ถ้าการที่ใครสักคนอายุ 30 ปี ก็สามารถมีทรัพย์สมบัติมูลค่าหลายสิบล้านบาท
แต่มีเงินเพราะว่าเป็นทายาทของเศรษฐี ก้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาสนใจอะไรมากนักเพราะว่าคนแบบนี้เห็นกันออกดาษดื่นไปในสังคมไทยปัจจุบัน
แต่การที่คนหนุ่มอายุเพียง 30 ปี สร้างตัวด้วยตัวของเขาเองไม่ต้องพึ่งครอบครัว
ใช้สมองของเขาเป็นหลัก ไม่ต้องไปแบกหาม ไม่ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมทางการค้า
คดโกงใคร อย่างที่รู้ ๆ กันสำหรับผู้มั่งคั่งบางคนในปัจจุบัน
เพียงแต่เขาให้ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่ผ่านการสั่งสมมานานนับสิบปี
เพื่อสร้างตัวสร้างฐานะ สร้างฐานทางธุรกิจของเขา ในปริมณฑลที่ไม่ค่อยมีนักธุรกิจคนไหนเข้าไปจับเพราะมีคำว่า
"จรรยาบรรณ" และ "คุณธรรม" เข้ามาเป็นตัวสกัดกั้น
ยิ่งการที่เขาสามารถใช้ประสบการณ์ที่เหนือกว่าความรู้ที่เขามีอยู่ ไปสอนสั่งคนที่มีความรู้มากกว่าเขา
หรือรู้เท่า ๆ กับเขาได้
จึงต้องสนใจเขาให้มาก ๆ ทีเดียว
สงวน วงศ์สุชาต คือคน ๆ นั้น
ปีนี้สงวน อายุ 41 เป็นเจ้าของโรงเรียนเสริมหลักสูตรที่กรุงเทพ และสาขาที่เชียงใหม่พิษณุโลก
ขอนแก่น และหาดใหญ่
เป็นเจ้าของโรงพิมพ์และอุปกรณ์ทันสมัย ราคานับสิบ ๆ ล้าน
เป็นเจ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์ไอบีเอ็มและแอปเปิ้ล นับร้อย ๆ เครื่อง
ทรัพย์สินที่เขาสร้างขึ้นมามาจากสมองและความชาญฉลาดของเขาเป็นหลัก
ถ้าสงวนได้เป็นนักร้องตามที่เขาใฝ่ฝันในตอนวันรุ่น เขาอาจจะไม่มีวันนี้
ถ้าเขาประกอบอาชีพตามบิดาของเขา เป็นช่างทำรองเท้า
วันนี้ก็คงไม่มีโรงเรียนเสริมหลักสูตร โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษและปัจจุบันยังเพิ่มเป็นโรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์อีกต่างหาก
เขาเริ่มฉายแววเมื่อตอนที่เขาอายุ 17 สงวนชนะเลิศการสอบแข่งขันทั่วประเทศ
จากผู้เข้าแข่งขันมากกว่าร้อยโรงเรียน
วันนั้นเป็นวันที่เขายินดีมากที่สุดวันหนึ่ง เพราะ "ผมได้รับรางวัลจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่สหัวในฐานะผู้ประสบความสำเร็จทางการศึกษา"
ว่ากันวาเพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เขาเลิกล้มความตั้งใจที่จะเป็นนักร้อง
"มันไม่เหมาะกับผม"
หลังจากที่เขาจบจากโรงเรียนบพิตรพิมุข และเอ็นทรานส์เข้ารัฐศาสตร์จุฬาได้ดังหวังแล้วเขาได้กลับไปบพิตรพิมุขอีกครั้งหนึ่ง
ไม่ใช่ในฐานะนักเรียน แต่เป็นติวเตอร์ให้รุ่นน้อง เพราะเขาได้ผ่านการคัดเลือกจากโรงเรียนเก่า
นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของเขากับการก้าวไปเจ้าของโรงเรียนกวดวิชาในอนาคต
"นักเรียนประทับใจต่อการสอนของผมมาก" สงวนเคยเล่าให้ฟัง
