สมาคมโฆษณาฯแก้เผ็ดเจ้าของสินค้าขโมยไอเดีย ดีเดย์เก็บค่าพิตชิงฟี ต้นปี 2547
จำนวน 50,000-100,000 บาท ต่อการ เสนองานแต่ละครั้ง หลังเอเยนซี่ยอมอ่อนข้อมานาน
"ไลอ้อน" ชี้เปิดช่อง เอเยนซี่ระดับเล็กแหกคอกไม่เรียกค่าพิตชิงฟีหวังฮุบงานโฆษณา
เจ้า ของสินค้าระบุข้อกำหนดยังไม่เคลียร์ เผยต้นทุนทำโฆษณาพุ่งแน่
ปัญหาระหว่างเจ้าของสินค้ากับเอเยนซี่เกี่ยวกับการเรียกเสนองานเพื่อรับงานโฆษณานั้น
ยังคงเป็นปัญหาคาราคาซังมาตลอด โดย เฉพาะอย่างยิ่งทางฟากของเจ้าของสินค้าที่ไม่ต้องการจ่ายเงินค่าเสนองานของเอเยนซี่เพราะว่า
เป็นเพียง การเสนอเท่านั้นยังไม่ได้รับไอเดียนั้น ขณะที่เอเยนซี่ก็อ้างว่า เป็นการ
ขายไอเดียซึ่งต้องมีต้นทุนในการคิด ออกมา แม้ว่าเจ้าของสินค้ายังไม่รับงานนั้นก็ตาม
สุดท้ายจึงเป็นที่มาของการกล่าวหาเจ้าของสินค้าว่า มักจะแอบเอาไอเดียงานของ ครีเอทีฟไปประยุกต์ใช้ตอนหลัง
นายปารเมศร์ รัชไชยบุญ นายกสมาคมโฆษณาธุรกิจแห่งประเทศไทย เปิดเผย"ผู้จัดการรายวัน"ว่า
ในช่วง 1-2 ปีก่อน ผู้ประกอบการเอเยนซี่ในประเทศไทยได้พิจารณานำแนวคิดการเรียก
เก็บค่าใช้จ่ายการนำเสนองานโฆษณาให้ลูกค้า หรือ Pitching Fee เพื่อแก้ไขปัญหาลูกค้าเรียกเอเยนซี่แข่งนำเสนอผลงานโฆษณา
หลายรายโดยไม่จำเป็น โดยมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อต้องการดูแนวคิด ของแต่ละเอเยนซี่
ในขณะที่เอเยนซี่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
ทั้งนี้ จากการประชุมเอเยนซี่ในประเทศไทยครั้งล่าสุด ได้หยิบ ยกประเด็นการเรียกเก็บค่าพิตชิงฟี
กับลูกค้ามาเจรจากันอีกครั้ง ซึ่งทุก เอเยนซี่เสนอให้สมาคมฯดำเนิน การเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม
โดย ที่ประชุมมีมติออกมาว่า สมควรที่จะนำระบบพิตชิงฟีกลับมาใช้อย่าง เป็นรูปธรรมอีกครั้ง
และจะเรียกเก็บค่าพิตชิงฟีในเดือนม.ค.2547 แน่นอนโดยจะเรียกเก็บเป็น 2 ประเภท คือ
เอเยนซี่เล็กจะเรียกเก็บครั้งละ 50,000 บาท รายใหญ่ครั้งละ 1 แสนบาท โดยเจ้าของสินค้าจะต้องจ่ายพิตชิงฟี
นายชัยประนิน วิสุทธิผล กรรมการผู้จัดการ บริษัททีบีดับบลิวเอ ไทยแลนด์ จำกัด
เปิดเผยว่า แนวคิดการเรียกเก็บค่าพิตชิง จะทำให้ลูกค้าไตร่ ตรองก่อนว่าจะเรียกเอเยนซี่เข้ามาเสนองานกี่ราย
ตามความเหมาะของงบประมาณสินค้าที่กำหนดไว้ ที่ผ่านมาพบว่ามักจะเรียกเอเยนซี่เข้ามาพิตช์งานจำนวนมาก
โดยจำนวนที่มากเกินไป คือ 5-8 ราย ทั้งที่ควรจะเรียกเข้ามาพิตช์ 2-3 รายเท่านั้น
การนำเสนองานแต่ละครั้งเอเยนซี่จะเสียค่าใช้จ่ายเพื่อเตรียมงาน 1 แสนบาทขึ้นปี
บางงานที่มีขนาดใหญ่อาจจะถึง 4-5 แสนบาท
