"เสี่ยเล้ง" เจริญ พัฒน์ดำรงจิตร ดัชนีวัดคุณภาพการเมืองแบบไทย ๆ


นิตยสารผู้จัดการ( ตุลาคม 2530)



กลับสู่หน้าหลัก

เจริญ พัฒน์ดำรงจิตร ยินดีสนทนากับ "ผู้จัดการ" ในหลายประเด็น ปัญหาที่เก่ยวขอ้กงับตัวเขากับนักการเมืองบางคนตลอดจนพรรคการเมืองบางพรรค เขาบอกว่าเขาไม่รู้เรื่อง "พรรค" แต่เขาชอบมี "พวก" เขาช่วย "พวก" แล้ว "พวก" ก็ช่วยเขา

"จะขอให้ ส.ส.ถอนชื่อออกจากญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาลหรือไปหาเสี่ยเล้งสิ"

นี่คือคำแนะนำที่ใคร ๆ เรียกว่า "รายการคุณขอมา" ของคนระดับสูงในคณะรัฐบาลต่อนักธุรกิจภูธรจากที่ราบสูงคนหนึ่งซึ่งเขาได้ให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายเพื่อการเลือกตั้งกับ ส.ส.บางคนในพรรคกิจประชาคมจนเขากล้าพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าคนพวกนี้คือลูกน้องี่จะเรียกขานวานใช้เสียเมื่อไหร่ก็ได้

"เล้ง" หรือชื่ออย่างเป็นทางการ "เจริญ พัฒน์ดำรงจิตร" เขาเป็นคน ๆเดียวที่ได้ปรึกษาหารือกับ พล.ท.สุนทร คงสมพงษ์ (ยศขณะนั้น) ถึงท่าทีของฝ่ายค้านในการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาลทั้งคณะในวันที่ 22 เมษายน ที่ผ่านมากระทั่ง ส.ส.จำนวน 5 คน ในสังกัดพรรคกิจประชาคมนับแต่ เวียง วรเชษฐ ขจรศักดิ์ ศรีสวสดิ์, อุ่นเรือน อารีเอื้อ, สุทัศน์ ศรีรัตนพันธ์ และอารมณ์ พุ่มพิริยฤนท์ได้ถอนชื่ออกจากญัตติดังกล่าวในที่สุด

ความสัมพันธ์ของ "เจริญ" กับเสนาธิการทหารคนปัจจุบันมีมาแต่ พล.อ.สุนทรอยู่หน่วยรบลพบุรีและเป็น ผบ.คอมพื้นที่ภาคอีสานซึ่งในการตรวจเยี่ยมราชการแต่ละครั้ง "เจริญ" จะต้องมาให้การต้อนรับตลอดจนอำนวยความสะดวกเป็นประจำ

"ท่านได้บินมาตรวจเอา ฮ.มาลงขอนแก่นแล้วนายทหารขอนแก่นก็รู้จักผมด้วยผู้กงผู้การไม่เสียหาย เรื่องของผู้แทน 5 คน ท่านก็มาคุยกับผมว่าทำไมผู้แทนเป็นอย่างนี้ ผมบอกครับเป็นอย่างนั้น ทางพรรคสมควรไว้วางใจรายกระทรวงแต่ถึงเวลาว่าไม่ไว้วางใจทั้งหมด เขาก็ไม่เห็นด้วยก็ติดต่อเป็นประจำปรึกษาหารือประจำผู้หลักผู้ใหญ่มาหาก็ดีเป็นธรรมดารู้จักกัน" เขาเล่าถึงบรรยากาศในวันที่ได้เจรจากับอดีต ผช.ผบ.ทบ. เกี่ยวกับญัตติที่ฝ่ายค้านจะยื่นไม่ไว้วางใจรัฐบาล