เขาเปิดโรงเรียนกวดวิชาชื่อ "เสริมหลักสูตร" ขึ้นเป็นครั้งแรกที่สะพานควาย
มีนักเรียนตามมาเรียนกับเขาถึง 300 คน "ก็เป็นพวกที่เรียนกับเขาที่พิตรพิมุขนั่นแหละชวนเพื่อน
ๆ มา" นักเรียนคนหนึ่ง-เล่าให้ฟัง
สงวนย้ายโรงเรียนเรื่อยมาเนื่องจากจำนวนนักเรียนมากขึ้นทุกวัน จากสะพานควายมาวงเวียนใหญ่
วังบูรพา และจบลงด้วยถนนมหรรณพ ใกล้ศาลว่าการกรุงเทพมหานคร
ซึ่งเป็นฐานใหญ่ของ "เสริมหลักสูตร"
ที่นี่เขาสอนตั้งแต่ระดับอนุบาลจนกระทั่งถึงคนที่จะไปทำดอกเตอร์
ช่วงแรกที่เขาเน้นก็คือการสอนคอร์สเอ็นทรานส์ วิชาภาษาอังกฤษซึ่งเป็นปัจจัยชี้ขาดว่าใครจะได้เข้ามหาวิทยาลัยหรือไม่
แต่ปัจจุบันตัวที่ทำเงินให้เขามากที่สุดน่าจะเป็นคอร์สโทเฟิล นอกจากนี้เขายังมีคอร์สอื่น
ๆ อีกมากมาย
สงวนนำเอาวิดีโอเข้ามาเป็นสื่อการสอนพวกแรก ๆ ก็ว่าได้
สมัยที่วิดีโอยังไม่แพร่หลายอย่างทุกวันนี้ เขาถ่ายวิธีโอการสอนไว้ทุกคนที่ไม่มีเวลาเรียนในรอบที่ฟิกซ์ไว้ได้ดู
นี่เป็นการเสนอเงื่อนไขที่ที่อื่นยังไม่มี ยังตามเขาไม่ทัน
นอกจากนี้สิ่งที่เขาได้ประโยชน์จากวิดีโออีกก็คือ เขานำหนังฝรั่งมาฉาย
เขาบอกว่าเพื่อเป็นการฝึกภาษาอังกฤษแก่ผู้ที่มาเรียน แต่ที่จริงมันก็คือการดึงดูดนักเรียนอีกทางหนึ่งนั่นเอง
"ผมมาเรียนที่นี่ตอนนั้นก็เพราะเพื่อนเขาบอกว่าที่นี่ฉายหนังให้ดู"
ศิษย์สงวนคนหนึ่งบอก
เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เขาต้องขยายตัวเขาก็สามารถขยายสาขาโรงเรียนเสริมหลักสูตรไปต่างจังหวัดหลัก
ๆ ไม่ว่าจะเป็น เชียงใหม่ หาดใหญ่ พิษณุโลก และขอนแก่น ที่กำลังขึ้นเอามาก
ๆ
และวันนี้ก็ด้วยความเป็นคนที่ทันสมัยอยู่เสมอ
เมื่อถึงยุคที่คอมพิวเตอร์กำลังเฟื่องเขาก็ซื้อคอมพิวเตอร์นับร้อยเครื่อง
ทั้งไอบีเอ็มเอทีและเอ็กซ์ที รวมทั้งแอปเปิ้ลรุ่นที่ดังที่สุด-แม็คอินทอช
เขาก็นำเอายุทธวิธีเดิมมาใช้อีก นั่นคือให้คนที่เรียนภาษาอังกฤษกับเขามีสิทธิเรียนคอมพิวเตอร์ฟรี
และแน่นอนถ้าจะเรียนขั้นสูงก็ไม่ฟรีอีกต่อไป
ทุกวันนี้เขายังเป็นเจ้าของโรงพิมพ์มูลค่าสิบ ๆ ล้าน ที่น่าประหลาดก็คือเขายังมีกิจการรับแจกใบปลิวด้วย
โดย "มืออาชีพ" เขาบอกในใบปลิว
สงวนเป็นคนประเภท "เปอร์เฟคชั่นนิสท์" ต้องการสมบูรณ์แบบทุกอย่าง
จนบางครั้งกลายเป็นคนขี้โม้เมื่อทำไม่ได้อย่างที่พูด
ความหวังขั้นสูงสุดที่เขาเคยบอกไว้คือ เขาจะเรียบเรียงพจนานุกรมขึ้นมาใช้
"เพราะที่มี ๆ อยู่ยังไม่ดีพอ" เขาเคยให้สัมภาษณ์หนังสือฉบับหนึ่ง
แต่เขาคงยังไม่มีเวลาพอเพราะทุกวันนี้เขายังเอ็นจอยกับการเมคมันนี่อยู่
เพราะเขาไม่ใช่ครูบาอาจารย์
เขาเป็นนักธุรกิจ เป้าหมายก็คือทำกำไรสูงสุด
เป็นกำไรสูงสุดบนพื้นฐานของ "คุณธรรม" และ "จรรยาบรรณ"
ของอาชีพเรือจ้าง