โชคชัย อักษรนันท์ ประธานอาเซียน-ซีซีโอคนใหม่


นิตยสารผู้จัดการ( มกราคม 2535)



กลับสู่หน้าหลัก

บนชั้นสูงสุด ชั้นที่ 30 ของอาคารซีพีทาวเวอร์ โชคชัย อักษรนันท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้เล่าให้ฟังถึงภารกิจใหม่ในฐานะประธานสหพันธ์หอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งประเทศอาเซียน หรือเรียกสั้น ๆ ว่า "ประธานอาเซียน-ซีซีโอ" ที่จะต้องทำงานหนักในวาระตำแหน่งนี้สองปีนับตั้งแต่ได้รับเลือกตั้งจากที่ประชุมคณะมนตรีอาเซียน-ซีซีโอ ของหกประเทศคือบรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์และไทย เมื่อปลายปี 2534 นี้

"ผมต้องเตือนตัวเองตลอดเวลาว่า ต้องพูดในฐานะประธานหกประเทศ ไม่ได้พูดในนามประธานสภาอุตสาหกรรมไทยแล้วนะ" โชคชัยย้ำกับตัวเอง

สองปีข้างหน้าเป็นจุดเปลี่ยนแปลงหนึ่งในชีวิตการงานของโชคชัย ที่พลิกผันชีวิตจากวิศวกรเคมีที่เป็นอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ สู่งานบริหารธุรกิจที่หลากหลาย นับตั้งแต่ร่วมงานบุกเบิกกับบริษัทเอ็ม.ไทย อินดัสเทรียล จนถึงการบริหารธุรกิจอุตสาหกรรมรองเท้าของกลุ่มสหพัฒน์ และล่าสุดเมื่อสองปีที่แล้ว ได้เข้าร่วมงานกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ในฐานะรองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส

แต่ทุกวันนี้งานหลักที่กินเวลาส่วนใหญ่ของโชคชัยหมดไปกับกิจกรรมเพื่อส่วนรวม อาทิ เช่น ประธานอาเซียน-ซีซีไอ ประธานสภาพอุตสาหกรรมไทย กรรมการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และสมาชิกสภานิติบัญญัติ โดยได้รับการสนับสนุนความเข้าใจจากซีพี

"ผมเป็น PUBLIC FIGURE ที่ไม่ค่อยมีเวลาเป็นของตัวเอง ต้องเดินทางตลอด" โชคชัยเล่าให้ฟังถึงการทำงาน

จากประสบการณ์ไม่ต่ำกว่าสิบปีที่โชคชัยได้เคี่ยวกรำกับกิจกรรมอาเซียน-ซีซีไอ ซึ่งเป็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจของกลุ่มอาเซียน ในฐานะเลขาธิการสมาคมอุตสาหกรรมไทยระหว่างปี 2525-2530 โชคชัยได้สานต่อภารกิจยิ่งใหญ่ที่นายกรัฐมนตรี อานันท์ ปันยารชุน ได้วางไว้เป็นแนวความคิดสำคัญเกี่ยวกับโครงการร่วมมือจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN FREE TRADE AREA หรือ "AFA")

ในอดีต ความร่วมมือทางเศรษฐกิจไม่เป็นรูปธรรม แต่ละประเทศปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง การขอลดสิทธิพิเศษภายใต้ ASEAN PTA มักเป็นรายการสินค้าที่ไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่ แต่รายการที่สำคัญซื้อขายกันมากกลับไปไว้ใน EXCKYSUIB LIST ที่ห้ามแตะ ทำให้โครงการ ASEAN PTA ไม่ประสบผลเท่าที่ควรจนกระทั่งท่านนายกฯ อานันท์ คิดว่าถึงเวลาแล้ว จึงได้เสนอแนวความคิด AFTA ขึ้นในลักษณะกล้าลดภาษีโดยรัฐเป็นผู้นำ ก็มีการล็อบบี้จนโครงการนี้เป็นที่ยอมรับของกลุ่มรัฐบาลอาเซียนอย่างเป็นทางการ" โชคชัยเล่าให้ฟังถือที่มาของ AFTA

