ออกชื่อ เกียรติ วัธนเวคิน ในวงการธุรกิจน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักพ่อค้าใหญ่ที่ทำงานเยี่ยงมดผู้นี้
เกียรติก็เฉกเช่นคนจีนโพ้นทะเลทั้งหลายที่หอบเสื่อผืนหมอนใบเข้ามาวัดดวงบนแผ่นดินสยาม
อาศัยมีความขยันหมั่นเพียรเป็นบรรทัดฐาน ตะเกียกตะกายฟันฝ่าขวากหนามชีวิตแลกดีแลกชั่วอย่างไม่ระย่อท้อ
จนที่สุดสามารถสร้างตัวให้เป็นมหาเศรษฐีชั้นแนวหน้าที่มีธุรกิจหลายพันล้านบาทในกำมือได้สำเร็จ
ถ้าจะมีใครตั้งคำถามกับชายจีนวัย 77 ปีผู้ผ่านชีวิตมาทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นคนขายเต้าหู้
ทำปลาทูนึ่ง ขายก๋วยเตี๋ยว ผัด คนต้มเหล้า รับเหมาก่อสร้างพ่อค้าน้ำตาล และนายธนาคารว่าเส้นทางที่ล้มลุกคุกคลาน
นับครั้งไม่ถ้วน เพดานไหนที่ทำให้ไต่ระดับขึ้นมาเป็นจอมยุทธ์ได้ทุกวันนี้
คำตอบที่เกียรติดูจะภูมิใจมากที่สุดคือ "ก็พ่อค้าเหล้านะซิ"
เกียรติไม่มีวันลืมอดีตชีวิตเมื่อปลายสงครามโลกครั้งที่สอง ที่หักเหให้ต้องมาเป็นค้าเหล้าและนำความรุ่งเรืองมาให้เหลือคณา
นับได้แน่นอน เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามรัฐบาลเปิดให้มีการประมูลโรงงานสุรา
ปรุงพิเศษ เกียรติตอนนั้นที่ทำงานเป็นกึ่งหลงจู๊ให้กับเถ้าแก่โรงยาฝิ่น แถวสะพานเหลืองได้เกลี้ยกล่อมให้นายเขาประมูลจนได้โรงงานมาเป็นกรรมสิทธิ์
อาศัยที่สนิทชิดเชื้อกับข้าราชการกรมสรรพสามิตจากการซื้อฝิ่น ทำให้เกียรติรู้ช่องทางหนีทีไล่ในการต้มเหล้าขายเป็นอย่างดีเกียรติต้มเหล้าปรอดภาษีขายให้กับทหารญี่ปุ่น
จากลูกค้าที่ได้รับเงินเดือนแค่ 35 บาท ไม่นานนักเขาก็กลายเป็นเจ้าของไปเสียเองและต่อมาก็ก้าวขึ้นเป็นเจ้าพ่อ
ของวงการ
เกียรติตั้งบริษัท ชลาพรรณ จำกัด ขึ้นมาเป็นผู้ผลิตเหล้ายี่ห้อ "แม่น้ำสุพรรณ"
ซึ่งตอนนั้นในเขตนครปฐม กาญจนบุรี สมุทรสาคร ดังกว่าแม่โขงเสียอีก ทำเหล้าตัวนี้ประมาณ
3 ปี ได้กำไรอย่างมากมาย จึงออกไปกว้านประมูลโรงงานสุราต่าง ๆ ได้เกือบทั่วทั้งประเทศและตั้งร้านขายส่งอีก
13 แห่ง ไล่ตั้งแต่ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ตรัง ยัน นครปฐม สุโขทัย พิษณุโลก
ลำปาง วกลงมาถึงฉะเชิงเทรา ชลบุรี
จากการขยายตัวทำให้รู้จักกับ หลีจี้เต๋า หรือ สุธี บุณยศรีสวัสดิ์ ซึ่งเป็นพ่อค้าเหล้าชื่อดังย่านนครปฐม
กาญจนบุรี หลีจี้เต๋ามีโรงงานสุราและผลิตเหล้า ออกมาขายหลายตัวเช่น แมวดำ
