3+1 กลยุทธ์สู้อาณาจักรทีพีไอ

โดย วิลาวัณย์ วิวัฒนากันตัง
นิตยสารผู้จัดการ( มิถุนายน 2536)



กลับสู่หน้าหลัก

การที่ค่ายทีพีไอ ผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมเม็ดพลาสติก และกล้าชนกับปูนใหญ่ด้วยการฝ่ายด่านลงสู่ธุรกิจปูน แล้วยังแตกหน่อบริษัทออกไปมากมายในวันนี้พูดได้ว่า อาศัย 3 กลยุทธ์หลัก คือ กล้า..ใหญ่..ลึก..และอีกปัจจัยเสริม ด้านเทคโนโลยี โดยมีประชัย พี่ใหญ่ตระกูลเลี่ยวไพรัตน์เป็นคนชูธงรบ..!

"กร้าว" ได้กลายเป็นภาพลักษณ์ของกลุ่มธุรกิจเครือทีพีไอ และเป็นหัวใจสำคัญที่นำพาวาทีพีไอสู่ความใหญ่ในวันนี้ ด้วยการนำของสามพี่น้องตระกูลเลี่ยวไพรัตน์

นามสกุล "เลี่ยวไพรัตน์" นั้นเป็นที่รู้จักดีตั้งแต่ ยุคธนาพรชัยค้าข้าว เมื่อหลายสิบปีก่อนให้ทายาทสืบสานต่อมาด้วยกลยุทธ์เดียวกัน

นั่นก็คือ กล้า..ใหญ่..ลึก..และตามด้วยเทคโนโลยี

เริ่มตั้งแต่ยุคของพร เลี่ยวไพรัตน์ ผู้หักเหชีวิตเพราะไม่ได้เรียนต่อ แต่กลับมารับโอนกิจการมาดูแลแทนพ่อ พ่อค้าใหญ่สระบุรีที่มีทั้งโรงสี โรงฆ่าสัตว์ โรงเหล้า ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะที่กำลังเกิดวิกฤติข้าวเนื่องจากกิจการค้าข้าวส่วนใหญ่อยู่ในมือต่างชาติและราคาข้าวตกต่ำมาก จนกระทรวงเศรษฐการต้องตั้งบริษัท สีข้าวไทย จำกัดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา

บริษัทข้าวไทยมีโรงสีใหญ่ในกรุงเทพฯ 7 แห่งซึ่งตอนนั้นมีบทบาทสูงกว่าพ่อค้าข้าวเป็นฐานสนับสนุน ตรงนี้เองที่เป็นจุดเกิดของ "เลี่ยวไพรัตน์"

แม้ว่าโรงสีไฟปากเพรียวของ "เลี่ยวไพรัตน์" จะไม่ได้ร่วมขบวนด้วยอย่างจริงจังนัก แต่ด้วยสายตาอันยาวไกลที่เห็นประโยชน์จากบริษัทข้าวไทย เขาตัดสินใจขยายกิจการผลิตของโรงสีสูงถึง 40 เกวียน ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในขณะนั้น

จนเป็นที่รู้กันว่า โรงสีปากเพรียวเป็นคนป้อนข้าวเปลือกจำนวนมากให้กับโรงสีทั้ง 7 แห่ง เพื่อขายผ่านไปยังบริษัทข้าวไทย หรืออยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการแก้ปัญหาคราวนั้น

"เลี่ยวไพรัตน์" เริ่มก่อรูปแล้วเพราะพรไม่เพียงแต่ทำโรงสีข้าวเท่านั้น แต่ยังเป็นเจ้าของพืชไร่ขนาดใหญ่รายหนึ่งของไทย โดยเฉพาะปอ มัน ข้าวโพดที่จังหวัดสระบุรพื้นที่เพาะปลูกกึ่งกลางระหว่างนครราชสีมากับลพบุรี

ที่สำคัญ เขายังมีความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปเป็นนักธุรกิจระดับชาติให้ได้ ตั้งแต่เมื่อคราวเรียนหนังสือที่เซี่ยงไฮ้ไม่ใช่จะเป็นแค่พ่อค้าภูธรในสังคมเล็ก ๆ จึงได้ขยายฐานเข้ากรุงเทพฯ ในเวลาต่อมา