โครงการเขตการค้าเสรีอาเซียน "AFTA" เป็นการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจขึ้นต้น โดยมีเป้าหมายให้สมาชิกกลุ่มอาเซียนตกลงยกเลิกเพดานพิกัดอัตราภาษีศุลกากร และข้อจำกัดอัตราภาษีศุลกากร และข้อจำกัดทางการค้าระหว่างกัน ทำให้เกิดเขตการค้าเสรีระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนภายในทศวรรษหน้า

"เมื่อโครงการ AFTA ได้เกิดขึ้น คุณผลิตที่ไหนก็เท่ากับขายได้ทั้ง 6 ประเทศ เพราะตลาดเดียวกัน และภาษีเท่ากัน ดังนั้นใครที่แข็งแรงกว่า บริหารงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่าก็อยู่รอดได้ ใครที่อ่อนแอก็จะตกที่นั่งลำบาก" โชคชัยกล่าวถึงผลดีของ AFTA

แนวทางการพัฒนาเขตการค้าเสรีแห่งอาเซียนนี้ จะต้องใช้สิทธิพิเศษทางการค้าของอาเซียน (ASEAN PTA) ซึ่งปัจจุบันมีสินค้าไม่ต่ำกว่า 15,725 รายการผนวกกับ CEPT (COMMON EFFECTIVE PREFERENCE TAFIFFS) ซึ่งเป็นการกำหนดรายการสินค้าที่จะนำมาลดหย่อนภาษีระหว่างกัน โดยขั้นแรกแต่ละประเทศจะต้องปรับพิกัดอัตราภาษีศุลกากรให้อยู่ระดับเดียวกันตามประเภทสินค้า โดยแบ่งอัตราภาษีศุลกากรเป็น 4 ระดับ ได้แก่ 0.5%, 5-10%, 10-15%, และ 15-20% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ระยะหนึ่ง หลังจากนั้นจึงจะยกเลิกการจัดเก็บภาษีศุลกากรทั้งหมด ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ระยะหนึ่ง

"ตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียนทั้งหกประเทศกว้างใหญ่ถึง 315 ล้านคน (ใกล้เคียงประชาคมยุโรป 320 ล้านคน) ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่หลายฝ่ายให้ความสนใจเกี่ยวกับ AFTA มากแต่แนวทาง AFTA นี้ต้องใช้เวลาถึง 15 ปี ที่จะลดภาษีลงมาเหลือ 0-5 % นี่คือเป้าหมาย ถ้าทำได้ก็ดีมาก" ประธานอาเซียน-ซีซีไอคนใหม่คาดหวังการบรรลุผลในอนาคต

ดังนั้น ในงานประชุมสุดยอดอาเซียนของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนทั้งหกประเทศครั้งที่ 4 หรือ "อาเซียนซัมมิท" ซึ่งได้จัดในวันที่ 27-28 มกราคม 2535 ณ ประเทศสิงคโปร์ จึงมีเรื่องสำคัญข้างต้นที่ต้องพิจารณาแนวทางร่วมกันถึง 4 ประการ

- ความร่วมมือในการจัดตั้งเขตการค้าเสรี หรือ AFTA ที่มีประเทศไทยเป็นแกนนำ
-
- ความร่วมมือระหว่างประเทศเอเซียนตะวันออก (EAST ASIAN ECONOMIC GROUPING หรือ GAEG
-
- การจัดระบบภาษีร่วมในกลุ่มประเทศอาเซียน (COMMON ERRECTIVE TARIFF SYSTEM หรือCEPT) ซึ่งอินโดนีเซียเป็นผู้เสนอ
-
- การจัดให้มีสนธิสัญญาความร่วมมืออาเซียนขึ้น (ASEAN TREATY ON ECONOMIC CO-OPEARTION หรือ ATEC
-
ถึงแม้จะหมดยุคนายกรัฐมนตรี อานันท์ ปันยารชุน ผมคิดว่าอาเซียนไม่ควรจะชะงักโครงการ AFTA ผมหวังว่าเดือนมกราคม 2535 นี้จะมีการเซ็นข้อตกลงเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่มาเป็นหัวหน้ารัฐบาลของแต่ละประเทศอาเซียนจะต้องดำเนินนโยบายนี้ต่อไป เพราะมันไม่มีเวลาแล้ว"