นอกจากนี้ยังพบพฤติกรรมลูกค้าที่เรียกพิตช์งาน และเลือกเอเยนซี่ที่ได้รับงานแล้วไม่ใช้จ่ายเงินตามที่กำหนดไว้
ซึ่งพฤติกรรมลักษณะนี้ คงต้องการดูแนวคิดของเอเยนซี่ต่างๆ ที่เข้ามาแข่งขัน แม้จะเลือกเอเยนซี่ที่จะมีการแข่งขัน
แต่ ไม่ได้ใช้งานตามแผนงานที่เสนอไว้ เพื่อต้องการ เสียค่าจ้างให้เอเยนซี่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การเรียกเก็บพิตชิงฟี จะเป็น การกำหนดขอบข่ายการทำงานของลูกค้าและ
เอเยนซี่ระดับหนึ่ง โดยลูกค้ารายเล็กก็อาจเรียกเอเยนซี่ที่ลงทะเบียนว่าเป็นเอเยนซี่ขนาดเล็ก
เพื่อเสียพิตชิงฟีในราคาที่ไม่แพงมาก ซึ่งจะทำ ให้ลูกค้าและเอเยนซี่ทุกระดับสามารถอยู่รอดในตลาดได้
ชี้จ่ายพิตชิงยังคลุมเครือ
แหล่งข่าวจากวงการค้าปลีก กล่าวว่า ในฐานะเจ้าของสินค้าและบริการอาจจะต้องเจอปัญหาของการเรียกเก็บค่าพิตชิงฟี
เนื่องจากว่า จะทำให้ต้นทุนบานปลายและเพิ่มขึ้น เมื่อต้องเรียกเอเยนซี่มาเสนองานนั้น
ในแต่ละครั้ง ซึ่งบางครั้ง อาจจะไม่ได้ไอเดียหรือการนำเสนองาน ที่ถูกใจจากเอเยนซี่ได้
ซึ่งทำให้เสียเงินเปล่า เพราะตรงนี้ไม่มีอะไรมาเป็นมาตรฐานบังคับว่า ทุกครั้งที่เอเยนซี่เสนองานหรือคอนเซ็ปต์เข้ามาจะใช้ได้หรือตรงกับความต้องการของเจ้าของสินค้าทุกครั้งไป
ขณะเดียวกัน ทางสมาคมฯจะต้องมีมาตรการหรือข้อบังคับอะไรก็ตามที่ชัดเจนในการ ควบคุมดูแลสมาชิกของสมาคมฯด้วย
ในแง่ของการนำเสนองานที่จะเข้าพิตชิงให้กับลูกค้า และในแง่ของค่าใช้จ่ายที่มีการแยกออกเป็น
2 ประเด็นคือ รายเล็ก 50,000 บาท และรายใหญ่ 100,000 บาท ซึ่งเมื่อเสนอครั้งแรกเจ้าของสินค้า
ต้องจ่ายให้เอเยนซี่ทุกราย แต่ยังไม่ชัดเจนว่าเมื่อเอเยนซี่ที่ผ่านการเสนองานเข้ารอบสองเมื่อมาเสนองานอีกแล้วทางเจ้าของสินค้าจะต้องจ่ายค่าพิตชิงฟีให้อีกหรือไม่
ตรงนี้ยังไม่ชัดเจน
"เมื่อมีการเรียกเก็บค่าเสนองาน แน่นอนว่าทำให้เจ้าของสินค้ามีต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น
ตรงนี้อาจจะส่งผลกระทบกับผู้บริโภคในทางอ้อมก็ได้ เมื่อเจ้าของสินค้าและบริการจะผลักภาระมาสู่ผู้บริโภคด้วยการเพิ่มราคาสินค้า"
เปิดช่องให้บริษัทเอเยนซี่ใหม่
นายบุญฤทธิ์ มหามนตรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย
"ผู้จัดการรายวัน" ว่า กรณีสมาคมโฆษณาธุรกิจแห่งประเทศไทย จะรื้อระบบโดยการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการพิตช์งานกับกลุ่มผู้ประกอบการนั้น
สำหรับบริษัทไลอ้อนในฐานะที่ดำเนินธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค มีความคิดเห็นว่า หากเรียก
เก็บค่าพิตช์จริง เชื่อว่าจะเกิดการแบ่งแยกกันอย่างเห็นได้ชัดเจน ได้แก่ บริษัทเอเยนซี่รายเก่า
