สายตรวจคอมพิวเตอร์เมื่อกรมตำรวจติดอาวุธเทคโนโลยี


นิตยสารผู้จัดการ( สิงหาคม 2536)



กลับสู่หน้าหลัก

การนำเทคโนโลยีมาใช้ในงานของกรมตำรวจ กำลังเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง หัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญที่มีส่วนในการบุกเบิกผลักดัน คือ พ.ต.อ.ไพรัช พงษ์เจริญ รองผู้บังคับการศูนย์ข้อมูลข้อสนเทศสำนักงานแผนงานและงบประมาณแห่งกรมตำรวจ

พ.ต.อ.ไพรัช สอบได้ที่หนึ่งทั้ง 4 ปีจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ และได้ทุนรัฐบาลไปศึกษาต่อปริญญาโทและเอกที่สหรัฐอเมริกาในสาขาการบริหารงานกระบวนการยุติธรรมทางอาญา

ในขณะที่เรียนทางปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยแซมฮุสตันสเตทนี้เอง เขาได้สัมผัสกับคำว่า "เทคโนโลยี" และ "คอมพิวเตอร์" เป็นครั้งแรก เพราะเป็นวิชาบังคับที่นักศึกษาปริญญาทุกคนต้องเรียน และเป็นวิชาเดียวกับที่ พ.ต.อ.ทักษิณ ชินวัตร ได้เรียนเช่นเดียวกันในฐานะศิษย์ผู้พี่ เรียกว่าทั้งสองคนจบปริญญาเอกจากสถาบันนี้เหมือนกัน และมีอาจารย์ที่ปรึกษาคนเดียวกันด้วย

ไพรัช เพิ่งจะมาสัมผัสกับงานเทคโนโลยีของกรมตำรวจเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2534 โดยได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้กำกับการ ทำหน้าที่หัวหน้าศูนย์คอมพิวเตอร์ของกรมตำรวจ อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาปีเศษที่ผ่านมา เขาได้ทำทุกอย่างเพื่อยกฐานะและภาพพจน์การทำงานของกรมตำรวจ ในด้านการพัฒนางานเทคโนโลยีจนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ของคนทั่วไป

แม้จะมีพื้นฐานความรู้ด้านคอมพิวเตอร์อยู่บ้าง แต่คำว่าเทคโนโลยีกับงานตำรวจได้ซึมซับในแนวคิดของ พ.ต.อ.ไพรัช อย่างจริงจัง ก็เมื่อเขาได้มีโอกาสเข้าเรียนในหลักสูตรเอฟบีไอ ที่รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อกลางปี 2534 ทำให้เห็นความสำคัญ และได้เรียนรู้เกี่ยวกับความสามารถในการใช้ระบบข้อมูลอาชญากรรมในการทำคดีสำคัญต่าง ๆ มากมายของเอฟบีไอ และนั่นคือจุดเริ่มต้นขอกงารนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริมการปฏิบัติงานของตำรวจไทย

"สายตรวจคอมพิวเตอร์" คือ ความพยายามล่าสุดในการติดอาวุธทางเทคโนโลยีให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เขาใช้เวลาไม่น้อยกว่าครึ่งปี เพื่อผลักดันรถสายตรวจคอมพิวเตอร์ "ต้นแบบ" ออกมาจนเป็นผลสำเร็จและสามารถทำงานได้อย่างเป็นรูปธรรม

สายตรวจคอมพิวเตอร์เป็นการเชื่อมโยงโครงข่ายจากระบบฐานข้อมูลอาชญากรรม ที่บันทึกอยู่ในศูนย์คอมพิวเตอร์ของกรมตำรวจเข้าสู่คอมพิวเตอร์แบบกระเป๋าหิ้ว ซึ่งติดตั้งอยู่ในรถสายตรวจ โดยผ่านระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่เซลลูล่า 900 มีผลทำให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในรถสายตรวจตำรวจทางหลวงสามารถเรียกข้อมูลผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งติดตั้งในรถมาใช้ได้โดยตรงตลอด 24 ชั่วโมง และในทุกเส้นทางทั่วประเทศรวม 5 ระบบฐานข้อมูล คือ ฐานข้อมูลรถยนต์ รถจักรยานยนต์ทั่วประเทศ ฐานข้อมูลรถหาย ฐานข้อมูลใบขับขี่ ฐานข้อมูลใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน และสุดท้ายเป็นระบบฐานข้อมูลใบสั่งจราจร

จากรถสายตรวจคอมพิวเตอร์ "ต้นแบบ" คันแรกนี้ ซึ่งตามแผนงานนั้นจะนำไปสู่การติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ในรถตำรวจสายตรวจทางหลวงคันอื่น ๆ ต่อไปอย่างไม่จำกัดรวมทั้งสายตรวจของตำรวจ 191 และสายตรวจของสถานีตำรวจต่าง ๆ ประเทศ เพื่อให้ตำรวจที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ใกล้ชิดกับปัญหาอาชญากรรมสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยมีข้อมูลที่ถูกต้องสมบูรณ์ และสามารถเรียกใช้ได้อย่างรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของปัญหาการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และปัญหาอาชญากรรมอื่น ๆ ด้วย

