วิชัย มาลีนนท์ และกำเนิดช่อง 3


นิตยสารผู้จัดการ( เมษายน 2528)



กลับสู่หน้าหลัก

วิชัย มาลีนนท์ คือหุ้นส่วนที่ใกล้ชิดของกลุ่มธารวณิชกุล และวิจิตรานนท์ ซึ่งเป็นกลุ่มธนาคารเอเชียทรัสต์

วิชัย มาลีนนท์ ปัจจุบันอายุ 66 ปี เป็นคนที่มีฐานะดีมากถึงขั้นมหาเศรษฐีที่ค่อนข้างจะ LOW PROFILE คนหนึ่ง

วิชัยเมื่อหนุ่มๆ ขับรถบรรทุกและคุมคิวรถอยู่แถวหัวลำโพง

วิชัยมาเริ่มร่ำรวยจริงๆ ก็เป็นยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยได้เป็นเอเย่นต์ลอตเตอรี่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

หลังจากนั้นวิชัยก็หันมาจับงานด้านก่อสร้าง

จากวงการค้า วิชัยได้รู้จักกับจอห์นนี่ มา และพวกวิจิตรานนท์ จึงชวนกันมาลงทุนทำกิจการโทรทัศน์ช่อง 3

กำเนิดช่อง 3

เหมือนกับการกำเนิดของทุกๆ อย่าง ที่ต้องมีเจ้าของโครงการและมีนายทุน แล้วก็ใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อวิ่งเต้นให้ได้มาซึ่งสิทธิ์นั้น

เจ้าของโครงการต้นคิดโครงการช่อง 3 จริงๆ นั้นเป็นคนไทยเชื้อสายแขก ชื่อ มนูญศิริ ขัตติยะอารี ซึ่งปัจจุบันอายุ 59 ปี และเป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัทบางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด

มนูญศิริเป็นคนร่างโครงการแล้วนำโครงการมาเสนอขายให้กับวิชัย มาลีนนท์ บริษัทบางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ก็เกิดขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท แบ่งเป็นหนึ่งหมื่นหุ้น เมื่อปลายปี 2510 ในยุคของจอมพลถนอมและประพาสครองเมือง

ในขั้นต้นนั้นกลุ่มธารวณิชกุล และวิจิตรานนท์ยังไม่ได้เข้ามาร่วม ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ก็มี วิชัย มาลีนนท์ ถืออยู่ 40% จิตต์ แพร่พานิช เจ้าของร้านแพร่พิทยาที่วังบูรพา ถืออยู่ 45% ส่วนมนูญศิริ ขัตติยะอารี เจ้าของโครงการถืออยู่ 2.5%

ในการที่จะวิ่งเต้นนั้นต้องใช้อำนาจทางการเมืองช่วย ซึ่งเป็นสัจธรรมในการทำธุรกิจยุคเผด็จการครองเมือง ก็เผอิญกลุ่มจอห์นนี่ มา และวิจิตรานนท์ มีเพื่อนสนิทที่เข้านอกออกในกับกลุ่มของจอมพลถนอมได้ดีอยู่ สองคน คือ พลโท ม.ร.ว.ลาภ หัสดินทร อดีตผู้อำนวยการโรงงานยาสูบ และพลโทประชุม ประสิทธิ์สรจักร์ ซึ่งทั้งสองเป็นตัวจักรในการวิ่งใบอนุญาตมา

และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเข้ามาร่วมระหว่างตระกูลมาลีนนท์กับกลุ่มเอเชียทรัสต์

ส่วนทางกลุ่มจิตต์ แพร่พานิช ก็ถูกซื้อออกไปเมื่อมีการเพิ่มทุนจากหนึ่งล้านบาทเป็น 12 ล้านบาทเพียง 1 ปีหลังจากตั้งบริษัท ฯ

การบริหารช่อง 3

ในการบริหารช่อง 3 นั้น วิชัย มาลีนนท์ ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้จัดการ โดยคุณหญิงลลิลทิพย์ ธารวณิชกุล เป็นประธานกรรมการ

ในการดำเนินงานช่วง 4-5 ปีแรก นั้นเป็นภาวการณ์ที่ต้องอดทน เพราะการลงทุนตั้งสถานีโทรทัศน์นั้นต้องใช้เงินทุนระยะแรกสูง ซึ่งก็ถูกตั้งไว้เป็นรายจ่ายคงค้างที่ต้องทยอยจ่ายไป ค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งก็คงจะเป็นเงินใต้โต๊ะที่ต้องจ่ายให้ผู้เกี่ยวข้องในการที่จะได้ใบอนุญาตมาด้วย

ในต้นปี 2514 นั้น วิชัย มาลีนนท์ถึงกับมีดำริว่าอยากจะลาออกจากตำแหน่ง เพราะเหน็ดเหนื่อยกับปัญหานานาชนิดทำให้บริษัทไม่กำไร

"คุณวิชัยแกเห็นว่าแกชักชวนพวกเอเชียทรัสต์มาลงทุนแล้วต้องขาดทุนก็เสียใจอยากลาออก แต่คุณหญิงลลิลทิพย์แกขอให้อยู่ต่อ และยังบอกว่าการลงทุนในกิจการโทรทัศน์นั้นเหมือนอุตสาหกรรมใหญ่ๆ อันหนึ่ง จะหวังผลกำไรปีแรกๆ ไม่ได้ คุณหญิงชมคุณวิชัยว่า มาได้ขนาดนี้ก็นับว่าเก่งแล้ว" แหล่งข่าวที่อยู่ช่อง 3 มาตั้งแต่เดิมเล่าให้ "ผู้จัดการ " ฟัง

ช่อง 3 เริ่มจะมีกำไร และฟื้นทุนได้นับตั้งแต่ปี 2527 เป็นต้นไป หลังจากเริ่มมาได้ 5 ปี

"ในการบริหารงานช่อง 3 นั้น เอเชียทรัสต์เขาปล่อยให้กลุ่มมาลีนนท์บริหารตลอดอย่างเต็มที่ เขามีคุณนิรันดร์ วิจิตรานนท์ เท่านั้น เข้ามาเป็นกรรมการรองผู้จัดการ เพื่อเป็นตัวแทนดูแลผลประโยชน์ของเอเชียทรัสต์

ความสนิทสนมของ 2 กลุ่มนี้จึงมีมาแต่ดั้งเดิม เป็นความใกล้ชิดที่ต่างฝ่ายต่างก็เกรงใจกันอย่างมากๆ

จะอย่างไรก็ตามถึงช่อง 3 จะได้กำไรขนาดไหนก็ตาม แต่ยุคสมัยของการทำงานกันอย่างง่ายๆ สบายๆ ก็คงจะหมดลงแล้ว

ช่อง 3 ยังเหลือสัญญาอีกประมาณ 6 ปีถึงจะหมด และเมื่อถึงวันนั้น การต่อสัญญาครั้งใหม่นี้ ก็คงจะไม่ง่ายเหมือนครั้งที่แล้วมาในสมัยที่ดุสิต ศิริสุวรรณ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ

และสำคัญที่สุดก็ตรงที่ เมื่อมาถึงวันนี้แล้ว หุ้นส่วนใหญ่ด้านธารวณิชกุลและวิจิตรานนท์ก็คงจะไม่มีธนาคารเอเชียทรัสต์ที่จะเอาไปให้ความอบอุ่นกับมาลีนนท์ในการเป็นฐานการประมูลอีกต่อไป



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.