แม่น้ำ คิงส์ แต่ทำให้คนรู้จักเขามากที่สุดคือ แมวดำ ซึ่งตีคู่มากับ แม่น้ำสุพรรณ
สภาพการเป็นคู่แข่งขันแปรเปลี่ยนมาเป็นมิตรเมื่อหลีจี้เต๋ากลายมาเป็นเอเย่นต์สำคัญของเกียรติในเขตตะวันตก
ความรักของพ่อค้าเหล้าคู่นี้ผู้ใกล้ชิดทั้งสองเล่าให้ฟังว่า " ทำให้คนในเตชะไพบูลย์
ที่คุมอณาจักรด้านนี้อยู่อดที่จะหวั่นไหวไม่ได้เพราะสองคนมีแขนขาที่สร้างความยิ่งใหญ่ให้ทัดเทียมแม่โขงอยู่ทั่วประเทศเช่นกัน
"
เมื่อกระทรวงอุตสาหกรรม อนุญาตให้กลุ่ม ป. ประกิต ขีตตะสังคะ พี่ชายจอมพล
ป.พิบูลสงคราม ผลิตสุราผลไม้ ทว่า กลุ่มนี้ขาดผู้รู้และเชี่ยวชาญจนต้องระงับ
เกียรติกับหลีจี้เต๋าจึงอาสาเข้าไปรับช่วงต่อโดยเปลี่ยนใบอนุญาตเป็นชื่อของ
หลีจี้เต๋าหรือสุธี บุณยศรีสวัสดิ์ เมื่อ 31 ตุลาคม 2503
ระยะแรกของโรงงานสุราประมวนผลหรือชื่อจีนที่ว่า "ช่วนฮงอู้หังกงชี"
ที่สองคนเข้าไปรับช่วงมีผู้ถือหุ้นใหญ่เรียงตามลำดับเพียง 3 รายคือ เกียรติ
สุธี และบุญช่วย เวชพานิช (มือขวาของสุธี) เครื่องดื่มชนิดแรกที่ผลิตออกมาก็คือ
น้ำผลไม้ไซเดอร์ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าใดนัก
กิจการของประมวลผลกระเตื้องขึ้นมาในระยะไม่กี่สิบปีที่ผ่านมาร เมื่อผลิตไวน์สู่ตลาดแต่เป็นกระเตื้องที่นำพาซึ่งการแตกแยกกันของหลีจี้เต๋า
โดยเกียรติถอนหุ่นใหญ่ทั้งหมดออกไป จากประมวลผลหันไปเน้นหนักทางด้านสุราของตนที่ชลบุรี
และต่อมาก็วางมือหันไปค้าน้ำตาลแทน
ความรักที่บุบสลายลงของคนทั้งคู่ ผู้ใกล้ชิดกล่าวกับ"ผู้จัดการ"
เพราะว่าเป็นเพราะความแข็งและเชื่อมั่นที่มีอยู่มากของคนทั้งสอง หลีจี้เต๋าเองมักบอกกับใคร
ๆ ว่า "ตลอดชีวิตของเขาไม่ต้องการที่จะเป็นลูกน้องใครเขาอยากเป็นนนักเลงเหล้าคนเดียวไม่อยยากถูกเรียกว่าเสี่ย"
สำหรับเกียรติแหล่งข่าวบอกว่าแม้จะเป็นคนเอื้อเฟื้ออารีจริงใจ แต่สไตล์การทำงานของเกียรติค่อนข้างที่จะเป็นลูกกรุงมากเกินไป
เกียรติทำงานเป็นระบบขั้นตอนเขาเหมือนเจ้าสัวในร่างของนักบริหารสมัยใหม่
และสิ่งหนึ่งที่เกียรติมีอยู่มาก จนทำให้บางคนไม่พอใจซึ่งสิ่งนั้นยังหลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ
"ความที่ไม่เคยเชื่อมือใครว่าดีไปกว่าตน"
เรื่องนี้คงจะยืนยันได้ว่าจากคำให้สัมภาษณ์ของเกียรติกับนิตยสารฉบับหนึ่งซึ่งเกียรติบอกว่า
