การป้องกันไม่ให้ถูก TAKE OVER กับเรื่องปั่นหุ้นที่อาจจะต้องกลับมาอีก
ปัญหาในตลาดหลักทรัพย์ที่กรรมการและผู้จัดการคนใหม่จะต้องเจอในระยะใกล้ๆ
นี้ (ดร.มารวย ผดุงสิทธิ์ รับตำแหน่งวันที่ 1 กันยายน 2528) มีอยู่หลายประการด้วยกัน
อย่างแรกก็คือ การปรับตัวของตลาดต่อภาวะใหม่
เหตุที่ต้องปรับตัวก็เนื่องมาจากตลาดหลักทรัพย์ของเราในระยะ 2 ปีที่ผ่านมา
ได้รับความสนใจจากนักลงทุนจากต่างประเทศอย่างมาก และพวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่มีความรู้เคยซื้อขายหลักทรัพย์ในต่างประเทศมาแล้วทั้งนั้น
คือเป็นประเภท FUND MANAGEMENT ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องการปรับตัวเปลี่ยนแปลงกฎข้อบังคับต่าง
ๆ ที่ไม่สอดคล้องกับภาวะที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อเตรียมรองรับสถานการณ์เช่นนั้น
อย่างหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่าอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเช่นนักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นในบริษัทใดบริษัทหนึ่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ในระดับราคาหนึ่ง (ซื้อในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดจำนวนมาก) อาจจะทำให้บริษัทนั้นเกรงว่าตนเองกำลังจะถูก
TAKE OVER เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตลาดหลักทรัพย์หรือผู้จัดการคนใหม่ต้องป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น
ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าการ TAKE OVER จะทำไม่ได้ หรือรวมกระทั่ง
MERGER หรือรวมบริษัทเข้าด้วยกันเพียงแต่ตลาดหลักทรัพย์เองต้องมีการออกกฎเกณฑ์มาให้ชัด
อีกเรื่องหนึ่งที่คิดว่าผู้จัดการคนใหม่อาจเจอปัญหาเรื่องการปั่นหุ้น
ก่อนหน้านี้เราบอกได้ว่าตลาดหลักทรัพย์ค่อยๆ ดีขึ้นความสนใจของคนยังมีไม่มากนัก
คนที่เข้ามาลงทุนส่วนใหญ่ได้แก่บรรดาสถาบันการเงินและราคาหุ้นต่างๆ ก็อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับความเป็นจริง
แต่เมื่อมีนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาจะเป็นตัวผลักความสนใจของคนในบ้านเราได้เกิดความตื่นตัวขึ้น
ก็เป็นไปได้ที่จะมีการคิด “ทำราคาหุ้น” (ปั่นหุ้น) อะไรต่างๆ
จะกลับเข้ามาใหม่อีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม กฎข้อบังคับที่เรามีอยู่ทุกวันนี้ก็เพียงพอสำหรับป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น
เพียงแต่เราจะใช้อย่างเข้มงวดแค่ไหน มาตรการการป้องกันการลงโทษมีอยู่แล้วถ้าเราตีความในลักษณะที่เข้มงวดมากขึ้น
แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องง่าย เพราะถ้าเข้มงวดเกินไปอาจจะส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ซบเซาก็ได้
และถ้าไม่เข้มงวดก็อาจจะทำให้มีการปั่นหุ้น
เท่าที่ผู้เขียนดูอยู่ขณะนี้ไม่อยากเรียกว่าการปั่นหุ้นได้เกิดขึ้นแล้ว
แต่ก็มีราคาหุ้นบางตัวเหมือนกันที่สูงขึ้นในลักษณะที่ดูแล้วไม่สมเหตุสมผลเท่าไร
ในช่วงแรกอาจจะเป็นไปได้ที่นักลงทุนต่างชาติจะสนใจเฉพาะหุ้นลงทุน แต่ระยะต่อไปผู้เขียนไม่เชื่อว่าเขาจะจำกัดอยู่แค่นั้น
เขาคงแผ่การลงทุนไปในหุ้นประเภทอื่น และหุ้นลงทุนเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีการปั่น
ผู้ลงทุนอาจจะมาปั่นราคาที่หุ้นลงทุนก็ได้
มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เชื่อว่าแม้จะมีการพยายามทำราคา ภาวะในตลาดหลักทรัพย์ก็คงไม่มีทางมีสภาพเหมือนปี
2521-2522 ที่ตลาดบูมมาก และหุ้นมีระดับราคาที่ไม่มีเหตุมีผลเอาเสียเลย
เหตุที่เป็นเช่นนั้นสาเหตุประการสำคัญก็คือการควบคุมเรื่อง MARGIN หละหลวมมาก
