Goldman ไม่ใช่รายแรกและไม่ใช่รายสุดท้าย


นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา( มิถุนายน 2553)



กลับสู่หน้าหลัก

ก.ล.ต.สหรัฐฯ (SEC) ฟ้องร้องดำเนินคดีกับ Goldman Sachs ในข้อหาฉ้อโกงหลักทรัพย์ โดยกล่าวหา Goldman ปกปิดข้อเท็จจริงสำคัญเกี่ยวกับหลักทรัพย์ที่ขายในปี 2007 ซึ่งมีชื่อเรียกว่า Abacus แต่ Goldman บอกว่า ตัวเองก็สูญเงินมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ ไปกับ Abacus เช่นเดียวกับนักลงทุนอีก 2 รายเช่นกัน

SEC กล่าวหาว่า Goldman รู้รายละเอียดสำคัญที่คนอื่นๆ ไม่รู้ นั่นคือการที่ John Paulson ผู้จัดการกองทุน hedge fund มีสิทธิ์ช่วยเลือกสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ซึ่งจะใช้เป็นหลักประกันที่หนุนหลัง Abacus โดยที่ Paulson ได้ทำการป้องกันความเสี่ยง ไว้ล่วงหน้า หากสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเหล่านั้นมีราคาตกลง ซึ่งทำให้กองทุนของเขาสามารถทำกำไรได้ถึง 1,000 ล้านดอลลาร์เมื่อ Abacus ล้มทั้งกองภายในเวลาเพียง 1 ปีหลังจากถูกสร้างขึ้น ทำให้นักลงทุนอีก 2 รายคือ IKB ธนาคารเยอรมนี และ ABN AMRO ธนาคารดัตช์ สูญเงินรวมกันมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็เหมือนกับ Goldman ถูกกล่าวหาว่า สร้างบ้าน โดยใช้วัสดุคุณภาพต่ำ เพื่อให้ลูกค้ารายหนึ่งสามารถนำไปพนันล่วงหน้าว่า บ้านจะพัง แล้วขายบ้านนั้นให้ลูกค้ารายอื่นๆ

Goldman แก้ตัวว่า นักลงทุนทุกคนรู้อยู่แล้วว่า อะไรอยู่ใน Abacus และไม่ยอมรับคำกล่าวหาของ SEC และจะสู้คดีให้ถึงที่สุด พร้อมกับจ้างทนายใหญ่ที่เป็นถึงอดีตนักกฎหมายของทำเนียบขาว คดีของ Goldman เป็นโอกาสที่เราควรมาทำความรู้จักกับเครื่องมือทางการเงิน ที่ถูกกล่าวหาว่า มีส่วนสำคัญที่ทำให้ Wall Street พังทลายในครั้งนี้

Abacus เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีชื่อว่า collateralized debt obligation หรือ CDO เกิดจากการนำหนี้รายบุคคลมามัด รวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ซึ่งสามารถจะตัดแบ่ง รวมกันเป็นกองใหม่ และขายเป็นหลักทรัพย์ในตลาดรองได้ CDO มีสินทรัพย์ที่เป็นประกันคือลูกหนี้ ตราสารหนี้และสินทรัพย์ที่แท้จริงอื่นๆ หลังจากอัตราดอกเบี้ยตกต่ำหลังเหตุการณ์ 9/11 นักลงทุนทั่วโลกต่างก็สนใจกระแสเงินสด ที่เกิดขึ้นจากการกู้เงินซื้อบ้านรายใหม่หลายล้านรายในสหรัฐฯ จนหลักทรัพย์ที่มีบ้านจำนองเป็นประกันถึงกับไม่พอขาย สถาบันการเงินเลยได้ความคิดในการสร้าง CDO ขึ้นมา ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วก็คือการมัด รวมตราสารหนี้แบบ credit default swaps นั่นเอง ในปี 2005 ตลาด CDO ในสหรัฐฯ มีมูลค่าถึง 200,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปี 2004 ในตอนนั้นราคาบ้านในสหรัฐฯ ยังสูงมาก และ Fed เริ่มขึ้นดอกเบี้ย นักลงทุนที่ฉลาดๆ บางคนเริ่มเห็นว่า ตลาดกำลังร้อนแรงเกินไป และปริมาณ CDO จะลดลง

แต่ตลาด CDO กลับยังคงพุ่งขึ้นอีกเท่าตัวในปี 2006 จนมีมูลค่า 386,000 ล้านในสหรัฐฯ และมากกว่า 520,000 ล้านทั่วโลก สถาบันการเงินบางรายถึงกับยอมให้ลูกค้ารายใหญ่บางราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกองทุน hedge fund สามารถเลือกสินทรัพย์เสี่ยง ที่จะนำมาเป็นประกันหนุนหลัง CDO ได้เอง โดยสามารถทำการ ป้องกันความเสี่ยง เพื่อให้สามารถทำกำไรได้ ถ้าหากสินทรัพย์เหล่านั้นราคาตก

Magnetar Capital กองทุน hedge fund ในชิคาโก เป็นกองทุน hedge fund รายแรกๆ ที่นำกลยุทธ์นี้มาใช้ โดย Magnetar ยอมตกลงซื้อส่วนที่เสี่ยงที่สุดของ CDO ซึ่งช่วยให้บริษัท Wall Street ผู้สร้าง CDO นั้น สามารถขายส่วนที่เหลือของ CDO ให้แก่นักลงทุนอื่นๆ ได้ จากนั้น Magnetar ก็กดดัน ให้บริษัท Wall Street นำสินทรัพย์ที่ไร้ค่า (junky bond) รวมเข้าไปใน CDO นั้นด้วย (แต่ Magnetar ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้) เพื่อให้ Magnetar สามารถทำ short sell ป้องกันความเสี่ยง หากสินทรัพย์นั้นมีราคาตก และเมื่อลูกหนี้ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่หนุนหลัง CDO ผิดนัดชำระหนี้จริงๆ Magnetar ก็ขาดทุนเพียงนิดหน่อย จากการซื้อบางส่วนของ CDO แต่กลับได้กำไรมหาศาลจากการทำ short sell ต่อมากลยุทธ์นี้จึงถูกเรียกกันว่า Magnetar Trade

