาส์จึงเริ่มหันมามองการสร้างบ้านสรรสร้างและเตรียมเปลี่ยนรูปแบบการสร้างบ้านมาเป็นบ้านสรรสร้างมากขึ้น
อย่างไรก็ดีราคาหุ้นของพฤกษาเรียลเอสเตทนั้น ยังจำเป็นต้องวิเคราะห์จากการดำเนินงานและยอดขายในประเทศไทยเป็นหลัก เพราะพฤกษายังเน้นตลาดในประเทศปี 2554 มากถึง 90% และมุ่งเดินหน้าแผนต่างประเทศเพียง 10%
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|