|
เงินบาทแข็งค่าโจทย์ที่ใหญ่ของ ธปท.
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา( กันยายน 2553)
กลับสู่หน้าหลัก
ความกังวลต่อแนวโน้มการชะลอตัวและ/หรือความเสี่ยงต่อการกลับไปถดถอยอีกครั้ง (Double-Dip Recession) ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงจังหวะเดียวกันกับที่ข้อมูลเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศทั่วโลก ล้วนบ่งชี้ถึงพัฒนาการของเศรษฐกิจที่ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการขยายตัวและกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ช่วงเวลาของการชะลอตัวอย่างพร้อมเพรียงกันนับตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 2/2553 เป็นต้นมา
ท่ามกลางสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความเสี่ยงในช่วงขาลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถูกตอกย้ำอย่างชัดเจนจาก แถลงการณ์หลังการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งมี มติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับต่ำเป็นพิเศษต่อไป พร้อมประกาศแผนการกลับเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อีกครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวได้ส่งผลให้อัตราผลตอบแทน พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ร่วงลงพร้อมๆ กับค่าเงินดอลลาร์ที่ดิ่งลง แตะระดับต่ำสุดในรอบ 15 ปีเมื่อเทียบกับเงินเยนจากกระแสความ อ่อนแอของเงินดอลลาร์ดังกล่าว
เมื่อรวมเข้ากับแรงขายเงินดอลลาร์ของผู้ส่งออกและแนวโน้มที่แข็งแกร่งโดยเปรียบเทียบของภูมิภาคเอเชีย ได้ส่งผลต่อเนื่องให้เงินบาททะยานข้ามแนวต้านสำคัญทางจิตวิทยาที่ระดับ 32.00 ขึ้นทำสถิติแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 28 เดือนใกล้ 31.65 บาทต่อดอลลาร์และกลายมาเป็นสกุลเงินที่แข็งค่าเป็นอันดับที่สองของ เอเชียในปีนี้ โดยเป็นรองจากเงินริงกิตมาเลเซียเท่านั้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินสถานการณ์ แนวโน้ม และประเด็นสำคัญของค่าเงินบาทว่าการฟื้นตัวกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินบาทตั้งแต่ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2553 หลังจากที่เงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลงท่ามกลางความตึงเครียดทางการเมืองในประเทศช่วงกลางเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ได้รับแรงหนุนจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ความอ่อนแอของเงินดอลลาร์แรงขายเงินดอลลาร์ของผู้ส่งออกอันเนื่องมาจากดุลการค้าที่บันทึกยอดเกินดุลสูง และกระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาคเอเชียซึ่งตลาดการเงินของไทยก็ได้รับอานิสงส์นี้ด้วยเช่นกัน
ความอ่อนแอของเงินดอลลาร์จากแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงแล้วประมาณ 7% จากระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือนที่ทำไว้ในช่วงต้นมิถุนายน 2553 หลังจากที่ความกังวลต่อวิกฤติด้านการคลังในยุโรปได้ลดระดับลง สวนทางกับทิศทางของเครื่องชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ขณะที่เฟดยอมรับว่า อัตราการฟื้นตัวของผลผลิตและการ จ้างงานชะลอลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากเฟดจะยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับต่ำเป็นพิเศษต่อไปอีกระยะหนึ่งเพื่อสนับสนุนให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความต่อเนื่องแล้ว เฟดยังระบุว่า จะนำเงินต้นที่ได้รับจากการครบกำหนด ไถ่ถอนตราสารหนี้และหลักทรัพย์ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนองที่ออกโดยหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ มาลงทุนใหม่ในพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวอีกด้วย ทั้งนี้ ความเสี่ยงในช่วงขาลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นชนวนสำคัญที่ทำให้วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดถูกเลื่อนออกไปเป็นช่วงครึ่งหลังของปี 2554 เป็นอย่างเร็ว ซึ่งทำให้คาดว่า ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐฯ น่าจะยังคงเป็นปัจจัยลบของเงินดอลลาร์ต่อไปอีกระยะหนึ่ง