"ระบบฐานข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจในการปฏิบัติงานมากขึ้น ซึ่งตามวัตถุประสงค์ คือ ทางกรมฯ ต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถดึงข้อมูลมาดูได้ ในขณะที่รถวิ่งอยู่ไม่ต้องย้อนกลับมายังส่วนกลาง สร้างให้ตำรวจเกิดความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อเปลี่ยนความคิด อย่างเช่น ในการตั้งด่านตรวจ หากมีข้อมูลที่แน่ชัดสามารถดึงมาดูผ่านจอคอมพิวเตอร์ได้ตลอดเวลา ทำให้ไม่ไปรบกวนสุจริตชนให้เสียเวลาอย่างทุกวันนี้" รองผู้การวัย 37 ปี กล่าวกับ "ผู้จัดการ"

ตามแผนงานหลังจากส่งรถต้นแบบให้กับผู้ใหญ่แล้วในเดือนสิงหาคม จะมีรถที่ติดตั้งคอมพิวเตอร์นี้ออกมา 10 คันแรกที่จะมีทุกอย่างเหมือนกับรถต้นแบบออกทดสอบวิ่งทั่วทุกภาคทั่วประเทศ ต่อจากนั้นจะทำการประเมินผลทั้งทางด้านข้อมูลและระบบเครือข่ายในระยะเวลา 6 เดือน เพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง เพื่อนำเสนอต่ออธิบดีกรมตำรวจขออนุมัติติดตั้งได้ตามแผนงาน และนโยบายดังกล่าว

"ตามแผนงานแล้ว จะมีรถสายตรวจคอมพิวเตอร์อย่างไม่จำกัดจำนวนทั้งรถสายตรวจทางหลวง สายตรวจ 191 และสายตรวจของสถานีตำรวจปัจจุบันเราใช้เครือข่ายของเซลลูล่าร์ 900 อยู่ ในขั้นนี้เรายังไม่รู้ว่า เมื่อมีการเชื่อมโยงเครือข่ายจากรถสายตรวจหลาย ๆ คันเข้าด้วยกันแล้ว จะมีปัญหาหรือไม่ ในอนาคตอาจจะพัฒนาไปสู่การเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมต่อไป" ไพรัชกล่าว

สำหรับงบประมาณในการใช้จ่ายสำหรับคอมพิวเตอร์ต่อรถสายตรวจหนึ่งคันจะตกประมาณ 125,000 บาทเป็นค่าโทรศัพท์มือถือกับคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้ว

นอกจาก "รถสายตรวจคอมพิวเตอร์" ซึ่งเป็นผลงานล่าสุดของนายตำรวจหนุ่มคนนี้แล้ว ในช่วงระยะเวลาปีเศษที่ได้เข้ามาจับงานด้านนี้ เขาได้พัฒนา "ระบบฐานข้อมูลอาชญากรรม" เพื่อใช้งานสืบสวนสอบสวน และป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ซึ่งประกอบไปด้วยข้อมูลคดีอาชญากรรม และผลการดำเนินคดี ข้อมูลรถหาย ข้อมูลผู้ต้องหา ผู้ต้องขังและบุคคลพ้นโทษ ข้อมูลหมายจับ ข้อมูลทะเบียนรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ข้อมูลทะเบียนอาวุธปืน ข้อมูลผู้ได้รับอนุญาตพกพาอาวุธปืน ข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ตลอดจนตำหนิรูปพรรณผู้กระทำผิด ข้อมูลพิมพ์นิ้วมือ และข้อมูลตำหนิรูปพรรณทรัพย์หาย และข้อมูลแผนประทุษกรรมคนร้าย โดยข้อมูลเหล่านี้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติงานในท้องที่สามารถเรียกตรวจสอบได้ตลอด 24 ชั่วโมง

อีกส่วนหนึ่งที่นายตำรวจผู้นี้ได้มีส่วนร่วมและผลักดันมาคือ โครงการความร่วมมือทางด้านระบบฐานข้อมูลของตำรวจในกลุ่มอาเซียน 6 ประเทศ การดำเนินการตามโครงการนี้จะมีผลทำให้การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมระหว่างประเทศได้ผลดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างรูปแบบมาตรฐานของข้อมูลอาชญากรรมให้แก่ประเทศสมาชิกเหล่านี้ สามารถจัดเก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์และมีการเรียกใช้ข้อมูลระหว่างกันได้อย่างรวดเร็ว

ถือได้ว่านี่คือการปรับปรุงงานของกรมตำรวจโดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ก็เทคโนโลยีเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่อำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานเท่านั้น แต่ความสำเร็จของงานยังคงขึ้นอยู่กับมนุษย์ผู้ใช้เทคโนโลยีนั้น ๆ ด้วย



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.