ประธานใหญ่ ฟอร์ด มอเตอร์ ประกาศลงทุนในไทยเพิ่ม 2.1 หมื่นล้านบาท หลังเข้ารายงานแผนการลงทุนกับนายกรัฐมนตรี
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อรองรับแผนการขยายการผลิต และพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ พร้อมกับจัดตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคขึ้นในกรุงเทพฯ ทำให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นอีก 1.5 พันคน ส่งผลให้ไทยเป็นศูนย์กลาง ของฟอร์ดในภูมิภาคอาเซียน
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลัง นายวิลเลี่ยม เคลย์ ฟอร์ด
ประธานบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ สหรัฐอเมริกา เข้าเยี่ยมคารวะและชี้แจงแผนการลงทุนเพิ่มในไทยว่า
ประธานฟอร์ดและคณะผู้บริหารได้เข้าพบเพื่อรายงานการดำเนินธุรกิจ และแจ้งเรื่องการขยายการลงทุนของฟอร์ดในไทยเพิ่ม
เป็นจำนวนเงิน 2.1 หมื่นล้านบาท
"นอกจากรับฟังเรื่องการขยาย ลงทุนแล้ว ทางรัฐบาลไทยได้เรียกร้องให้ฟอร์ด
พิจารณาใช้ไทยเป็นฐานในการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งเป็นศูนย์กลาง การผลิตหลักของบริษัทในภูมิภาค
ซึ่งรัฐบาลไทยมีนโยบายในการสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศทุกๆ ราย และไทยก็ขอบคุณฟอร์ดที่ให้การสนับสนุนยานพาหนะเพื่อรักษาความปลอดภัยแก่ขบวนรถผู้นำและสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการประชุมเอเปก"
นายวิลเลี่ยม เคลย์ ฟอร์ด ประธานบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟอร์ด มอเตอร์
คอมปานี สหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ฟอร์ดเตรียมทุ่มงบลงทุนในไทยเพิ่มอีก 2.1 หมื่นล้านบาท
(ประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพื่อขยายการลงทุนในโรงงานประกอบรถยนต์ คือบริษัท
ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือเอเอที ผลิตรถยี่ห้อฟอร์ด และมาสด้า ในช่วงเวลา
3 ปีข้างหน้า สำหรับพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ๆ และเพิ่มศักยภาพการผลิตของโรงาน
"ประเทศไทยเป็นตลาดที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และฟอร์ดประสบความสำเร็จอย่างสูง
ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนโยบายเปิดเสรีและส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาลไทย รวมถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจภายใต้การนำของรัฐบาล
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยศักยภาพของไทยมีความโดดเด่น ทั้งในด้านตลาดรถยนต์ภายในประเทศที่มีขนาดใหญ่
และเป็นตลาดรถปิกอัพนอกสหรัฐอเมริกาที่ใหญ่ที่สุด รวมถึงศูนย์กลางของการส่งออกในภูมิภาคนี้"
โดยการขยายการลงทุนในประเทศไทยครั้งนี้ เพื่อรองรับการดำเนินงานตามแผนขยายการเติบโตผ่านโครงการใหม่ๆ
ด้านยนตรกรรม ซึ่งจะลงทุนปรับปรุงและพัฒนาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ พร้อมทั้งจัดหาเครื่องมือทางช่างและวิศวกรรม
และพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ๆ สู่ตลาด ตลอดจนขยายศักยภาพการผลิตของโรงงานจาก 1.35 แสนคัน
ในปัจจุบันเป็น 2 แสนคัน ทั้งรถยนต์สำเร็จรูปและชิ้นส่วนยานยนต์
นายฟอร์ดกล่าวว่า สำหรับที่ผ่านมาฟอร์ดอาจ จะเคยพูดว่า ตลาดในภูมิภาคนี้ยังไม่มีศักยภาพพอ
แต่ปัจจุบันตลาดนี้มีอัตราการเติบโตอย่างมาก ดังนั้นฟอร์ดซึ่งมีนโยบายที่จะมีส่วนร่วมในตลาดที่มีอัตราการเติบโต
จึงได้พร้อมที่จะลงทุนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ทั้งในปัจจุบันและอนาคตที่เพิ่มเติมเข้ามาอีก
"ส่วนหนึ่งของเงินลงทุนดังกล่าว ยังจะนำมาใช้ในการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคขึ้นในกรุงเทพฯ
ซึ่งสำนักงานใหญ่แห่งนี้จะสนับสนุนการดำเนินงาน รวมทั้งผลักดันกลยุทธ์การเติบโตของ
ฟอร์ดในเอเชียด้วย และผลจากการลงทุนจะทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น ในส่วนของโรงงานเอเอทีประมาณ
1,000 ตำแหน่ง และที่สำนักงานใหญ่ประมาณ 50-60 คน และเช่นเดียวกับที่ประเทศฟิลิปปินส์
ฟอร์ดก็จะมีการลงทุนเพิ่มเติมเหมือนไทยอีกแห่งในภูมิภาคนี้"
นายฟอร์ดกล่าวว่า ส่วนตลาดจีนกำลังมีการศึกษาอยู่ แต่ยังไม่มีการตัดสินใจว่าจะเข้าไปลงทุนหรือไม่
และหากเข้าไปลงทุนก็ไม่ได้หมายความว่า ฟอร์ดจะยกเลิกการลงทุนในไทย และหันไปลงทุนในจีนแทน
โดยไทยก็ยังจะเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคนี้ต่อไป ซึ่งอย่างที่กล่าวไว้ฟอร์ดมีนโยบายที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในทุกตลาดที่มีการเติบโต
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่า เฉพาะตลาดจีน หรืออินเดีย ที่มีอัตราการเติบโตอย่างสูง
แต่ตลาดในภูมิภาคอาเซียนก็มีการเติบโตอย่างมาก โดยจากข้อมูลทางอุตสาหกรรมชี้ให้เห็นว่า
การเติบโตโดยรวมทั่วโลกระหว่างปี 2547-2553 ส่วนใหญ่จะอยู่ในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศอาเซียน
จีน และอินเดีย ทั้งนี้ตลาดอาเซียนโดยรวมคาดว่า จะมียอดขายรถยนต์ถึง 1.6 ล้านคัน
ในปี 2548 และ 2.3 ล้านคัน ภายในปี 2553 เพราะฉะนั้นฟอร์ดจึงได้ประกาศลงทุนในไทย
และฟิลิปปินส์เพิ่มเติมใน ครั้งนี้
ส่วนการที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเอเปก นายฟอร์ดกล่าวว่า ไทยมีศักยภาพพอในการจัดงานระดับนานาชาติ
และเชื่อว่าการจัดงานจะประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี ซึ่งผลของการประชุมจะทำ ให้เกิดการค้าที่เท่าเทียมกัน
และจะทำให้เกิดผลดีต่อประเทศสมาชิกโดยเฉพาะไทย