"คิดว่าจะรีไทร์เมื่ออายุ 55 แยต่มองดูแล้วไม่รู้ว่าจะรีไทร์ไปไหนรู้สึกไม่สบายใจไม่เชื่อมั่นว่าพวกลูก
ๆ จะไปไหว พวกนี้ยิ่งร้างยิ่งกว่าคอมมูนิสต์…"
"แม้กระทั้งลูกเขาเองยังไม่เชื่อมือ สำมะหาอะไรกับคนอื่นที่จะไปวางใจได้
ข้อด้อยในสายตาของคนทั่วไปที่มองเกียรติประเด็นนี้เขาไม่อาจสลัดมันไปไดั้จริง
ๆ กับกรณีที่ร่วมงานกับหลีจี้เต๋าก็เช่นกัน ถ้าคนทั้งคู่ไม่แข็ง อ่อนให้แก่กันบ้างบางทีสภาพของประมวลผลในวันนี้อาจเป็นยักษ์ก็เป็นได้
ที่แม่โขงต้องเกลงกลัวจริง ๆ แล้วก็เป็นได้ " แหล่งข่าวกล่าว
บุญช่วย เวชพานิช มือขวาของหลีจี้เต๋าที่ปัจจุบันกลายมาเป็นประธาน ประมวลผล
จำกัด ก็กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า "เรื่องของคนทั้งสองนั้นมันเป็นเรื่องส่วนตัว
อย่าให้ผมพูดดีกว่า "
แต่ความเป็นจริงแท้ที่สุดคือ คนในตระกูลบุณยศรีสวัสดิ์เองไม่ได้พูดถึงตระกูลวัธนเวคินเท่าใดนัก
ทั้ง ๆ ที่คืนก่อนการก่อเกิดปรีะมวลผลที่ยืนมาถึงทุกวันนี้ก็เกิดขึ้นมาจากความรัก
ความเข้าใจของบรรพรุษ ทั้งสองตระกูลนั้นเอง !
อาคารเกียรตินาคินในตรอกกัปตันบุชชะโงกง้ำเหลือ ลำน้ำเจ้าพระยาที่ทอดตัวคดเคี้ยว
เลี้ยวหายไปจากสายตานั้นคือที่ซุกซ่อนกองบัฐชาการใหญ่ของธุรกิจที่เกียรติมีอยู่
แต่ภายในอาคารใหญ่เกียรติกับหมกตัวเองอยู่ในห้องทำงานที่ไม่อัครฐานนักมีเพียงโต็ะทำงานตัวเล็ก
ๆ ชุดหนึ่ง เก้าอี้สำหรับเอนหลังตัวเล็ก ๆ อีกตัว ด้านหน้าถัดออกมามีโต๊ะยาวตัวหนึ่งที่น่าจะเป็นโต๊ะกินข้าวมากกว่าโต๊ะรับแขก
ผนังห้องประดับด้วยภาพวาดจีนด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งประดับด้วยภาพแกะไม้
รูปมังกรคะนอง ซึ่งสิ่งนี้ดูจะมีราคาค่างวดมากกว่าในความรู้สึกของเกียรติ
เพราะนั้นเป็นรูปธรรมที่ชี้ให้เห็นความเป็นเกียรติที่คะนองฟ้าจนกว่าใครจะหยุดยั้งไว้ได้…
ทว่าก็มีโอกาสบ่อยครั้งที่คนใกล้ชิดเขาบอกว่า เกียรติอดไม่ได้ที่จะย้อนนึกไปถึงในอดีตที่เคยเป็นพ่อค้าเหล้า
หลายบทหลายตอนที่นำความรุ้งโรจน์มาให้แก่ชีวิต แน่นอนหละต้องมาสักครั้งที่เขาจะต้องนึกถึงประมวลผลเมื่อวันวานที่ผ่านมา
และใครเคยจะรู้ว่า เกียรติอาจตั้งคำถามกับตัวเองก็ได้ว่า ถ้าเขาปล่อยให้ตีนชี้ฟ้าแล้วจึงจะรีไทร์ตามคำหมอดู
อดทนอดกั้นกับความยอกย้อนบางประการกับธุรกิจนี้ไม่เหนื่อยหน่ายถึงกับขั้นลงมือเพราะทนเหลี่ยมดูไม่ได้
บางทีประมวลผลในวันนี้อาจจะเป็นบิ๊กส์ยิ่งกว่านี้ก็เป็นได้…?