|
เมื่อสิงคโปร์ขอเป็นเจ้ามือ
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา( กันยายน 2553)
กลับสู่หน้าหลัก
กาสิโนแห่งแรกที่สิงคโปร์รอคอยมานาน เปิดตัวไปแล้วทั้งสองแห่งในปีนี้ Resorts World Sentosa มิใช่เป็นเพียงบ่อนกาสิโน หากแต่ยังรวมไว้ซึ่งโรงแรมหรูหรา 6 แห่ง และสวนสนุกของ Universal Studios ใช้เงินลงทุนก่อสร้างถึง 4,500 ล้านดอลลาร์ ส่วน Sheldon Adelson CEO วัย 76 ปีของ Las Vegas Sands เจ้าของ Marina Bay Sands กาสิโนแห่งที่ 2 ของสิงคโปร์ ซึ่งตั้งอยู่ริมอ่าว Marina Bay ระบุว่า กาสิโนของเขาซึ่งประกอบด้วยโรงแรมใหม่ที่ใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์ และพื้นที่จัดประชุมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ใช้เงินลงทุนไปทั้งสิ้นถึง 5,500 ล้านดอลลาร์
นักวิเคราะห์จาก Credit Suisse เห็นด้วยว่า กาสิโนทั้งสอง แห่งของสิงคโปร์ใช้งบประมาณก่อสร้างรวมกันแล้วแพงที่สุดในเอเชีย กาสิโนในมาเก๊าใช้งบก่อสร้างเพียงครึ่งหนึ่งของสิงคโปร์เท่านั้น ส่วนกาสิโน Venetian ในลาสเวกัสของ Adelson ซึ่งสร้าง ขึ้นตั้งแต่เมื่อกว่า 10 ปีก่อน ก็ใช้งบเพียง 1,500 ล้านดอลลาร์เท่านั้น หรือเพียง 1 ใน 3 ของ Marina Bay Sands ของสิงคโปร์
เพราะต้องการเลียนแบบความสำเร็จของมาเก๊า ที่ใช้เวลา เพียง 10 ปี พลิกฟื้นตัวเองจากกาสิโนที่เงียบเหงา กลายเป็นแหล่ง บันเทิงครบวงจร ทำให้รัฐบาลสิงคโปร์ตัดสินใจให้สัมปทานสร้างรีสอร์ตกาสิโน 2 แห่ง แก่บริษัท Las Vegas Sands และ Genting ในปี 2006 ค่าก่อสร้างกาสิโนทั้ง 2 แห่งซึ่งใช้เงินมหาศาลมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ สะท้อนให้เห็นความปรารถนาอันแรงกล้าของ สิงคโปร์ ที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของตัวเองจากสังคม ที่เนี้ยบเงียบขรึม ให้กลายเป็นเมืองที่สนุกสนานน่าตื่นเต้น
อย่างไรก็ตาม การที่สิงคโปร์กำหนดค่าผ่านประตูเข้ากาสิโน ไว้สูงลิ่วสำหรับชาวสิงคโปร์เอง สะท้อนถึงความไม่สบายใจลึกๆ ของรัฐบาลสิงคโปร์ ที่ไม่ต้องการเห็นพลเมืองหัวอนุรักษนิยมของตัวเอง ต้องเปลี่ยนไปกลายเป็นนักพนันมือเติบ แต่นั่นก็ทำให้เป็น เรื่องยากสำหรับกาสิโนทั้งสองแห่ง ที่จะสามารถคืนกำไรอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ทุ่มลงทุนไปมหาศาล
แม้ว่ากาสิโนทั้งสองของสิงคโปร์จะเป็นธุรกิจแบบผูกขาด ไม่เหมือนกับในมาเก๊าหรือลาสเวกัสที่มีการแข่งขันสูง แต่หากจะทำให้คืนทุนโดยไว นั่นหมายความว่า จะต้องทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติทุกๆ คนที่ไปเที่ยวสิงคโปร์ ไปเยือนกาสิโนแห่งใดแห่งหนึ่งในสอง แห่งนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นอก จากนี้ยังจะต้องทำให้ชาวสิงคโปร์ที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไป เข้ากาสิโน 1 ใน 2 แห่งนี้ให้ได้ 5 ครั้งต่อปี หรือต้องทำให้ชาวรัฐยะโฮร์ในประเทศเพื่อนบ้านมาเลเซีย ไปเยือนบ่อนแห่งใดแห่ง หนึ่งของสิงคโปร์ให้ได้ 2 ครั้งต่อปี ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นไปไม่ได้
การที่รัฐบาลสิงคโปร์กำหนดค่าธรรมเนียมผ่านประตูเข้ากาสิโนสูงถึง 70 ดอลลาร์ต่อวัน หรือ 1,400 ดอลลาร์ต่อปี คืออุปสรรคใหญ่ที่สุดในการทำกำไรของกาสิโนทั้งสอง นักวิเคราะห์ในสิงคโปร์ชี้ว่า รัฐบาลทำเช่นนี้ก็เพื่อให้คนสิงคโปร์ตระหนักว่า การเล่นพนันคือค่าใช้จ่าย ไม่ใช่อาชีพที่จะยึดได้ และไม่ต้องการให้ประชาชนติดการพนัน แม้สิงคโปร์จะอนุญาตให้พนันม้าแข่งได้ แต่มีการควบคุมการพนันในรูปแบบอื่นๆ อย่างเข้มงวด และนี่ก็เป็นเหตุผลที่รัฐบาลยอมให้เปิดกาสิโน ได้เพียง 2 แห่งเท่านั้น นอกจากนี้ ครอบครัวใดที่ไม่ต้องการให้ลูกหลานเข้าบ่อนกาสิโน ยังสามารถแจ้งต่อ National Council on Problem Gambling ของสิงคโปร์ เพื่อจัดทำเป็นรายชื่อบุคคลห้ามเข้าแจ้งต่อบ่อนกาสิโน มีชาวสิงคโปร์มากถึง 29,000 คนแล้ว