ดีกรีความร้อนแรงของปัญหา “ทะเลตะวันออก” ที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น

โดย เจษฎี ศิริพิพัฒน์
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา( มิถุนายน 2553)



กลับสู่หน้าหลัก

ข้อพิพาทในพื้นที่ทะเลตะวันออกระหว่างจีนกับเวียดนามกำลังได้รับความสนใจจากนานาประเทศ รวมถึงสาธารณชนในเวียดนามเป็นวงกว้าง และดูเหมือนอารมณ์คนเวียดนามเริ่มมีความรุนแรงขึ้นต่อสถานการณ์นี้

เว็บไซต์ของสถานีวิทยุเอเชียเสรี ภาคภาษาเวียดนาม รายงานเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา ว่าเป็นครั้งแรกที่สื่อมวลชนเวียดนามได้รับอนุญาตให้กล่าวหาจีนอย่างหนักในเรื่องที่จีนมีคำสั่งห้ามจับปลาในเขตทะเลพิพาท

โดยตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2553 จีนเริ่มปฏิบัติตามคำสั่งห้ามจับปลาประจำปี ในเขตทะเลตะวันออกที่เวียดนามประกาศ อธิปไตย

“ทะเลตะวันออก” ในความหมายของเวียดนามนั้น ก็คือ “ทะเลจีนใต้” ในความหมายของจีน และนักทำแผนที่ส่วนใหญ่ของโลก

(อ่านเรื่อง “ความหมายและความสำคัญของทะเลตะวันออก” นิตยสารผู้จัดการ 360 ํ ฉบับเดือนตุลาคม 2552 หรือ ใน www.gotomanager.com ประกอบ)

คำสั่งห้ามนี้ใช้สำหรับน่านน้ำตั้งแต่เส้นขนานที่ 12 ทิศเหนือหมู่เกาะเตรื่องซา หรือหมู่เกาะสแปรตลี จนถึงเขตทะเลรอบหมู่เกาะหว่างซา หรือหมู่เกาะพาราเซล จะมีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 1 สิงหาคมปีนี้

การที่จีนห้ามจับปลาทางการค้า “เพื่อป้องกันแหล่งปลา” ถูกเวียดนามประท้วงว่านั่นเป็น “การละเมิดอธิปไตยของเวียดนามที่หมู่เกาะหว่างซาและหมู่เกาะเตรื่องซา ละเมิดอำนาจอธิปไตยและเขตอำนาจศาลของเวียดนามในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ”

แรงกดดันขนาดใหญ่ของจีนกำลังทำให้ประชาชนเวียดนามหวาดวิตกเกี่ยวกับอธิปไตยของประเทศ กำลังเป็นสถานที่ซึ่งยากจะรักษาไว้ได้ภายใต้การแผ่อำนาจของประเทศเพื่อนบ้านทางทิศเหนือ

ชาวประมงเวียดนามไม่มีโอกาสประกอบอาชีพอย่างปลอดภัยเพื่อหาเลี้ยงชีวิต เมื่อจีนออกคำสั่งห้ามจับปลา โดยไม่สนใจกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยอธิปไตยน่านน้ำอาณาเขตของประเทศใดๆ ในเขตที่กำลังมีการพิพาท

สื่อมวลชนเวียดนามวิจารณ์ว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่จีนเมื่อจับกุมเรือและเรียกค่าไถ่ ทำให้หลายคนนึกถึงพวกโจรสลัด Somali

“ปี 2552 มีเรือ 33 ลำและชาวประมง 433 คน และตั้งแต่ต้นปี 2553 ถึงปัจจุบันมีเรือ 3 ลำ และชาวประมงเวียดนามกว่า 40 คน ถูกเรือจีนจับกุมและเรียกค่าไถ่ แม้กระทั่งริบเรือ เครื่องมือ ประมง สัตว์น้ำที่จับได้บนเรือ การกระทำของเจ้าหน้าที่จีนเมื่อจับกุมเรือและเรียกค่าไถ่ ทำให้หลายคนคิดถึงพวกโจรสลัด Somali”

จีนบุกยึดครองทะเลอาณาเขตโดยยุทธวิธีกระจายคราบน้ำมัน ให้เรือประมงทางการปรากฏตัวบนเขตทะเลพิพาทเหมือนเป็นสนามบ้านของตน