ความสำคัญของกิจกรรมอาเซียนนี้ ประธานอาเซียน-ซีซีไอคนใหม่ได้เรียกร้องภาคเอกชนให้ตื่นตัวรับรู้ข่าวสาร AFTA ไม่นอนหลับทับสิทธิ์ ขณะเดียวกับองค์กรธุรกิจภาคเอกชนจะต้องร่วมมือทำงานใกล้ชิดกับรัฐบาล เพื่อกำหนดทิศทางทางเดินได้ถูกต้อง

"ผมเข้าใจว่าหลังจากการประชุมอาเซียนซัมมิทเสร็จสิ้นลง ทางภาครัฐบาลทั้งหกประเทศคงจะบอกให้ภาคเอกชนไปทำการบ้านว่าควรทำอะไร เช่นให้แจกแจงกลุ่มอุตสาหกรรมใดที่มีความพร้อมจะได้รับการลดภาษีตามโครงการ AFTA อย่างประเทศไทย สาขาอุตสาหกรรมที่พร้อมก็มีสิ่งทอ อัญมณี ผลิตภัณฑ์หนัง ปุ๋ย สินค้าไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์เยื่อกระดาษ ทั้งหมดนี้ ไทยเสนอให้ลดภาษีลงมา" ประธานอาเซียน-ซีซีไอ ซึ่งยังสวมหมวกประธานสภาอุตสาหกรรมไทยอีกตำแหน่งหนึ่งกล่าว

ในระยะสองปีข้องหน้านี้ โชคชัยในฐานะประธานอาเซียน-ซีซีไอ จึงต้องทำงานหนักและเหนื่อยกับแนวทางที่เขาตั้งใจวางไว้ ระหว่างที่ครองตำแหน่งของขอบเขตของงานสามประการที่เขาต้องการผลักดันให้เป็นจริงคือ

หนึ่ง-เสริมสร้างความแข็งแกร่งและคล่องตัวในโครงการอาเซียน-ซีซีไอ ซึ่งประกอบด้วย 4 องค์กรคือ 1. คณะมนตรีอาเซียน-ซีซีไอที่ประธาน รองประธานหกประเทศและเลขาธิการ 2. หอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งประเทศสมาชิก 3. คณะทำงาน 4 กลุ่มได้แก่ WGIC WGT WGFAF WGTA และ 4. ชมรมสาขาอุตสาหกรรมแห่งอาเซียน โดยให้ความสำคัญต่อการบริหารและการจัดองค์กรรวมทั้งเน้นกลุ่มศึกษาข้อมูลร่วมกับองค์กรวิจัยของสมาชิกอาเซียนเช่นทีดีอาร์ไอของไทย หรือ ISIS ของสิงคโปร์

"ผมได้ตั้งให้ชวรัตน์ ชาญวีรกุล เป็นรองประธานอาเซียน-ซีซีไอแห่งประเทศไทยแทนผม หน้าที่ของชวรัตน์คือดูแลคณะทำงานต่าง ๆ (WORKING GROUP) เมื่อครบวาระสองปี ชวรัตน์จะเป็นต่อหรือผมอาจจะกลับมาเป็นต่อไปก็ได้" โชคชัยเล่าให้ฟัง