ผู้เขียนจำได้ว่าตอนนั้นการซื้อหุ้นบางครั้งไม่ต้องวางเงิน MARGIN เสียด้วยซ้ำ
สภาพที่เป็นอย่างนั้นตอนนี้คงไม่เกิดเพราะการควบคุม MARGIN ของเราดีขึ้นมาก
รวมทั้งฝ่ายโบรกเกอร์เองก็คงยังเข็ดเหมือนกัน หากมีการสั่งซื้อหุ้นจำนวนมากๆ
ในระดับราคาที่ไม่สมเหตุสมผล เขาก็ต้องเกิดความกลัวและมีการเรียก MARGIN
เพิ่มขึ้นแน่ๆ
สำหรับนักลงทุนจากต่างประเทศในขณะนี้ที่อยู่ในรูปของกองทุนเพื่อการลงทุนอย่าง
BANGKOK FUND ยังไม่มีแต่กำลังจะมีในอนาคตอันใกล้นี้ เชื่อว่ากองทุนอย่างที่ว่านี้มีอย่างมากก็ไม่เกิน
3 กองทุน ซึ่งก็อย่าคิดว่าไม่มาก เพราะหากเขาเข้ามาลงทุนในตลาดของเราทีเดียวหมดตลาดหลักทรัพย์ของเราก็รับไม่ไหว
จริงอยู่ตลาดหลักทรัพย์ของเราอยากจะให้ทุนจากต่างชาติเข้ามาเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องเร่งให้เกิดขึ้นก็คือจำนวนหลักทรัพย์ที่มีอยู่
ให้เพิ่มในอัตราที่สูงกว่านี้ เพราะยังเพิ่มในลักษณะที่เป็นอยู่ปีสองปีที่ผ่านมา
ก็น่าคิดว่ามันจะเกิดปัญหาคือจำนวนหุ้นของเรามันจะไม่พบกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
และเมื่อนั้นนักลงทุนจากต่างประเทศอาจจะไม่ให้ความสนใจตลาดหุ้นของเรา หรือสนใจก็อาจจะกลายเป็นการปั่นหุ้นเพราะจะลงทุนเฉพาะในหุ้นที่มีอยู่อย่างจำกัด
ดังนั้นในอนาคตอันใกล้เราจึงต้องเร่งหาจำนวนหุ้นให้เพิ่มขึ้น (เพิ่มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์)
และจะต้องเน้นเรื่องคุณภาพของหุ้นตลอดจนเพิ่มประเภทของหุ้นให้มีมากขึ้น เช่น
การส่งเสริมให้มีหุ้นกู้หรือพันธบัตรลงทุนของเอกชนให้มากขึ้นด้วย
จะอย่างไรก็ตาม ผู้เขียนคิดว่าเราควรสนับสนุนให้ทุนจากต่างประเทศให้เข้ามา
เพราะตลาดหุ้นของเราหากจะรอให้โตขึ้นมาด้วยตัวของมันเองคงต้องใช้เวลาอีกมาก
เพราะคนยังกลัว ยังเข็ด ดังนั้นถ้าหากมีแรงกระตุ้นจากภายนอกเข้ามาจะทำให้ความสนใจของคนสูงขึ้น
ขอให้จังหวะที่เขาเข้ามาเป็นจังหวะที่เหมาะสม ไม่ใช่อยู่ๆ แห่เข้ามาแล้วจากนั้นก็หายเงียบไปเลยก็แย่
สำหรับแนวโน้มของราคาหุ้นพูดจริงๆ แล้วทั้งปีมันดีแน่ แต่เผอิญว่าครึ่งปีแรกมันดีขึ้นมามากแล้ว
ดังนั้นใน 5 เดือนหลังก่อนจะสิ้นปีผู้เขียนยังสงสัยอยู่ เพราะมีปัจจัยอยู่
2 ประการคือ เรื่องอัตราดอกเบี้ย และการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
เมื่อมองเฉพาะตัวดอกเบี้ยก็น่าจะเป็นตัวที่ช่วยตลาดได้มาก เพราะอยู่ในอัตราที่ต่ำ
แต่ก็น่าสงสัยว่า คนที่จะมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์อาจจะให้ความสนใจกับเศรษฐกิจโดยส่วนรวมมากกว่า
หากเป็นไปอย่างที่สงสัยก็คิดว่าตลาดหลักทรัพย์ในครึ่งปีหลังไม่ดีเท่าไรนัก
และเมื่อมองในแง่ของเศรษฐกิจโดยส่วนรวมแล้วคิดว่าผลกำไรทั้งปีของหุ้นจดทะเบียนในตลาดเฉลี่ยแล้วน่าจะต่ำกว่าปีที่ผ่านมา
และเงินปันผลโดยเฉลี่ยก็อาจจะลดลงเล็กน้อย ทั้งนี้เข้าใจว่าบริษัทต่างๆ คงพยายามที่จะจ่ายเงินปันผลให้เท่าเดิมหรือใกล้เคียง
คือเอาผลกำไรมาจ่ายเป็นเงินปันผลให้มากขึ้น (PAYOUT RATIO) และราคาหุ้นปลายปีคงไม่ต่างกับตอนต้นปีเท่าไรนัก
การคาดการณ์นี้มีข้อยกเว้นอยู่ประการหนึ่ง คือผู้เขียนไม่รู้ว่าการที่ทุนจากต่างชาติจะไหลเข้ามานั้นจะอยู่ในลักษณะอย่างไร
ถ้าเพิ่มขึ้นมากตัวนี้จะเป็นตัวแปรที่สำคัญ คือเขาอาจจะมองว่าอัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนไทยเห็นว่าสู้ปีที่แล้วไม่ได้
แต่สำหรับเขาอาจจะคิดว่ายังน่าสนใจอยู่เมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในตลาดหุ้นประเทศอื่น
และถ้าทุนจากต่างประเทศเข้ามาจริง ราคาหุ้นของเราจะดีขึ้นแน่ และมีปัญหาบางประการที่ต้องระวังเกิดขึ้น
ก็คือสิ่งที่ได้เขียนเตือนเอาไว้ในตอนต้นๆ ของเรื่องนี้