การเกินดุลการค้าเป็นอีกปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของเงินบาท เพราะอานิสงส์จากการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า และกรอบความตกลงการค้าเสรีส่งผลให้การส่งออกของไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 เติบโตมากเกินคาดถึงประมาณ 37.0% ทำให้ไทยบันทึกยอดเกินดุลการค้าได้สูงถึงประมาณ 6.78 พันล้าน ดอลลาร์ รายได้ที่อยู่ในรูปเงินตราต่างประเทศดังกล่าวเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีแรงซื้อเงินบาทในตลาดปริวรรตเงินตราต่างประเทศ และหนุนให้เงินบาทปรับตัวในทิศทางที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเงินบาทสามารถแข็งค่าทะลุแนวต้านสำคัญทางจิตวิทยาที่ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม 2553 นอกจากนี้ เศรษฐกิจเอเชียนำการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงเป็นความจริงเสมอ แม้ว่าเศรษฐกิจชั้นนำของโลกอย่างกลุ่ม G-3 (สหรัฐฯ ยูโรโซน และญี่ปุ่น) จะพลิกกลับมาขยายตัวได้แล้วในปีนี้ อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวที่ ยังคงมีความเปราะบางจากปัญหาการว่างงานในระดับสูง และความจำเป็นต้องรักษาวินัยทางด้านการคลังอย่างเคร่งครัด กรณีดังกล่าวคาดว่า โมเมนตัมของการ ขยายตัวของเศรษฐกิจกลุ่ม G-3 น่าจะไม่มีความราบรื่นมากนัก ซึ่งภาพดังกล่าวจะตรงกันข้ามกับเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียที่แม้จะมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 แต่ก็มีอัตราการขยายตัวที่สูงกว่าภูมิภาคอื่นๆ โดยเปรียบ เทียบ ซึ่งย่อมจะทำให้เอเชียยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจของนักลงทุนเช่นเดิม
ขณะเดียวกันเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศเป็นอีกปัจจัย ที่ช่วยหนุนค่าเงินบาท ปัจจัยทางการเมืองในประเทศที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญมากนักหลังจากการประกาศยุติการ ชุมนุมในย่านราชประสงค์ เป็นสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้กระแสเงินทุนจากต่างประเทศทยอยไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดการเงินไทยทั้งในส่วนของตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร เนื่องจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยยังคงมีความแข็งแกร่ง ขณะที่การคาดการณ์ถึงแนวโน้มขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ทำให้ส่วนต่าง ระหว่างอัตราดอกเบี้ยของไทยและสหรัฐฯ กว้างขึ้นตามไปด้วย นับจากต้นปี 2553 กลุ่มนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจในต่างประเทศที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Foreign Companies: FCO) มี สถานะเป็นผู้ซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตรเป็นมูลค่าสะสมประมาณ 98.75 พันล้านบาท โดยแรงซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตรได้เร่งตัวสูงขึ้นค่อนข้างมากในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2553 เป็นต้นมา (ค่า เฉลี่ยของการเข้าซื้อสุทธิสูงประมาณ 2.37 พันล้านบาทต่อวัน เทียบกับค่าเฉลี่ยประมาณ 1.38 พันล้านบาท และ 652.1 พันล้าน บาทต่อวันในเดือนกรกฎาคม และมิถุนายน 2553 ตามลำดับ)
ขณะที่ในส่วนของตลาดหุ้นนั้น นักลงทุนต่างชาติได้ทยอย กลับมาเป็นผู้ซื้อสุทธิตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2553 ที่ผ่านมา ซึ่งก็ทำให้สถานะขายสุทธิสะสมในหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ ลดลงมาเหลือเพียง 3.68 พันล้านบาทเท่านั้น (ข้อมูล ณ วันที่ 17 สิงหาคม 2553)
แม้ว่าสัญญาณของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในหลายๆ ภูมิภาคของโลกในช่วงที่เหลือของปี 2553 (และอาจลากยาวไปในปี 2554) จะมีความชัดเจนมากขึ้น แต่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ที่แข็งแกร่งกว่าโดยเปรียบเทียบของเอเชีย (รวมถึงไทย) น่าที่จะเป็นสภาวะแวดล้อมที่ดึงดูดให้มีกระแสเงินทุนไหลเข้าสู่ภูมิภาคต่อไป ขณะที่ความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของเอเชียและอัตราดอกเบี้ยในกลุ่มประเทศชั้นนำอย่างสหรัฐฯ ยูโรโซนและญี่ปุ่น น่าที่จะมีแนวโน้มกว้างขึ้นอีกในช่วงหลายเดือนข้างหน้าเช่นกันซึ่งก็เป็นไปตามวัฏจักรของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธนาคารกลางหลายแห่งในเอเชียที่เริ่มขึ้นก่อน