เมื่อต้นเดือนเมษายน 2553 จีนได้ส่งเรือประมงทางการหมายเลข 311 และ 202 จากอ่าวตามอ๊า ซึ่งอยู่ในมณฑลไหหลำ มาลาดตระเวนในเขตเตรื่องซา เจ้าหน้าที่จีนกล่าวว่าได้ส่งเรือ 2 ลำนี้ไปด้วยวัตถุประสงค์ลาดตระเวนและคุ้มครองหมู่เกาะเตรื่องซา ที่อยู่ห่างจากเกาะไหหลำของจีน เกือบ 1,200 กิโลเมตร

ปลายเดือนเดียวกัน กรมจัดการประมงจีนกล่าวว่า ได้ส่งเรืออีก 2 ลำมาสับเปลี่ยนกับเรือประมงทางการหมายเลข 311 และ 202 โดยโง ตร๊าง อธิบดีกรมจัดการประมงทะเลตะวันออก สังกัดกระทรวงเกษตรกรรมจีน กล่าวว่า “เรือประมงทางการหมายเลข 301 และ 302 ของจีนจะไปแทนเรือประมงทางการหมายเลข 311 และ 202 ที่กำลังลาดตระเวนในเขตทะเล ในหมู่เกาะนามซา (หรือเตรื่องซา) ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2553 เป็นต้นไป”

เขากล่าวเพิ่มเติมว่า เรือประมงทางการเหล่านี้ ลาดตระเวนด้วยจุดประสงค์ คุ้มครองเรือประมงของจีนในทะเลตะวันออก และส่งเสริมสิทธิจับปลาของจีนที่หมู่เกาะเตรื่องซา

ปฏิบัติการนี้แสดงให้เห็นว่าจีนส่งเรือประมงทางการไปลาดตระเวน ไม่ใช่เพื่อป้องกันการประมงถูกรบกวนโดยเรือของประเทศอื่นในภูมิภาค แต่เรือเหล่านี้ได้ใช้เพื่อมุ่ง “ส่งเสริม” สิทธิจับปลาของจีนในทะเลตะวันออก ซึ่งหมายความว่าเรือต่างๆ ข้างต้น ได้ใช้ด้วยจุดประสงค์สกัดกั้นสิทธิจับปลาของเรือที่ไม่ใช่เป็นของชาติจีน

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม สำนักข่าวต่างๆ รายงานว่ากระทรวงการต่างประเทศ เวียดนามได้ประท้วงอย่างเป็นทางการกับคำสั่งห้ามจับปลาในทะเลตะวันออกของจีน

เหงียน เฟือง งา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม กล่าวว่า “คำสั่งห้ามจับปลาของจีน ละเมิดอธิปไตยของเวียดนามที่หมู่เกาะหว่างซาและหมู่เกาะเตรื่องซา ละเมิดอำนาจอธิปไตยและเขตอำนาจศาลของเวียดนามในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ”

เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว เวียดนามก็กล่าวหาว่าจีนได้ประกาศคำสั่งห้ามในทะเลตะวันออกบางเขตที่จีนเรียกว่า “นามหาย”

ปีนี้ฝ่ายจีนกล่าวว่าคำสั่งมีผลบังคับ ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม ถึง 1 สิงหาคม 2553

เขตเหล่านี้ เวียดนามกล่าวว่าอยู่ในอธิปไตยของพวกเขา

จีนได้ยึดครองหว่างซาเมื่อปี 2517 จากมือของสาธารณรัฐเวียดนาม และให้เรือมาลาดตระเวนที่เตรื่องซา สถานที่ที่พวกเขายึดครองบางเกาะตั้งแต่ปี 2531 อย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี การจับกุมชาวประมงเวียดนามของฝ่ายจีนเกิดขึ้นหลายครั้งที่บริเวณใกล้หว่างซา

หนังสือพิมพ์เวียดนามกล่าวว่าเมื่อเร็วๆ นี้ ชาวประมงจังหวัดกว๋างหงาย 23 คนถูกจีนจับกุม แต่ได้รับการปล่อยตัวกลับมาก่อนการประท้วงของเวียดนาม

เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม เรือลาดตระเวนของจีนได้จับกุมเรือประมงอีก 1 ลำพร้อมลูกเรือเวียดนาม 12 คน แล้วนำพวกเขาไปยังเกาะฟุเลิม และเรียกค่าไถ่ 180 ล้านโด่ง (ประมาณ 360,000 บาท)

หนังสือพิมพ์เวียดนามกล่าวว่า เรือ ประมงของดั่ง ตั๋ม อยู่ที่จังหวัดกว๋างหงาย ถูกจับขณะกำลังจับสัตว์น้ำที่หว่างซา