จุดเริ่มต้นธุรกิจของพร ก็ไม่ต่างจากเถ้าแก่เสื่อผืนหมอนใบรายอื่นที่สร้างฐานมาจากเครือข่ายความสัมพันธ์ของญาติมิตรเป็นทุนเดิมโดยมีตระกูล "แต้ไพสิฎพงศ์" เพื่อเก่าแก่เมื่อครั้งรุ่นเปี๊ยะยู้ (เจ้าของโรงงานอาหารสัตว์ เซนทาโก) ซึ่งสนิทสนมกันเป็นพิเศษเป็นเพื่อร่วมทางธุรกิจมาแต่แรก เข้าลักษณะที่ว่า คนหนึ่งทำธุรกิจอะไรอีกคนหนึ่งก็จะต้องเข้าร่วมลงทุนด้วย

แล้วพรก็เปิดเอเย่นต์ค้าผ้ารายใหญ่รายหนึ่งของประเทศช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 "ฮ่งเยี่ยะเซ้ง" เป็นร้านค้าแห่งแรกของเขาในกรุงเทพฯ ขนาดที่ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ลูกชายคนโตของพรถึงกับเคยกล่าวว่า "ร้านของเราใหญ่ไม่แพ้ร้านของคุณสุกรี" (สุกรี โพธิรัตนังกูร)

หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการค้าผ้า พรจึงหันไปสร้างโรงงานลักกี้ เท็กช์ โรงงานสิ่งทอใหญ่รายหนึ่งในช่วงปี 2500 จากนั้นก็ร่วมทุนกับสมาน โอภาสวงศ์ แห่งกลุ่มฮ่วยชวนค้าข้าว พ่อค้าข้าวที่โตจากบริษัทข้าวไทยแล้วมาตั้งโรงงานไทยเกรียงปั่นทอขึ้นมาอีกแห่งหนึ่ง

สมานคนนี้นี่เองที่เป็นส่วนผลักดันสำคัญให้พรเข้าสู่วงการค้าข้าวส่งออกอย่างเต็มรูปแบบในระยะไล่เลี่ยกันกับการตั้งโรงงานไทยเกรียง เมื่อตั้งบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (ทีพีไอ) สมานก็เป็นหุ้นส่วนหลักของ "เลี่ยวไพรัตน์" จนพูดได้ว่า "พรกับสมานตัดกันไม่ขาด"

อย่างไรก็ตาม ความที่พรมีโรงสีใหญ่เป็นฐานการผลิตราคาถูก จึงทำให้เขาได้เปรียบในการประมูลแข่งขายข้าวแทบทุกครั้ง เพียงไม่กี่ปี "ธนาพรชัย" ก็พุ่งสู่หนึ่งในห้าผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อย่างไม่ลำบากนัก

ช่วงที่ธนาพรชัยรุ่งเรืองที่สุดสำหรับกิจการค้าข้าวนับตั้งแต่ช่วงปี 2520 เป็นต้นมาที่ประมูลขายข้าวในล็อตใหญ่ ๆ ได้ติดต่อกันหลายปี บางปีส่งออกได้ถึง 5 แสนตันซึ่งเป็นตัวเลขที่เรียกว่าทำกันได้ไม่ง่ายเลย

ตลาดหลักที่ทำให้ธนาพรชัยโดดเด่นขึ้นมา ก็คือตลาดอัฟริกาและตะวันออกกลาง ที่เขาเสี่ยงเข้าไปจนได้ผลดีมีกำไรมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะข้าวนึ่งที่ส่งครองตลาดตะวันออกกลางปีละหลายแสนตัน

ยิ่งในปี 2530 ด้วยแล้ว การที่ธนาพรชัยสต๊อกข้าวราคาถูกช่วงต้นปีไว้ถึง 2 แสนตัน จากราคาแค่ตันละ 5,000 บาท แต่ขายออกไปได้ช่วงกลางฤดูการผลิตถึงราคาตันละ 6,000 บาท ทั้งที่ตอนนั้นมีแนวโน้มว่าพ่อค้ารายอื่นจะเจ็บตัวกันทั่วหน้าทว่า..ที่สร้างผลตอบแทนอันงดงาม จนเป็นที่ฮือฮาทั่วยุทธจักรค้าข้าว เพราะเป็นกลยุทธ์ที่ไม่มีใครกล้าทำจนทุกวันนี้ธนาพรชัยก็ยังเป็นที่ยำเกรงพอ ๆ กับกลุ่มสุ่นฮั่วเซ้งในวงการค้าข้าว