ที่มีชื่ออยู่ในรายชื่อดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม กาสิโนจำเป็นต้องสร้างลูกค้าที่เป็นคนท้องถิ่น ด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะต้องพึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติเพียงอย่างเดียวในการสร้างรายได้ นักวิเคราะห์ชี้ว่า 72% ของนักพนันในกาสิโนของ Genting ในมาเลเซีย เป็นคนมาเลเซียเอง และมากกว่าครึ่งหนึ่งของนักพนันในกาสิโนของมาเก๊า เดินทางมาจากฮ่องกงและมณฑล กวางตุ้งจะเห็นว่า ตลาดกาสิโนที่ประสบความสำเร็จในเอเชีย เป็น เพราะพึ่งพาลูกค้าในท้องถิ่น การที่สิงคโปร์ห้ามคนของตัวเองเข้ากาสิโน จึงเท่ากับเป็นการมัดมือตัวเอง
ผู้บริหาร Resort World Sentosa ยอมรับว่า รู้เรื่องที่รัฐบาลสิงคโปร์กำหนดค่าผ่านประตูเข้ากาสิโนสูงลิ่ว มาตั้งแต่ก่อน ที่จะขอสัมปทานแล้ว แต่เชื่อว่ารีสอร์ตของตนไม่ได้มีจุดดึงดูดเพียงกาสิโนเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ ซึ่งรวมถึงสวนสนุก Universal Studios โรงแรมและภัตตาคารสุดหรูอีกหลายแห่ง จึงไม่ต้องพึ่งรายได้จากกาสิโนเพียงอย่างเดียว เพราะชาวสิงคโปร์ที่เลือกจะเข้าไปเที่ยวสวนสนุก Universal Studios หรือใช้บริการโรงแรมหรือภัตตาคารใน Resort World Sentosa โดยไม่เข้ากาสิโน จะไม่ต้องเสียค่าผ่านประตูมหาโหดดังกล่าว
ผู้บริหาร Resort World Sentosa เชื่อมั่นว่า จะสามารถดึงดูด นักท่องเที่ยวได้ตามเป้า 13 ล้านคน ในปีแรกที่เปิดกาสิโนทั้งสองนี้ ส่วน Thomas Arasi CEO ของ Marina Bay Sands ก็เชื่อว่า ศูนย์ประชุมและ ศูนย์รวมความบันเทิงต่างๆ รวมทั้งภัตตาคารที่มีเชฟที่มีชื่อเสียง ห้างสรรพสินค้าสุดหรู ซึ่งรวมอยู่ในรีสอร์ต กาสิโน Marina Bay Sands จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้หลายหมื่นคนต่อวัน Las Vegas Sands เจ้าของ Marina Bay Sands เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว ในการทำรีสอร์ตกาสิโนที่รวมความบันเทิงครบวงจร ทั้งที่ลาสเวกัสและมาเก๊า และเชื่อว่าโมเดลธุรกิจนี้จะประสบความสำเร็จในสิงคโปร์เช่นกัน
กาสิโนทั้งสองของสิงคโปร์จะได้ประโยชน์ในระยะยาว เพราะตลาดกาสิโนของสิงคโปร์ ไม่มีการแข่งขันสูงเหมือนลาส เวกัสหรือมาเก๊า ทำให้กาสิโนทั้งสองผูกขาดตลาดสิงคโปร์โดยไร้คู่แข่งในอนาคต อัตราภาษีที่เก็บกับกาสิโนก็ต่ำกว่าในมาเก๊า ที่สำคัญที่สุดคือกาสิโนทั้งสองแห่งตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดของสิงคโปร์ มีศักยภาพมากมายที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ Marina Bay Sands ตั้งอยู่ห่างจากย่านธุรกิจของสิงคโปร์เพียงไม่กี่นาที และอยู่ริมทะเลที่งดงาม
ในระยะสั้น กาสิโนทั้งสองอาจคืนทุนช้า แต่สำหรับรัฐบาลสิงคโปร์แล้วได้รับประโยชน์ตั้งแต่ต้น นอกจากกาสิโนทั้งสองจะช่วยสร้างงานให้สิงคโปร์ได้ทันทีหลายหมื่นตำแหน่งแล้ว ยังสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทั้งเอเชีย รัฐบาลสิงคโปร์มองกาสิโนทั้งสองเป็นเพียงช่องทางดึงดูดนักท่องเที่ยวเท่านั้น คือทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปยังสิงคโปร์มากขึ้น และใช้จ่ายกับความบันเทิงต่างๆ ในรีสอร์ตกาสิโน ทั้งโรงแรมและห้างสรรพสินค้า แต่ไม่ได้เน้นรายได้จากกาสิโน Citigroup คาดว่า กาสิโนทั้งสองของสิงคโปร์จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 12.8 ล้านคนภายในสิ้นปี 2011 หรือเพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบันอีก 1 ใน 3 ในที่สุดแล้ว ผู้ชนะที่แท้จริงก็คือรัฐบาลสิงคโปร์ ซึ่งใช้กาสิโนเป็นเครื่องมือส่งเสริมธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวของตัวเอง ไม่ว่าอนาคตของกาสิโนในสิงคโปร์จะเป็นอย่างไร แต่สิงคโปร์ได้วางหมากปกป้องเดิมพันของตนไว้แล้วอย่างแน่นหนา เยี่ยงนักพนันผู้เจนจัด
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|