หนังสือพิมพ์ Vnexpress กล่าวว่า ตั๋มได้โทรศัพท์จากเกาะฟุเลิม ไปยังครอบครัวแจ้งเหตุการณ์ให้ทราบ และขอให้คนที่บ้านเตรียมเงินค่าไถ่จำนวน 70,000 หยวน หรือกว่า 180 ล้านโด่งจ่ายให้จีนจึงจะได้รับการปล่อยตัว

เรือลำนี้เป็นลำที่ 3 ของชาวประมง จังหวัดกว๋างหงาย ที่ถูกจับในรอบ 2 เดือนผ่านมาที่เขตทะเลหว่างซา

สำนักข่าวเยอรมนีกล่าวว่า นับตั้งแต่ต้นปี 2552 ถึงปัจจุบัน เรือลาดตระเวน จีนได้จับกุมเรือประมงของชาวประมงเวียดนามอย่างน้อยที่สุด 36 ลำในเขตทะเลกำลังมีการพิพาท

ก่อนที่สื่อมวลชนเวียดนามจะเริ่มวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ระหว่างจีนกับเวียดนาม บริเวณทะเลตะวันออก โดยการใช้ถ้อยคำรุนแรงนั้น ประชาชนชาวเวียดนาม กำลังตื่นตัวเพื่อรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับข้อพิพาทในพื้นที่ดังกล่าว

โดยนักศึกษามหาวิทยาลัยการค้าต่างประเทศฮานอยนับร้อยคน ได้เข้าฟังปาฐกถาเกี่ยวกับทะเลตะวันออกของผู้เชี่ยวชาญ 2 คนคือ เยือง ยาญ ยี และเหงียน หญา เมื่อบ่ายวันจันทร์ 26 เมษายน 2553

การแสดงปาฐกถาในหัวข้อ “ทะเล-เกาะเวียดนาม โอกาสและการท้าทาย” เริ่ม ต้นด้วยการบรรยายของผู้แสดงปาฐกถา 2 คนดังกล่าว พร้อมกับคำถามหลายข้อจากผู้ฟังที่เป็นนักศึกษา-นักเรียน

ดอกเตอร์ด้านประวัติศาสตร์ เหงียน หญากล่าวว่า เขาได้พูดกับบรรดานักศึกษา เกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่างๆ และพื้นฐานทางนิตินัยเกี่ยวกับอธิปไตยของเวียดนามต่อหมู่เกาะหว่างซาและเตรื่องซา ด้วยเหตุผลที่ว่าคนเวียดนามได้อยู่ที่หมู่เกาะเหล่านี้ตั้งแต่สมัยโบราณ

เยือง ยาญ ยี อดีตกงสุลใหญ่เวียดนามประจำกวางโจว บรรยายเกี่ยวกับความสัมพันธ์เวียดนาม-จีนในปัจจุบัน

หญากล่าวว่า “มีนักศึกษามากมาย ตั้งคำถามหลายข้อ ผมก็มีความรู้สึกนึกคิด เหมือนพวกเขา”

การประชุมสัมมนาและแสดงปาฐกถาเกี่ยวกับทะเลตะวันออก พร้อมกับการพิพาทอธิปไตยในภูมิภาคนี้ กำลังมีการจัดขึ้นมากมายในเวียดนาม และเปิดกว้างตั้งแต่การพูดคุยของวงการการศึกษาไปยังการถกเถียงของประชาชนที่สนใจ โดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษา

ในช่วงหลายปีมานี้ทะเลตะวันออกได้กลายเป็นหัวข้อ “ร้อน” ภายในประเทศ ส่งผลให้มีเยาวชนชุมนุมประท้วงจีนที่นครฮานอยและนครโฮจิมินห์

แต่รัฐบาลเวียดนามไม่อนุญาตให้มีการชุมนุมขนาดใหญ่เช่นนั้น

ด้วยคำสั่งห้ามจับปลาที่กระทรวงเกษตรกรรมจีนเพิ่งจะบังคับใช้ เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ละเมิดอธิปไตยและอำนาจอธิปไตยของเวียดนามอย่างร้ายแรง ไม่สอดคล้องกับความสัมพันธ์มิตรภาพเดิมที่ดีงามระหว่างเวียดนาม-จีน ก่อให้เกิด อันตรายต่อชีวิตทรัพย์สินของชาวประมงเวียดนาม”

