”กันตนา”ทุ่ม50ล. รับดิจิตอล-3มิติมาแรง คาดปีหน้าโกย3พันล.


ASTV ผู้จัดการรายวัน(29 สิงหาคม 2553)



กลับสู่หน้าหลัก

ตลาดภาพยนตร์ทั่วโลกฟื้นตัว หนังใหญ่ฟอร์มยักษ์จ่อคิวลงจอไปจนถึงปีหน้า เทรนด์ดิจิตอลและ 3มิติ มาแรง “กันตนา” ควักกระเป๋า 50 ล้านพัฒนาระบบรองรับซับไตเติ้ลไทย 3 มิติแห่งแรกในเอเชีย เชื่อส่งรายได้ปีหน้าทะลุ 1,300 ล้านบาท ส่วนปีนี้ต่ำเป้า คาดทำได้ 1,000 ล้านบาท

นายสุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์ ประธานกรรมการบริหารสายธุรกิจภาพยนตร์ บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทิศทางอุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั่วโลกปีนี้ไปจนถึงปีหน้า พบว่ามีการฟื้นตัวขึ้นอย่างมาก เพราะจากรายชื่อภาพยนตร์ที่จะเข้าฉายไปจนถึงปีหน้า จะเห็นได้ว่ามีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลายเรื่อง ส่วนในประเทศไทยเองนั้น ก็พบว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์กลับมาคึกคักและดีขึ้นเช่นกัน โดยแนวโน้มการเติบโตครั้งนี้ พบด้วยว่า การผลิตภาพยนตร์ในรูปแบบดิจิตอล และ 3มิติมาแรงมาก ตั้งแต่เรื่อง อวตาร ที่ทำออกมาและได้รับการตอบรับสูง ส่งผลให้มีการผลิตภาพยนตร์ในรูปแบบ 3มิติ เพิ่มสูงขึ้น และกำลังจะเข้าฉายอีกหลายเรื่อง

อย่างไรก็ตาม รูปแบบภาพยนตร์แบบ 3มิตินั้น ที่จะเข้าฉายในประเทศไทย ในส่วนของซัพไตเติ้ลไทยนั้น จะต้องทำมาจากประเทศผู้ผลิต ส่งผลให้มีต้นทุนที่สูงขึ้นอีก ดังนั้นทางบริษัทจึงได้ทุ่มงบประมาณกว่า 50 ล้านบาท ในการพัฒนาระบบซับไตเติ้ลไทย 3มิติ ขึ้นเป็นแห่งแรกของเอเชีย โดยการนำเข้าฮาร์ดแวร์จากสหรัฐอเมริกา และซอฟท์แวร์จากสวีเดนซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถให้บริการลูกค้าเดิมใน 40ประเทศทั่วโลกได้อย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น รวมถึงเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ได้ ทั้งนี้มองว่าการทำซับไตเติ้ลไทย 3 มิติ ที่เรานั้น จะช่วยลดต้นทุนการทำซับไตเติ้ลลงจากเดิมได้ถึง 50%

สำหรับภาพยนตร์ 3 มิติ เรื่องแรกที่ทางบริษัทเข้ามาดูแลผลิตซับไตเติ้ลไทย 3 มิติให้ คือ ภาพยนตร์ 3 มิติ เรื่อง ปิรันยา โดยตามแผนการดำเนินงานนั้น ยังมีภาพยนตร์ 3 มิติอีกราว 10 เรื่องที่จะเข้าฉายในประเทศไทยในปีหน้า ได้ให้ทางบริษัทเป็นผู้ผลิตซับไตเติ้ลไทย 3 มิติไว้เรียบร้อยแล้ว

และจากทิศทางภาพยนตร์ 3มิติ ที่กำลังมาแรงนั้น ทางกันตนาได้มีการลงทุนกว่า 400 ล้านบาท ในการผลิตภาพยนตร์อะนิเมชั่นเรื่อง Echo Planet ที่จะเข้าฉายในปี 2554 และเรื่อง ก้านกล้วย 3 ในปี 2555 โดยทั้งสองเรื่องใช้งบลงทุนเท่าๆกัน ด้วย

นายสุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า ภาพรวมรายได้ของกันตนาในส่วนของสายงานภาพยนตร์นั้น จากเดิมที่วางไว้ 1,300 ล้านบาท แต่หลังจากที่มีปัญหาการเมืองเกิดขึ้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลต่อภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์เป็นอย่างมาก ทำให้ต่างชาติไม่กล้าเข้ามาลงทุนในไทย ส่งผลให้ทั้งปีนี้บริษัทอาจจะทำรายได้ได้เพียง 1,000 ล้านบาทเท่านั้น โดย 80-90% มาจากธุรกิจโพสต์โปรดักชั่นและอีก 10-20% มาจากภาพยนตร์ที่เข้าฉาย ซึ่งในปีนี้ คือ “คนไท ทิ้งแผ่นดิน” ส่วนในปีหน้านั้น มองว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น ต่างชาติจะเริ่มกลับมาลงทุนในไทย เชื่อว่าจะทำให้บริษัทมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1,300 ล้านบาทได้


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.