พูดได้ว่า การที่พรทำให้ธนาพรชัยประสบความสำเร็จอย่างสวยหรูนั้น เพราะกล้าที่จะเสี่ยงและพลิกแพลงตลาด แม้ว่าบางครั้งอาจจะเจ็บตัวบ้างจากการขยายตลาดอย่างฮึกเหิม แต่ผลตอบแทนที่ได้จากการเก็งกำไรก็คุ้มกว่าหลายเท่านัก

"ความกล้าในการตัดสินใจที่ว่านี้รวมถึงความฉับไวต่อสถานการณ์ และการมองโลกที่ทอดยาวไปข้างหน้าได้อย่างแม่นยำ ยิ่งกว่านั้น เมื่อจะลงทุนแล้ว ก็ทำขนาดใหญ่ เพราะมีโอกาสโตเร็วกว่าและทำให้คนเกิดทีหลังตามทันยาก เรียกว่าต้องทิ้งห่างคนอื่นไปเลย" แหล่งข่าวเครือทีพีไอวิเคราะห์ถึงการเริ่มต้นยุทธศาสตร์การค้าของ "เลี่ยวไพรัตน์"

เมื่อธุรกิจค้าข้าวไปได้ดี พรไม่หยุดแค่นั้นแต่กลับรวบรวมพ่อค้าข้าวไปตั้งโรงงานทอกระสอบที่ จ.สระบุรี เพื่อเป็นฐานสนับสนุนการค้าข้าวอีกต่อหนึ่งเพียงไม่กี่ปี "เลี่ยวไพรัตน์" ก็เกือบผูกขาดโรงงานแห่งนี้แต่ผู้เดียว จนกลายเป็นเสือนอนกินเก็บเกี่ยวกำไรจากพ่อค้าข้าวได้อย่างอิ่มใจ

ขณะที่ชื่อเสียง "เลี่ยวไพรัตน์" กำลังแพร่สะพัดพรได้ขยายไปสู่ธุรกิจอื่นหลังจากที่มีฐานการเงินจากการค้าข้าวมากพอแล้ว โดยไปตั้งบริษัท บางกอกสหประกันภัย จำกัด บงล.คาเธ่ย์ไฟแนนซ์ ซึ่งร่วมทุนกับเพื่อเก่าตระกูลแต้ไพสิฏพงศ์ตั้งโรงงานอาหารสัตว์เบทาโก-เซนทา-โก ราวปี 2516

ตอนนั้น โรงงานใหญ่ไม่แพ้โรงงานของกลุ่มซีพี "ถ้ายังอยู่ ก็คงแข่งกันสะบั้นหั่นแหลก" ที่ต้องขายทิ้งไปทั้งที่กำลังไปได้ดี ธุรกิจอาหารสัตว์อยู่ในภาวะขยายตัวเพราะคุณแม่ของพรขอร้องให้เลิก ด้วยเหตุว่าถ้ายิ่งขยายก็ต้องฆ่าสัตว์มากขึ้น และยิ่งจะเป็นเจ้ายุทธจักรอาหารสัตว์ในปัจจุบันได้อย่างลอยตัว แหล่งข่าวเครือทีพีไอ กล่าวถึงที่มาในการขายหุ้นทิ้งเพราะถ้าจะทำต่อ นั่นหมายถึง "เลี่ยวไพรัตน์" จะต้องเป็นหนึ่ง

การตัดสินใจตรงนี้ได้กลายเป็นช่วงโค้งสำคัญต่อทิศทางธุรกิจของ "เลี่ยวไพรัตน์…"

ปี 2521 ที่พรขายหุ้นโรงงานอาหารสัตว์ทิ้ง ประจวบเหมาะกับประมวล น้องชายรองจากประชัย และประทีปคว้าเอาปริญญาเอกด้านปิโตรเคมีจากเอ็มไอที สหรัฐฯ กลับมา ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นมิติใหญ่ทางธุรกิจของตระกูล