การได้รู้จักกับ บุญชู โรจนเสถียร ของเจริญนั้นเกิดขึ้นในระหว่างที่หัวหน้าพรรคกิจประชาคมคนปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลเปรม 1 จากการแนะนำของ อำพล พันธ์ประสิทธิ์ ส.ส.จังหวัดชัยภูมิค่ายกิจสังคมยุคสมัยที่ยังไม่แตกแยกซึ่ง "เจริญ" บอกว่าเขามีโอกาสได้รู้จักคนใหญ่คนโตในพรรคกิจสังคมนับแต่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ลงมากระทั่งส.ส.ธรรมดาไม่น้อยกว่า 80% ของคนทั้งพรรค

สำหรับอำพล พันธ์ประสิทธิ์ แล้วได้มีโอกาสสนิทใกล้ชิดในฐานะที่เป็นคนค้าขายเข้าไปถึงถิ่นอำเภอภูเขียว ขณะที่เจริญยังเป็นหลงจุ๊ธรรมดาซึ่งได้เริ่มรู้จักกับครอบครัวของ ส.ส.กิจสังคมคนนี้และนับถือกันเหมือนญาติคนหนึ่ง

จากการแนะนำของอำพล ทำให้เขากลายเป็นคนหนึ่งที่ชิดเชื้อกับ บุญชู โรจนเสถียร อันเป็นที่มาในการสนับสนุนช่วยเหลือผู้สมัครของพรรค "กิจประชาคม" ในหลายจังหวัดแถบภาคอีสาน ด้วยการรวมตัวก่อตั้ง "กิจประชาคม"

"คุณเจริญสงสัยไม่มีใครมาร่วมกับเรา ๆ ก็ว่าของเราไป สงสัยจะมีผมกับคุณสองคนเท่านั้นละ คุณเจริญรับผิดชอบทางโคราช, ขอนแก่น, สารคาม, ร้อยเอ็ด อุบล, กาฬสินธุ์ ส่วนทางสุรินทร์, ศรีสะเกษ, บุรีรัมย์ ให้ทางคุณประสิทธิ์ ณรงค์เดช เป็นคนรับผิดชอบ" เขาปะติดปะต่อคำพูด่ของบุญชูประโยคต่อประโยคในวันที่ถูกเรียกตัวเข้าพบก่อนที่จะมาเป็นผู้อำนวยการด้านเงินทองให้กับผู้สมัครในเขตจังหวัดแถบอีสาน

"ผมเลยบอกท่านว่าถ้าอย่างนั้นบริษัทนี้ก็มีผมกับท่านเป็นหุ้นส่นกันสองคนซิ" เจริญเล่าถึงบรรยากาศอันออกรสระห่างเขากับหนัวหน้าพรรคกิจประชาคมในวันนั้นให้ "ผู้จัดการ" ฟังพร้อมชี้แจงถึงพื้นฐานทางการเมืองว่าไม่เคยรู้จักคำว่าพรรค "พรรคแปลว่าอะไรผมไม่รู้ผมรู้แต่คำว่าพวกมีแต่พวกเอาพวกดีกว่า" เขาร่ายยาว

คำว่าพวกของเขาจากการที่พรรคกิจสังคมแตกแยกออกมาเป็นพรรคเล็กพรรคน้อยทำให้ "เจริญ" กลายเป็นผู้กว้างขวางที่มีพวกอยู่เกือบจะทุกพรรค การรับหน้าที่งานเลือกตั้งในเขตอีสานให้กับพรรคกิจประชาคมของเจริญ ถึงขนาดต้องเป็นคนหนึ่งในการเสนอตัวผู้เข้าสมัครเลือกตั้ง โดยเฉพาะในตัวจังหวัดขอนแก่นซึ่งมีคนร่วมคิดที่ชื่อ สุทัศน์ ศรีรัตนพันธ ปัจจุบันได้กลายเป็น ส.ส.ขอนแก่น พรรคกิจประชาคมอีกคนที่ร่วมใการถอนชื่อออกจากญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาลคราว 22 เมษายน ที่ผ่านมา