สอง-สร้างกิจกรรมประสานความร่วมมือใกล้ชิดกับภาครัฐบาล ส่งเสริมการค้าเสรีและความเป็นธรรมระหว่างคู่ค้า

"ในกลุ่มอาเซียน การแลกเปลี่ยนข้อมูลมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โครงการระยะสองปีที่เราจะทำคือพัฒนาเรื่องศูนย์ข้อมูลให้มีประสิทธิภาพไม่ซ้ำซ้อนกันในการใช้ทรัพยากรซึ่งต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก" โชคชัยกล่าวถึงเครือข่ายข้อมูลที่จะทำ

สาม-ส่งเสริมการค้า การลงทุนและความร่วมมือแลกเปลี่ยนทางอุตสาหกรรม เทคโนโลยการพัฒนาคนภายในกลุ่มอาเซียนเอง และกลุ่มอาเซียนกับ NON-ASEAN เช่น อเมริกา ยุโรป แคนาดา ญี่ปุ่น เกาหลี เป็นต้น

นอกจากนี้โครงการความร่วมมือในด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องที่กำลังตื่นตัวทั่วโลก ประธานอาเซียน-ซีซีไฟคนใหม่ได้กล่าว่า อาเซียนมีความจำเป็นต้องทำโครงการสิ่งแวดล้อมให้เป็นรูปธรรม โดยร่วมมือกันทั้งหกประเทศเพื่อป้องกันความซ้ำซ้อนและให้โครงการมีประสทิะภาพ งานนี้มาเลเซีย และฟิลิปปินส์รับผิดชอบ โครงการกำจักมลภาวะเช่นอุตสาหกรรมเคมีและอุตสาหกรรมสิ่งทอ

ภารกิจยิ่งใหญ่อีกประการหนึ่งที่โชคชัย ต้องผลักดันให้บรรลุผลภายในรัฐบาลยุคอานันท์ ปันยารชุนก็คือ โครงการรวมสภาหอการค้ากับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่นายกฯ อานันท์ดำริไว้เป็นแนวทางไว้

"โครงการนี้ผมอยากจะรวมเป็น CHAMBER OF COMMERCE AND INDUSTRY ตั้งสิบปีแล้ว เพราะมันมีข้อดีคือเป็นองค์กรเดี่ยวในประเทศเหมือนเพื่อนบ้านทั่วโลกเขาเป็นกันแล้ว และทำให้ใช้ทรัพยากรไม่ซ้ำซ้อนกัน นายกฯ อานันท์ ก็พูดทุกครั้งว่าควรจะรวมกันสักที คนรุ่นใหม่เขารอพวกคุณไม่ได้แล้ว" โชคชัยเน้นถึงความตั้งใจจริงที่อยากให้เกิดองค์กรระดับชาตินี้เพื่อพัฒนาธุรกิจการค้าและอุตสาหกรรม

แต่กว่าโครงการจะบรรลุผล ก็ต้องผ่านขั้นตอนตั้งแต่ตั้งคณะทำงานร่วมกัน แล้วร่างกฎหมายออกมาเพื่อให้ผ่านความเห็นขอบของคณะรัฐมนตรี และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งโชคชัยก็เป็นสมาชิกสภาฯ อยู่คาดว่าโครงการนี้คงผ่านขั้นตอนต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว เนื่องจากอานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรี ให้การสนับสนุนโครงการนี้เต็มที่ ถึงขาดกระซิบบอกผู้ใกล้ชิดว่า "ถ้าไม่รวมตอนนี้ โอกาสจะไม่มีอีกแล้ว"

ผลงานชิ้นโบแดงข้างต้นในยุคโชคชัยเป็นประธานอาเซียน-ซีซีไอคนใหม่จะต้องประสบปัญหาและอุปสรรคบนหนทางข้างหน้าอย่างมากมาย แต่ถ้าเกิดผลสำเร็จ โฉมหน้าเศรษฐกิจไทยและอาเซียนจะต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอนในทศวรรษหน้านี้ !!



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.