ประมวล จบมัธยมปลายที่อัสสัมชัญ บางรัก แล้วเรียนต่อคณะวิศวะ จุฬาฯ สอบทุนโคลัมโบได้ที่ 1 แต่บังเอิญตกสัมภาษณ์จึงเบนไปเรียนปริญญาตรีมหาวิทยาลัยเบอร์กเลย์ ด้วยความที่สนใจงานปิโตรเคมีอย่างมาก เลยเรียนต่อปริญญาโทจนได้ดอกเตอร์ในที่สุด ขนาดที่ประชัยกล้าประกศแทนน้องชายว่า "เขาเป็นคนแรกที่เรียนด้านนี้"

แล้วความเป็นหนึ่งและความเป็นคนแรกของประมวลได้ทำให้เลี่ยวไพรัตน์กลายเป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ในขณะที่ยังไม่มีนักลงทุนรายใดกล้าที่จะเอาจริงกับมัน

มีวิชาอยู่กับตัวกลัวอะไร..!

เมื่อประมวลมีความรู้เรื่องปิโตรเคมีท่วมท้น จึงชวยประชัยและประทีปร่วมกันศึกษาโครงการซึ่งเป็นอุตสาหกรรมต้นตอของพลาสติกนานาชนิด และมีบทบาทต่อชีวิตประจำวันของคนเราอยู่มากทั้งยังมีแนวโน้มโตได้อีกเยอะ

สามพี่น้องเลี่ยวไพรัตน์จึงไม่รอช้า ได้ตั้งบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (ทีพีไอ) เพื่อผลิตเม็ดพลาสติกประเภทพีอีวัตถุดิบที่ใช้ทำผลิตภัณฑ์พลาสติกมากที่สุด ด้วยความเชื่อมั่นว่าอย่างไรเสียโครงการปิโตรเคมีก็ต้องเกิด

แน่ละ..โครงการปิโตรเคมีจะมีเกิดได้ ก็ต้องมีโรงงานขึ้นปลายอย่างโรงงานเม็ดพลาสติกเกิดขึ้น เพื่อเป็นตลาดรองรับวัตถุดิบเพราะโดยระบบการผลิต หากยังไม่มีโรงงานปิโตรเคมีผลิตเอทธีลีน ก็นำเข้ามาใช้ก่อนได้ โดยเฉพาะเมื่อไทยมีแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยมากพ่อที่จะใช้ในโครงการได้เขาจึงพากันสู้ถึงที่สุด

ชื่อ "ทีพีไอ" เจ้าตลาดเม็ดพลาสติกจึงเกิดขึ้นตั้งแต่นั้นมา..!

แม้ประชัยจะจบวิศวะ แต่เขามีพรสวรรค์ในเรื่องการตลาดอย่างดี กรณีบุกเบิกตลาดข้าวอัฟริกาและตะวันออกกลางที่ใครต่อใครในวงการมองว่า เสี่ยงเข้าไปอย่างบุ่มบ่ามได้อย่างไร ก็มาจากความคิดคิดของเขา ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ที่เขาจะต้องสร้างทีพีไอ ด้วยการชูธงนำตลาดอย่างอาจหาญตามบุคลิกที่เขารับมาจากพ่อ

ขณะเดียวกัน ก็มีประทีปซึ่งจบวิศวะ จุฬาฯ แล้วเรียนต่อปริญญาโทวิศวะ-อุตสาหกรรมที่มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด แล้วมารับผิดชอบโรงงานอาหารสัตว์เบทาโก-เซนทาโก ก่อนที่จะรับผิดชอบการตลาดของทีพีไอภายใต้ธงรบของประชัย

ก้าวแรกของทีพีไอจึงไปได้สวย โดยมีประชัยเป็นโต้โผใหญ่ แล้วแยกให้ประทีปดูด้านตลาด ส่วนประมวลรับผิดชอบสายการผลิตทั้งหมด

ส่วนบริษัทในเครือแห่งอื่นไม่ว่าจะเป็นบริษัท บางกอกสหประกันภัย บงล.คาเธ่ไฟแนนซืนั้นมีมาลินี ลูกคนแรกของพรคอยบริหารอยู่