กล่าวกันว่าสำหรับ "เล้ง" หรือ "เจริญ" แล้วสุทัศน์ยินดีที่จะปฏิบัติตามคำขอเกือบทุกอย่าง เพราะหนี้บุญคุรไม่เฉพาะได้รับช่วยเหลือในการเลือกตั้งเท่านั้นหากยังเป็นเรื่องส่วนตัวที่ผูกพันเกี่ยวกับวงการได้เสียที่ "เจริญ" ได้ลดหย่อนผ่อนชำระให้กับสุทัศน์เป็นจำนวนสูงอีกด้วย

งานการจัดสรรเลือกตัวผู้สมัคร "เจริญ" ได้เสนอแผนให้บุญชูดังตัวแคล้ว นรปติ นักการเมืองอาวุโสค่ายแนวร่วมสังคมนิยมในอดีตที่รวมตัวก่อตั้งพรรคสังคมประชาธิปไตยภายลหังถูกยุบพรรคเพราะไม่สามารถที่จะส่งจำนวนผู้สมัคร ส.ส.ได้ครบตามจำนวนที่กฎหมายกำหนดในการเลือกตั้งคราวที่ผ่านมา เขาเสนอไอเดียให้หัวหน้าพรรคกิจประชาคมรับฟังถึงความจำเป็นที่ต้องลงทุนลงแรงแย่งตัว แคล้ว นรปกติ ที่เพิ่งอกหักจากการถูกยุบพรรคและได้ประกาศตัวที่จะร่วมกับ "อุทัย พิมพ์ใจชน" พรรคก้าวหน้าก่อนหน้านั้นแล้ว

ด้วยความเชื่อมั่นค่อนข้างสูงของ "เจริญ" ถึงโอกาสการได้รับเลือกตั้งจากประชาชนของ แคล้ว นรปติ และมั่นใจมากกว่าหลังจากได้รับเลือกตั้งแล้วหนักการเมืองอาวุโสจะต้องพ้นจากการเป็น ส.ส.พรรคกิจประชาคมซึ่งคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาขณะนั้นเกี่ยวกับการยื่นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งช้าเกินกว่าที่กฎหมายระบุ

"เผื่อว่าถ้าลงขอนแก่นแล้วนายแคล้วได้เป็นส.ส.คนหนึ่งแน่ ๆ อีกไม่เกิน 6 เดือนศาลฎีกาประกาศผลว่านายแคล้วหมดสภาพการเป็นส.ส.เผื่อท่านเลือกตั้งที่นครสวรรค์ไม่ได้ท่านมาลงซ่อมที่นี่" เจริญบอกถึงข้อเสนอของตนที่บุญชูเห็นด้วย แคล้ว นรปกติจึงเป็นเพียงผู้สมัครขัดตราทัพรั้งสนามเลือกตั้งไว้ รอให้กับหัวหน้าพรรคกิจประชาคมที่อาจผิดหวังจากการตัดสินใจลงสมัครที่นครสวรรค์

"งานมันเริ่มตั้งแต่วันนั้นมาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้การเลือกตั้งเงินทองก็ต่างคนต่างใช้ต่างคนต่างจ่ายผมก็ใช้ของผมไปใช้หมดทุกอย่างเงินสมัครผู้แทนเขตไหน ๆ ที่ต้องรับผิดชอบเฉพาะตามกฎหมายสามแสนห้าหมื่นบาทผมหมดเยอะเงินต้องนับเป็นล้าน" เจริญ บอกถึงเงินทองที่ต้องใช้จ่ายเป็นถุงเป็นถัง

แม้ว่าการใช้จ่ายเงินทองจำนวนที่อีกหลายคนไม่สามารถจะทำได้อย่างเขาแล้วเจริญ ยังบอกถึงสิ่งที่เขาลงทุนไปนั้นไม่ได้ต้องการตำแหน่งอะไรทางการเมืองที่มากไปกว่าการที่พรรคพวก เพื่อติดต่อทำมาค้าขายสำหรับเป้าหมายในพรรคการเมืองแล้วแม้กระทั่งที่ปรึกษากรรมการเขาก็ยังไม่ต้องการ