นอกจากนี้ คาดว่าไทยน่าที่จะยังคงบันทึกยอดเกินดุลการ ค้าในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 ซึ่งก็เป็นนัยว่าแรงขายเงินดอลลาร์ ของผู้ส่งออกน่าจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนทิศทางการแข็งค่าของเงินบาทได้ต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี 2553
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินประเด็นสำคัญสำหรับเงินบาทในห้วงเวลาจากนี้ว่าเงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นทดสอบ ระดับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ ภายในสิ้นปี 2553 โดยมีแรงหนุนที่สำคัญจากดุลการค้าที่คาดว่า น่าจะยังคงบันทึกยอดเกินดุลในระดับที่เกินว่า 5.0 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยและแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในช่วงหลายเดือนข้างหน้า นั้น น่าที่จะทำให้ความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของไทยและสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 1.75% ภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็ยังเป็นปัจจัยกดดันค่าเงินดอลลาร์ด้วยเช่นกัน
ขณะที่ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนอาจหลีกเลี่ยงได้ยากและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจยังคงต้องเข้าดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาท ความเสี่ยงในช่วงขาลงของเศรษฐกิจโลกในช่วงหลายเดือนข้างหน้า โดยสหรัฐฯ และจีนน่าจะมีโมเมนตัมของการขยายตัวที่ชะลอลง ขณะที่ผลของมาตรการรัดเข็มขัดทางด้านการคลังที่มีต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจยุโรปอาจมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี น่าที่จะทำให้เงินดอลลาร์ยังคงได้รับแรงหนุนกลับมาบ้างในบางจังหวะในฐานะที่เป็นสกุลเงินที่ปลอดภัย
ดังนั้น แม้เงินบาทจะยังคงอยู่ในแนวโน้มแข็งค่า แต่ความเคลื่อนไหวของค่าเงินอาจมีความผันผวนมากขึ้น ซึ่งก็เป็นนัยว่า ธปท.ก็อาจจำต้องทำหน้าที่ในการดูแลเสถียรภาพของค่าเงิน บาทอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากความผันผวนมีสาเหตุจากกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ อีกปัจจัยหนึ่งที่หนุนค่าเงินเอเชียรวมถึงเงินบาทในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี คาดว่ามาตรการดูแลกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย ระหว่างประเทศของทางการในภูมิภาคเอเชีย (และของทางการไทย) อาจจะมุ่งเป้าไปที่การชะลอการไหลเข้าของเงินทุนเก็งกำไร ควบคู่ไปกับการเตรียมแผนการรับมือในกรณีที่กระแสการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนำไปสู่สถานการณ์ที่ทำให้มีการไหลออกของเงินทุนอย่างฉับพลัน
ประเด็นทางด้านความสามารถในการแข่งขัน คงต้องยอมรับว่า การแข็งค่าของเงินบาทในอัตราที่มากกว่าสกุลเงินอื่นๆ ที่เป็นคู่ค้า/คู่แข่งของไทย อาจจะทำให้ความสามารถในการแข่งขัน ของสินค้าส่งออกของไทยด้อยลงไปบ้างโดยเปรียบเทียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีสินค้าเกษตรบางประเภทที่ต้องเผชิญกับคู่แข่ง อย่างเวียดนามซึ่งน่าจะมีความได้เปรียบไทยจากค่าเงินด่องที่ยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอีก หลังจากที่ธนาคารกลางเวียดนามประกาศปรับลดค่าเงินดองอีก 2.0% โดยให้มีผลนับตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2553 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ภาคการส่งออกของไทย (ที่ค่อนข้างมีความยืดหยุ่นและไม่ได้ถูกกำหนดจากอัตราแลกเปลี่ยนเพียงปัจจัยเดียว) น่าที่จะยังคงสามารถรักษาทิศทางการเติบโตได้ต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้ารวมถึงอานิสงส์จากกรอบการค้าเสรี แม้ว่าอัตราการขยายตัวของการส่งออกอาจมีค่าเฉลี่ยที่ลดลงมาที่ 17.0% หลังจากที่ขยายตัวสูงถึง 37.0% ในช่วงครึ่งปีแรกก็ตาม โจทย์ในการรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยและการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนของผู้ส่งออก-นำเข้า น่าจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญมากนักในช่วงหลายเดือนข้างหน้า แต่ก็คงจะต้องเตรียมรับมือกับโจทย์ของการรักษาความสามารถในการแข่งขันในยามที่คู่แข่งของสินค้าส่งออกของไทยบางรายมีความได้เปรียบด้านค่าเงินมากขึ้น ท่ามกลางแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วงหลายเดือนข้างหน้า
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|