มาลินีถือเป็นคนเก่งคนหนึ่ง หลังจากจบปริญญาตรีจากคณะพาณิชยศาสตร์ฯ จุฬาฯ แล้วก็เข้ารับราชการที่สำนักงานประกันภัย จนได้ทุนเรียนต่อด้านนี้ที่มหาวิทยาลัยจอร์เจีย สหรัฐ แล้วกลับมารับราชการอีกครั้งจนถึงปี 2516 จากนั้นก็ลาออกมาดูแลธุรกิจครอบครัว โดยเป็นกรรมการผู้จัดการที่บริษัท บางกอกสหประกันภัย และต่อมาก็ได้รับเลือกเป็นนายกสมาคมประกันวินาศภัยหญิงคนแรกของไทย

เมื่อกระจายงานกันรับผิดชอบกันได้อย่างนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง..!

ประชัยมั่นใจมากในการลงเสาเข็มสร้างโรงงานเม็ดพลาสติกแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ด้วยกำลังการผลิต 65,000 ตันต่อปี ซึ่งเริ่มผลิตเม็ดแรกได้ในปี 2525 ด้วยเทคโนโลยีของ IMHAUSEN แห่งเยอรมัน ใช้เงินลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยกู้จาก KFW บริษัทเงินทุนเพื่อการพัฒนาของรัฐบาลเยอรมันตะวันตก

ทีพีไอเริ่มก้าวอย่างหนักแน่น ดังที่ประชัยเชื่อมั่นว่า มีตลาดใหญ่คอยรองรับเม็ดพลาสติกพีอี ซึ่งเดิมไทยต้องนำเข้าจากญี่ปุ่นเป็นหลัก

"ตลาดจะยอมรับเรามากแค่ไหน อยู่ที่ฝีมือ (ทั้งการผลิตและการตลาด) มากว่าแหล่งข่าวที่รู้จักทีพีไอดีกล่าว "ที่ผ่านมาประชัยเชื่อว่าตัวเองคาดการณ์ไม่ผิด และผ่านขวากหนามในเวทีธุรกิจมาพอตัว"

ตังตัวอย่างที่เห็นได้ชัดจากกรณีการประมูลขายข้าวลอตใหญ่ได้ติติ่กันหลายปี หรือเป็นคนต้นคิดเสี่ยงขายข้าวในแถบประเทศตะวันออกกลางตั้งแต่ช่วงปี 2522 จนเข้ามาบริหารธนาพรชัยอย่างเต็มที่ หรือแม้แต่การกู้เงินแบงก์ในการสร้างโรงงานเม็ดพลาสติกแล้วถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย จนต้องร่อนจดหมายไปทั่วโลกกว่า 60 ฉบับ กระทั่งได้รับแรงหนุนจาก KFW เพราะเขาเชื่อว่าอุตสาหกรรมนี้มีอนาคต ขณะที่ตนก็ต้องการขายเทคโนโลยี จนตอนหลังทีพีไอได้กลายเป็นลูกหนี้รายใหญ่เครดิตดีของ KFW เมื่อเป็นที่ประจักษ์ว่าโครงการไปได้ดี

โดยเฉพาะการที่ทีพีไอเป็นรายแรกและรายเดียวที่ผลิตเมล็ดพลสติกพีอีในขณะนั้น ภาพของการ "ผูกขาด" จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ติดตัวทีพีไอไปด้วย

ที่ประชัยแน่ใจยิ่งกว่านั้น คือ "เมื่อกล้า แล้วยังลงทุนขนาดใหญ่ และไม่มีนโยบายแข่งกับลูกค้าโดยทีพีไอเลือกลงทุนในอุตสาหกรรมพื้นฐาน หรือลงลึกในธุรกิจนั้น จะเห็นว่าทีพีไอจะไม่ผลิตสินค้าพลาสติกแข่งกับลูกค้า จะผลิตแต่เม็ดพลาสติกเป็นวัตถุดิบให้ลูกค้าเท่านั้น มิฉะนั้นก็จะสร้างความเหลื่อมล้ำในการซื้อขาย" แหล่งข่าวใกล้ชิดทีพีไอยืนยันถึงจุดยืนทางธุรกิจที่คงมาถึงทุกวันนี้ เฉกเช่นการค้าข้าวที่เป็นสินค้าเกษตรขั้นต้นสำคัญในรุ่นแรก ยุคแรกของ "เลี่ยวไพรัตน์"