หรือบริษัทที่มีชื่อเสียง และบริษัทเอเยนซี่รายใหม่ที่จะเข้ามาดำเนินธุรกิจ
ในกรณีดังกล่าวนี้ อาจเป็นการเปิดช่องว่าง ให้บริษัทเอเยนซี่รายใหม่ที่ไม่เรียกเก็บค่าพิตช์งานกับกลุ่มผู้ประกอบการมีโอกาสได้รับงานนั้นๆ
มากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการลดช่องว่างทางการแข่งขันระหว่างเอเยนซี่รายใหม่กับบริษัทเอเยนซี่รายใหญ่ที่มีชื่อเสียง
"หากบริษัทเอเยนซี่เรียกเก็บค่าพิทช์งานจริง ในแง่ของความรู้สึกคงจะแย่เหมือนกัน
เนื่อง จากบริษัทจะต้องเสียค่าใช้จ่ายทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ซึ่งในส่วนหนึ่งก็เห็นใจที่ว่ากลุ่มบริษัทเอเยนซี่จะต้องพัฒนาสตอรี่บอร์ด
หรือพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่หากเก็บค่าพิตช์งานจริงเราก็คงจะต้องยอมจ่าย"
แรงเยอร์ชี้ค่าพิตช์งานสูงเกิน
นางขวัญตา เวศย์วรุตม์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แชมป์ไทยเครื่องดื่ม จำกัด
เปิดเผย "ผู้จัดการรายวัน" ว่า หากบริษัทเอเยนซี่เรียก เก็บค่าพิตช์งาน
ในกรณีที่เป็นบริษัทเอเยนซี่รายเล็กจะเรียกเก็บ 50,000 บาทต่องาน แต่หากเป็นบริษัทเอเยนซี่รายใหญ่จะเรียกเก็บ
100,000 บาทต่องาน ถือว่าเม็ดเงินจำนวน 100,000 บาท เป็นค่าใช้จ่ายที่สูงสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการที่จะต้องจ่ายให้
ซึ่งหากบริษัทจะเปลี่ยนบริษัท เอเยนซี่คงจะต้องตรวจสอบก่อนว่า บริษัท เอเยนซี่รายใดบ้างที่เข้าร่วมกับทางสมาคมโฆษณาธุรกิจแห่งประเทศไทย
เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น
"ปกติการเรียกพิตช์งานหนึ่งครั้ง จะเรียกบริษัทเอเยนซี่ประมาณ 4 ราย ซึ่งหากบริษัทจะเสียค่าใช้จ่ายให้รายละ
100,000 บาท รวมทั้งหมด 400,000 บาท ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก กรณี ดังกล่าวอาจทำให้บริษัทเอเยนซี่ที่ไม่ได้เข้าร่วมกับสมาคมฯได้รับผลประโยชน์และมีโอกาสได้งานมากขึ้น
อย่างไรก็ตามยอมรับว่าการพิตช์งาน ก็เป็นการทำงานในขั้นหนึ่ง และเป็นรูปเป็นร่างเกือบ
60% แล้ว แต่ที่เหลือ 40% จะมีปัญหาในเรื่องของการวางกลยุทธ์ว่าจะตรงกับกลุ่มเป้าหมายและสินค้าได้มากน้อยแค่ไหน"
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาสมาคมโฆษณาธุรกิจแห่งประเทศไทย เคยนำระบบดังกล่าวมาใช้แล้ว
แต่ ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากมีหลายบริษัทไม่เข้าร่วมด้วย ซึ่งการรื้อระบบใหม่ในครั้งนี้
ก็ขึ้นอยู่ที่ว่าทางสมาคมจะสามารถรวบรวมบริษัทเอเยนซี่ได้มากน้อยแค่ไหน ในขณะที่บริษัทที่จะเข้าร่วมนั้น
ก็จะต้องมีความมั่นใจในความสามารถ ในการทำงานของตนเองด้วย