เยือง ยาญ ยี นักการทูตรุ่นเก่า เวียดนามให้ความเห็นว่ารัฐทำอะไรบ้าง

เขากล่าวว่า “ถ้ามองย้อนปัญหา ทะเลตะวันออกในช่วงเวลาที่ผ่านมา จากที่เงียบสงบเดี๋ยวนี้ได้ส่งเสียงอย่างเปิดเผย ตัวอย่างวันที่ 26 เมษายน ผมและดอกเตอร์เหงียน หญา ได้พูดคุยกับนักศึกษามหาวิทยาลัยการค้าต่างประเทศกว่า 300 คนเกี่ยวกับปัญหานี้ ดอกเตอร์เหงียน หญา อธิบายประวัติศาสตร์ 12 หน้า ผมอธิบายความสัมพันธ์เวียดนาม-จีนเป็นอย่างไร นักศึกษาฟังอย่างสบายเป็นอิสระและต่อจากนั้นนักศึกษาได้ตั้งคำถามมากมาย”

โครงการหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับการพัฒนาเกาะ-ทะเล ที่ได้ลงนามไปแล้วโดยนายกรัฐมนตรีเหงียน เติ๊น หยุง บวกกับเมื่อ 2-3 เดือนก่อน ฮานอยจองซื้อเรือดำน้ำ ชั้น Kilo 6 ลำ เครื่องบินรบ Sukhoi SU 30 MK2 ของรัสเซีย 12 เครื่อง และล่าสุดคือซื้อเครื่องบิน Otter DHC-6 ของแคนาดา 6 เครื่องเพื่อลาดตระเวน บนทะเล ในเวลาเดียวกันก็เจรจากับอิสราเอลเพื่อซื้อระบบขีปนาวุธ นำวิถีพิสัยใกล้ ที่เรียกว่า EXTRA 1 ชุด นักสังเกตการณ์นานาชาติประเมินว่า เป็นการเคลื่อนไหว ส่งคำพูดกับจีนว่าเวียดนามกำลังปูทางให้สถานการณ์เลวลง

เมื่อได้รับคำถามว่า ประเทศใน ภูมิภาคเช่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน และไทย ได้ร่วมกับสหรัฐฯ ก่อตั้งกลุ่ม “Karat” เหมือนเป็นพันธมิตรทางทหารป้องกันซึ่งกันและกันอย่างมีประสิทธิภาพต่อการคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้นจากจีน เวียดนามควรเข้าร่วม “Karat” เหมือน สมาชิกประเทศหนึ่งหรือไม่? ศาสตราจารย์ฝ่าม กวาง มิญ ผู้อำนวยการคณะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยนานาชาติฮานอย ให้ความเห็นว่า

“ผมเห็นว่าเวียดนามยังคงปฏิบัติตามคำมั่นของตนต่อ ASEAN ข้อสำคัญประการหนึ่งคือการสร้างความมั่นคงในประชาคม ASEAN ก่อนอื่นเวียดนามต้องอาศัยหลักการพื้นฐานของ ASEAN ได้ การเข้าร่วมองค์กรอื่นหรือกลุ่มอื่นๆ ที่มันเดินนอกนโยบายโดยรวมของประเทศ ASEAN ผมเห็นว่าปัจจุบันเวียดนามยังไม่คิดถึงและก็ยังไม่จำเป็น”

ทางด้านประชาชน ศาสตราจารย์เหงียน มิญ เทวียต ซึ่งเป็นสมาชิกรัฐสภา ให้ความเห็นว่ายังมีข้อที่ต้องหารือหลายอย่าง

“ประชาชนสนใจปัญหานี้มาก ส่วนตัวผมคิดว่าต้องพิจารณาอย่างฉลาดเกี่ยวกับด้านการทูต ประสบการณ์ของบรรพบุรุษ ในปัญหาการทูต ต้องอ่อนตัวที่สุด”

ในการประชุมสุดยอดของ ASEAN ที่ฮานอยเมื่อเดือนเมษายน 2553 ประเทศสมาชิก ASEAN เพียงแสดง “ความเชื่อมั่น” ว่า ฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจะพยายามรักษา เสถียรภาพความมั่นคงในทะเลตะวันออกต่อไป ไม่นำเสนอเอกสารความตกลงใดๆทั้งนั้น

ในฐานะประเทศเจ้าภาพและประธานหมุนเวียนของกลุ่ม นายกรัฐมนตรี เวียดนาม เหงียน เติ๊น หยุง ตอบคำถามกับ BBC ว่า ASEAN “เชื่อมั่นว่า ด้วยเจตนาดีของฝ่ายต่างๆ และการปฏิบัติด้วย ดีตามประกาศว่าด้วยการปฏิบัติในทะเลตะวันออก (DOC) รวมทั้งอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล 2525”