สำหรับทีพีไอถือเป็นธุรกิจรุ่นที่ 2 คือจากพ่อมาสู่ลูกคือประชัย และเป็นยุคที่ 2 ของธุรกิจภายใต้ชื่อทีพีไอ เจ้าเม็ดพลาสติกที่โด่งดังไปทั่วทุกสารทิศ

จะต่างกันก็แต่ธุรกิจยุคทีพีไอมีปัจจัยของเทคโนโลยีเข้าเสริมให้กลยุทธ์กล้า-ใหญ่-ลึกแข็งแกร่งยิ่งขึ้นตามความจำเป็นของอุตสาหกรรม..!

ที่ว่าเทคโนโลยีเป็นปัจจัยเสริม เพราะสมัยก่อนโรงงานพลาสติกของไทยส่วนใหญ่เป็นโรงงานเล็กเก่า การพัฒนาอุตสาหกรรมไม่ใช่ว่ามีเทคโนโลยีดีแล้วจะไปได้ดีในตลาดนี้ทันที ในขณะที่ลูกค้ายังใช้เครื่องมืออุปกรณ์ที่มีอายุการใช้นาน ๆ ขนาดที่ปั๊มแม่พิมพ์แล้วมีเสียงเอี๊ยดอ๊าด เม็ดพลาสติกที่ผลิตออกมาก็ต้องปรับให้สอดคล้องกับเครื่องมือที่ลูกค้าใช้อยู่ แล้วค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนกันไป

"ไม่ใช่ว่าเทคโนโลยีสูง ๆ มุ่งคุณภาพดีเลิศแล้วจะใช้ได้ บางครั้งทำเอาเครื่องจักรพังก็มีเนื่องจากพลาสติกเป็นสินค้าที่ไวในเรื่องคุณภาพมาก เครื่องจักรที่คุ้นเคยกับเม็ดพลาสติกคุณภาพใด ถ้าเพี้ยนไปเพียงนิดเดียว ก็ใช้ไม่ได้แล้ว" แหล่งข่าวระดับสูงเครือทีพีไอกล่าวถึงเหตุผลที่ให้เทคโนโลยีเป็นแค่ปัจจัยเสริม

"เทคโนโลยีซื้อได้ แต่ไม่ใช่เอาเข้ามาแล้วจะใช้ได้ทันที ปรับโน่นปรับนี่กันเยอะกว่าจะลงตัวจนทำให้ลูกค้าพากันบ่นอุบในตอนแรกว่า คุณภาพไม่ดีบ้าง สู้ของญี่ปุ่นไม่ได้บ้าง หรือสินค้าดี แต่ใช้กับเครื่องจักรที่มีอยู่ไม่ได้"

ว่าไปแล้ว การเกิดของทีพีไอ ด้านหนึ่งก็เป็นแรงผลักดันสำคัญให้อุตสาหกรรมพลาสติกต้องเร่งพัฒนาตัวเองมากขึ้น แม้อีกด้านหนึ่งจะถูกมองว่าผูกขาด เห็นแก่ได้ มุ่งแต่กำไรก็ตามที

นอกจากสามพี่น้อง "เลี่ยวไพรัตน์" แล้ว ยังมีแกนหลักสำคัญอย่างมังกร เกรียงวัฒนา มือโปรดูแลการเงินของทีพีไอ

เนื่องจาก "เกรียงวัฒนา" ถือเป็นเพื่อนเก่าแก่ประจำตระกูลอีกคนหนึ่ง เขาจึงเป็นคนใกล้ชิดที่ประชัยเชื่อใจ

จะเห็นว่า เมื่อมังกรจบจากอัสสัมชัญ ได้ปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์บัณฑิต และการบริการการเงินจากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ สหรัฐฯ แล้วก็เข้าทำงานตั้งแต่ช่วงก่อตั้งทีพีไอในปี 2521 จนปัจจุบันอยู่ในตำแหน่งกรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้วยวัยเพียง 40 ปี

