|
ไรมอนแลนด์ฟื้น“185 ราชดำริ” ขายคอนโดยูนิตละ300ล้านบาท
ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์(2 ตุลาคม 2553)
กลับสู่หน้าหลัก
ความวุ่นวายทางการเมืองประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกและในประเทศชะลอตัว ทำให้กำลังซื้อของชาวต่างชาติหายไปจำนวนมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อบริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด(มหาชน) โดยตรง เพราะการลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ของไรมอน แลนด์ทุกแห่ง ล้วนเน้นกลุ่มเป้าหมายลูกค้าเศรษฐีชาวต่างชาติเท่านั้น และเมื่อภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ยอดขายของไรมอนแลนด์ลดลงมาก ที่สำคัญบางโครงการต้องหยุดการลงทุนและชะลอการทำตลาดไปโดยปริยาย
โครงการ 185 ราชดำริเป็นอีกโครงการหนึ่งที่ไรมอนแลนด์ต้องหยุดการลงทุนและชะลอการทำตลาดมาในช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา เพราะนอกจากองค์กรจะประสบปัญหาการบริหารจัดการแล้ว ยังประสบปัญหาด้านสภาพคล่องด้วย ที่สำคัญลูกค้าหลัก คือชาวต่างชาติชะลอการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทย ซึ่งที่ผ่านมาไรมอนแลนด์ จึงพยายามปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ทั้งหมด เปลี่ยนตัวผู้นำจากไนเจิล เจ. คอร์นิค กรรมการผู้อำนวยการ ที่ได้ลาออกไปเมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2552 เป็นอูแบร์ วิริออท รวมถึงได้ตัดขายที่ดินทำเลทองออกไป เพื่อนำเงินสดมาเสริมสภาพคล่อง
อูแบร์ วิริออท กรรมการผู้อำนวยการ เปิดเผยว่า ภายหลังไอเอฟเอ โฮเทลแอนด์ รีสอร์ท ทรี (IFA Hotel & Resort 3 Ltd) ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจาก 21% เป็น 41.08%ทำให้ฐานะทางการเงินของบริษัทมีความแข็งแกร่งพร้อมลงทุนต่อเนื่อง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ประสบปัญหาจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลกและวิกฤตในดูไบ ดังนั้น บริษัทจึงต้องตัดขายที่ดินบางแปลงออกไป เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง เช่น ที่ดินทำเลทองย่านเพลินจิต รวมไปถึงที่ดินที่ภูเก็ต ทำให้มีเงินเข้าบริษัทประมาณ 1,000 ล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทมีความพร้อมที่จะกลับมาลงทุนในโครงการคอนโดมิเนียม 185 ราชดำริ ตั้งอยู่บริเวณราชดำริเดิมเป็นที่ตั้งสถานทูตกัมพูชา หลังจากที่ชะลอการทำตลาดมานาน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวนักลงทุนต่างชาติหยุดการลงทุน ซึ่งโครงการดังกล่าวจะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม สูง 35 ชั้น พร้อมชั้นใต้ดิน1 อาคาร จำนวน 268 ยูนิต ขนาด 1, 2, 3 และ 4 ห้องนอน ราคาเริ่มต้นที่ตร.ม.ละ 179,000-400,000 บาท. หรือเฉลี่ยที่ตร.ม.ละ 250,000 บาท หรือเริ่มต้นยูนิตละ 12 ล้านบาท ซึ่งเพนท์เฮาส์ มีจำนวน 3-4 ยูนิต ราคาสูงสุดกว่า 300 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวม 9,600 ล้านบาท