หยุงกล่าวว่า “ปัญหารักษาสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคงทะเลตะวันออก เป็นผลประโยชน์ร่วมกันและเป็นความสนใจมากของประเทศ ASEAN รวมทั้งประเทศอื่นๆ ในทั่วภูมิภาค”

เขากล่าวอีกว่า “บรรดาเจ้าหน้าที่ ASEAN และจีน ได้เป็นเอกฉันท์ว่าจะประชุมโดยเร็วเพื่อหารือมาตรการเร่งขยายการปฏิบัติตาม DOC”

(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจากเรื่อง “ความท้าทายของเวียดนาม ในฐานะประธานอาเซียน” นิตยสารผู้จัดการ 360 ํ ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2553 หรือใน www.gotomanager.com)

ในกระบวนการทำให้การพิพาทอธิปไตยในทะเลตะวันออก “เป็นสากล” นอกจากความพยายามหาการสนับสนุนในภูมิภาคแล้ว เวียดนามก็หันสู่มติสาธารณะ และวงการการเมืองชาติตะวันตกในท่าทีเช่นนั้น ครั้งแรกคือการจัดประชุมสัมมนาเกี่ยวกับทะเลตะวันออก ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่เวียดนามกับนักวิชาการที่สหรัฐฯ โดยจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัย Temple นคร Philadelphia เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2553

ปัญหาอธิปไตยในทะเลของเวียดนาม ในสภาวการณ์ที่พิพาทกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค ที่สำคัญคือจีน ได้มีการหารือจากแง่มุมประวัติศาสตร์ สิ่งแวดล้อมการอยู่อาศัย และการทำประมง

อย่างไรก็ดี จนถึงเวลานี้วงการการเมืองสหรัฐฯ และตะวันตก ดูเหมือนบ่ายเบี่ยงการออกประกาศอย่างเป็นทางการ สนับสนุนไม่ว่าฝ่ายใด เกี่ยวกับการพิพาททางทะเลและเกาะในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เวลาเดียวกัน การเยือนระดับสูงระหว่างเวียดนามและจีน รวมทั้งวงการทหารและการป้องกันประเทศยังคงมีขึ้นสม่ำเสมอ

หนังสือพิมพ์กองทัพประชาชนของเวียดนาม เรียกการเยือนจีนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเวียดนาม ฝู่ง กวาง ทาญ ระหว่าง 21-28 เมษายน 2553 ว่า เป็นโอกาสเพื่อให้สองฝ่าย “ร่วมกันแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการควบคุม ป้องกันชายแดน เสริมกำลังลาดตระเวนร่วมระหว่างกองทัพสองประเทศ เดินหน้าสู่ความร่วมมือการฝึกค้นหากู้ภัย การตรวจทำลายทุ่นระเบิด การต่อต้านโจรสลัด...”

เมื่อปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือน พฤษภาคมปีนี้ เหงียน เติ๊น หยุง นายกรัฐมนตรีเวียดนาม มีการเยือนจีน ร่วมพิธีเปิดงานนิทรรศการนานาชาติเซี่ยงไฮ้ Expo 2010 พบกับประธานาธิบดีหู จิ่น เทา

ทั้งสองประเทศได้มีกิจกรรมในการประกาศรำลึก 50 ปี ที่ปักกิ่งและฮานอยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต

มีบทความวิเคราะห์ว่า ถ้าเกิดสงคราม เวียดนามก็จะมีความสามารถเพียง พอเพื่อรับมือ เพราะยุทโธปกรณ์ปัจจุบันที่จีนมีอยู่ ยังไม่มีพลังพอเพื่อปฏิบัติการสงครามตามแบบกับเวียดนาม การพิจารณานี้ไม่ถูกต้องต่อความจริงเกี่ยวกับพลังทหารของจีน

สาธารณชนยังคงกล่าวว่า เวียดนาม มีอาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัย ไปถึงที่ไหนก็ต้องชนะด้วยพลังของประชาชน นี่เป็นทุนที่มีค่าแฝงเร้นจากประวัติศาสตร์การตั้งประเทศและรักษาประเทศนับพันปี เสียงพูดตกลงของประชาชนทุกคน สามารถเป็นอาวุธแข็งแกร่งที่สุดที่เวียดนามสามารถ บังคับเกณฑ์ในยุทธศาสตร์เผชิญหน้ากับต่างประเทศ เหมือนตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน

ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์เรื่องนี้และประวัติศาสตร์จะฟื้นคืนมา


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.