CDO กองหนึ่งที่ Magneta เข้าซื้อคือ Norma มีมูลค่า 1,500 ล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่เป็น CDO ที่ Merrill Lynch สร้างขึ้นในเดือนมีนาคม 2007 Norma ล้มภายในเวลาเพียง 1 ปี และทำให้ Merrill Lynch ถูกฟ้องร้องโดย Rabobank บริษัทดัตช์ ซึ่งขาดทุน 45 ล้านดอลลาร์ไปกับ Norma Merrill Lynch ถูกกล่าวหาเหมือนกับที่ Goldman ถูกกล่าวหาในกรณี Abacus คือสร้าง CDO ขึ้นมาตามการบงการของกองทุน hedge fund ที่ต้องการทำ short sell ป้องกันความเสี่ยงในกรณีที่ CDO กองนั้นล้ม โดยที่ Merrill Lynch ไม่ยอมแจ้งข้อมูลเรื่อง short sell กับนักลงทุนอื่นๆ

อีกคดีหนึ่งเป็นการฟ้องร้องของกองทุน Hedge fund ชื่อ Pursuit Partners ในคอนเนตทิกัต ต่อ UBS โดย Pursuit ลงทุน 35 ล้านดอลลาร์ใน CDO ที่ UBS เป็นผู้ขาย เพียงไม่กี่วันก่อนหน้าที่ Moodys บริษัทจัดอันดับ จะประกาศการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดอันดับ CDO ซึ่งส่งผลให้มูลค่า CDO ตกต่ำลงทั้งกระดาน Pursuit กล่าวหา UBS ว่า รู้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่กลับไม่ยอม เปิดเผย

หลักฐานหนึ่งที่นำมาอ้างคือ อีเมลภายใน UBS ซึ่งผู้บริหาร UBS เรียก CDO ที่ขายให้ Pursuit ว่าเป็นสิ่งที่สำรอกออกมาหรือ กองอุจจาระ คดีนี้ตัดสินไปแล้ว โดย Pursuit เป็นฝ่ายชนะ ศาลเปรียบเทียบการกระทำของ UBS ว่า เหมือนยื่นปืน ให้กับ Pursuit โดยบอกว่าปืนไม่มีลูก แต่ UBS รู้ว่าปืนไม่เพียงแต่มีลูก แต่ยังพร้อมที่จะยิงออกไปได้ อย่างไรก็ตาม UBS อุทธรณ์ และระบุว่า Pursuit เป็นนักลงทุนที่เชี่ยวชาญและรู้ตัวดีว่ากำลังซื้อหลักทรัพย์ ที่มีปัญหาในราคาลดที่แสนถูก

IKB ธนาคารเยอรมัน เป็นฝ่ายขาดทุนในคดีของ Goldman ก็ถูกฟ้องร้องเช่นกัน โดยผู้ฟ้องร้องคือ เขต King County ในวอชิงตัน และ Iowa Student Loan Liquidity Corp. นักลงทุนสถาบันทั้งสองขาดทุนจากการลงทุนใน CDO ของ IKB ที่มีชื่อว่า Rhinebridge ซึ่งกลายเป็น CDO เกรด Triple-A ที่มีอายุสั้นที่สุด ในประวัติศาสตร์ โดย Rhinebridge ถูกลดชั้นเหลือแค่ junk ภายในเวลาเพียง 4 เดือน

ผลกระทบของ CDO เกิดขึ้นทั่วโลก ประมาณว่ามีคนได้รับ ผลกระทบถึง 50 ล้านคน จาก Abacus ของ Goldman ทั้งนักลงทุนสถาบัน และผู้ถือหุ้นในธนาคารต่างชาติ ซึ่งรวมถึงเจ้าของบ้านในสหรัฐฯ ซึ่งหนี้ซื้อบ้านของเขาเป็นส่วนหนึ่งใน CDO ด้วย และหลังจาก Abacus ล้ม ABN AMRO ก็ถูกซื้อโดยกลุ่มธนาคาร ที่นำโดย Royal Bank of Scotland ซึ่งถูกรัฐบาลอังกฤษซื้อไปอีกต่อหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ CDO ที่ล้มเหลวเหล่านั้น จะถือเป็นการฉ้อโกง หรือเป็นเพียงธรรมชาติที่เย็นชาของตลาดการเงิน ในคดีที่กล่าวมานี้ ฝ่ายที่ฟ้องร้อง ล้วนแล้วแต่เป็นผู้เล่นที่ช่ำชอง แม้ว่าฝ่ายที่ถูกฟ้องร้อง จะไม่ได้เปิดเผยข้อมูล เรื่อง short sell แต่นักลงทุนรู้อยู่แล้วว่า มีอะไรอยู่ใน CDO พูดง่ายๆ ก็คือ Wall Street ขายสารพิษให้แก่ผู้ซื้อที่เสพติดสารพิษนั้น แต่กฎหมายจะลงโทษผู้ขายมากกว่าผู้ซื้อ

แปล/เรียบเรียง เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์
เรื่อง นิวสวีค


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.