โครงการนี้ บริษัทเน้นกลุ่มเป้าหมายลูกค้าชาวไทย เพราะจากการสำรวจพบว่า ลูกค้าชาวไทยมีความต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลกลางเมือง โดย185 ราชดำริ เป็นโครงการที่กลุ่มเป้าหมายให้ความสนใจ มาก และมียอดขาย 20% คิดเป็นมูลค่า 1,800 ล้านบาท โดยเฉพาะเพนท์เฮาส์ราคากว่า 300 ล้านบาท มีนักธุรกิจชาวไทยซึ่งเป็นลูกค้าเก่าสนใจและมีแนวโน้มที่จะซื้อด้วย
“185 ราชดำริ ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี อีกทั้งยังมีจุดเด่นที่เป็นที่ดินผืนสุดท้ายในย่านนั้นที่เป็นฟรีโฮลด์ ผู้ซื้อครอบครองกรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์ต่างจากหลายโครงการในย่านนั้นที่จะขายเป็นสิทธิการเช่า ทำให้เมื่อเทียบกับโครงการในระดับเดียวกันแล้ว โครงการ 185 ราชดำริขายในราคาที่ถูกกว่ามาก ซึ่งเน้นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายชาวไทย 70% ส่วนอีก 30% จะไปโรดโชว์ในต่างประเทศทั้งยุโรปและอเมริกา โครงการนี้ได้รับเงินกู้จากธนาคารกรุงศรีอยุธยาจำนวน 2,780 ล้านบาท จะเริ่มก่อสร้างในปี2554 กำหนดแล้วเสร็จในปี 2556”
อูแบร์ กล่าวว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาบริษัทไม่ได้เปิดตัวโครงการใหม่ ซึ่งยอมรับว่ามีปัญหาภายในองค์กร อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจก็ไม่เอื้ออำนวยต่อการเปิดโครงการระดับไฮเอนด์ด้วย แต่คาดว่าปลายปีนี้จะเปิดตัวได้ 1 โครงการ มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท โดยมีที่ดินสะสมรอการพัฒนาในย่านพัทยามี 2-3 แปลง ตั้งอยู่บริเวณหาดวงศ์อมาตย์ พัทยา ขนาด 5ไร่และ 6 ไร่ ซึ่งหากนำมาพัฒนาจะมีมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินต่อทุนประมาณ 2:1
ส่วนโครงการเดอะริเวอร์ ที่ดำเนินการภายใต้ บริษัท ตากสิน โฮเทล โฮลดิ้ง จำกัดนั้น มียอดขายแล้ว 70% หรือประมาณ 9,700 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการทั้งหมด 13,000 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้างอาคารด้านหน้าความสูง 71 ชั้น ปัจจุบันสร้างอยู่ที่ชั้น 58 ส่วนอาคารด้านหลัง 40 ชั้นสร้างถึงชั้นที่ 39 คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2554 และบริษัทมีแผนจะซื้อหุ้นในสัดส่วน 15% จากผู้ถือหุ้นคือ ไอเอฟเอ โฮเทลส์แอนด์รีสอร์ท (IFA HR) เพื่อเป็นผู้ถือหุ้นเอง 100% จากปัจจุบันถืออยู่ 85% และเมื่อโครงการสร้างเสร็จจะช่วยสร้างรายได้และผลตอบแทนเข้าไรมอนแลนด์ทั้งหมด สำหรับความคืบหน้าโครงการนอร์ทพอยท์ พัทยา มียอดขายแล้ว 60-70% และอยู่ในช่วงทยอยโอนกรรมสิทธิ์
สำหรับตัวเลขยอดขายรอรับรู้ (Backlog) มีจำนวน 7,000-8,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้ปีนี้ไปจนถึงปี 2555 โดยในปี 2553 จะมีการโอนโครงการนอร์ทพอยท์ประมาณ 3,000 ล้านบาท จากยอดขายทั้งหมด 3,300 ล้านบาท ซึ่งตั้งเป้ายอดขายปีนี้ไว้ที่ 4,000 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 2,300 ล้านบาท โตกว่าปีก่อนถึง 100% ส่วนยอดรับรู้รายได้ปีนี้จะอยู่ที่ 3,500 ล้านบาท
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|