มีผู้ให้ลักษณะบุคลิกรวมถึงจิตใจของ "เจริญ พัฒน์ดำรงจิตร" ว่าเขาคือ "ลิตเติ้มบิ๊กแมน" แห่งที่ราบสูง ช่วยคนจริงรับปากแล้วต้องทำ เป็นคนพูดตรงไปตรงมาขออะไรได้หมด

ความเป็นผู้กว้างขวางกล้าได้กล้าเสียโดยเฉพาะวงการได้เสียแล้วเขาเป็นที่ลืนลั่นระดับอินเตอร์คนหนึ่งถึงขนาดถือเคล้ดว่าเป็น "โชคชะตา" แห่งชีวิตทีเดียว การได้เสียของเขาจะเป็นวงเงินที่นับแต่หลักสิบล้านถึงร้อยล้านบาทคำว่า "เสี่ยเล้ง" จึงเป็นที่รู้จักกันดีในแถบถิ่นอีสานนับแต่โคราชอันเป็นบ้านเกิดไปยันฐานธุรกิจอีกแห่งในจังหวัดขอนแก่นอันเป็นที่มาของชื่อเครือกิจการที่เรียกว่า "ขอนแก่นพืชผล" จนปัจจุบันความกว้างขวางของเขามีไปถึง มหาสารคาม, ร้อยเอ็ด, กาฬสิทธุ์, ชัยภูมิ, อุบล หรือทั่วทั้งอีสานกลางก็ว่าได้

สำหรับวงเงินที่หมุนเวียนในกิจการที่ "เจริญ" ประกอบอยู่ในย่านที่ราบสูงนั้นคนใกล้ชิดเขาบอกว่าหากรวมแล้วก็ไม่น่าที่จะน้อยไปกว่า 2 พันล้านบาทซึ่งหนึ่งในรายได้ที่ทำให้เงินสะพัดมากที่สุดคือรายการเสี่ยงดวงของคนอีสานที่เกี่ยวข้องกับตัวเลขไม่กี่หลัก เขาจึงเป็นคนหนึ่งบรรดาแบงก์เกอร์ระดับผู้จัดการสาขาให้ความเกรงใจเพราะรายได้ส่วนนี้เข้าออกธนาคารทุกสองครั้งต่อเดือนคราวละมาก ๆ

"เจริญ" เป็นลูกค้ารายใหญ่ของแบงก์หลายแห่งกระทั่งระดับประธานกรรมการแบงก์หลายแห่งต้องรู้จักเขา "ธนาคารกรุงเทพมั่ง, ทหารไทยมั่ง, กรุงไทยมั่ง ตั้งแต่ตามใจ ขำภูต ชาตรี โสภณพนิช ประยูร จินดาประดิษฐ์ ผมรู้จักหมดคือว่าเราเป็นลูกค้ารายใหญ่ทั้งนั้น" เขาร่ายยาวถึงความสัมพันธ์กับบรรดาผู้บริหารธนาคาร

ซึ่งก่อนที่ "ผู้จัดการ" มีโอกาสได้พบในวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา "เจริญ" ต้องเสียเวลากับการคอยต้อนรับบรรดาผู้บริหารธนาคารทหารไทยที่มีตั้งแต่ ประยุทธ จารุมณี ประธานกรรมการ และประยูร จินดาประดิษฐ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ตลอดจนคอยส่งกลับจากการสัมมนา "ภาวะเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" ซึ่งธนาคารทหารไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดงานที่จังหวัดขอนแก่น

ไม่ว่าเกมการเมืองจะพลิกผันส่งผลให้ใครขึ้นใครตก

เจริญหรือ "เสี่ยเล้ง" ไม่เคยวิตก

เขายังคงเป็นเขา เป็น "เสี่ยเล้ง" ที่เงินหนาและชอบคบหาผู้คน



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.