ลูกหม้อเก่าอีกคนหนึ่งที่ร่วมลุยตลาดตั้งแต่แรก ๆ คือ ประสิทธิ์ ชาญสิทธิโชค ซึ่งมีภรรยาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับประชัย คอยดูแลการปฏิบัติงานด้านตลาดทั้งหมดในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาด

คณะทำงานที่เป็นแกนหลักของทีพีไอจึงล้วนแล้วแต่มาจากสายสัมพันธ์ญาติมิตร "เลี่ยวไพรัตน์" เพราะถือว่าจะเชื่อใจกันได้มากกว่าตามสไตล์การบริหารสมัยก่อน แหล่งข่าวระดับสูงเครือทีพีไอชี้ถึงคนที่เป็นกลไกสำคัญของที่นี่ โดยมีประชัยเป็นประธานผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่จะตัดสินใจทุกอย่าง

ภาพลักษณ์ธุรกิจของทีพีไอในวันนี้จึงมาจากมันสมองของประชัยทั้งสิ้น..!

ไม่ว่าจะด้วยสไตล์ที่ดูกร้าว โผงผาง หรือคิดแล้วทำทันที จนบางครั้งผู้ร่วมงานตามแทบจะไม่ทันก็คือตัวแทนของประชัยนั่นเอง ดังที่มักกล่าวกันว่าจะดูบุคลิกองค์กรก็ให้ดูที่ผู้นำตัวจริงขององค์กรนั้น

โดยเฉพาะอาณาจักรเม็ดพลาสติกประเภทพีอีนั้น เรียกว่าอยู่ในกำมือทีพีไอ ที่ประชัยสู้ผ่านขวากหนามสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก กระทั่งช่วงที่จะสร้างโรงงาน ก็ยังถูกขู่เผาโรงงานทิ้ง เพราะภาพโรงงานเม็ดพลาสติกในตอนนั้น คือ อุตสาหกรรมนอกคอกที่ดูน่ากลัวจนแทบไม่มีใครสนใจ สุดท้ายทีพีไอก็เป็นผู้ชนะ

แต่จู่ ๆ ทีพีไอก็เล่นเอาอาณาจักรทีพีไอสั่นสะเทือน…!

ทีพีไอ..ชื่อย่อที่ละม้ายคล้ายกับทีพีไอ ซึ่งมีชื่อเต็มว่า บริษัท ไทยโพลิเอททีลิน จำกัด จะไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าบริษัทแม่ไม่ใช่ปูนใหญ่..!

นี่จึงกลายเป็นศึกใหญ่สำหรับทีพีไอ เมื่อปูนใหญ่เจ้าของปูนตราช้างที่เมื่อย่างเข้าสู่ธุรกิจใดก็เล่นเอาธุรกิจนั้นมีอันต้องผวา ได้ประกาศสร้างโรงงานเม็ดพลาสติกพีอี คือ เอชดี และแอลแอลดีพีอี อันเป็นโครงการต่อเนื่องจากวัตถุดิบ คือ เอทธีลีนจากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยของบริษัท ปิโตรเคมีแห่งชาติ จำกัด ในปริมาณ 137,000 ตันต่อปี

"อยู่ ๆ ปูนใหญ่คิดมาลงทุนเม็ดพลาสติกได้อย่างไร" ประชัยถึงกับให้สัมภาษณ์โพล่งออกมาอย่างไม่เข้าใจ

เพราะโดยภาพของปูนใหญ่นั้นมีความได้เปรียบทุกด้าน เมื่อลงทุนก็ทำครบวงจร จะเห็นว่าทำโรงปูนแล้วยังทำวัสดุก่อสร้าง ซึ่งต่างกับทีพีไอที่มองว่าการทำครบวงจรคือการแข่งกับลูกค้าโดยตรง

งานนี้เท่ากับเป็นการลูบคมทีพีไอ และเล่นเอาประชัยต้องคิดหนักเหมือนกันว่า ปูนใหญ่จะเอายังไงแน่ ก็เมื่อปูนใหญ่เคยศึกษาโครงการนี้อย่างละเอียดแล้ว พบว่าต้องลงทุนหลายพันบาท และเป็นคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่แต่เห็นว่าไม่คุ้มจึงยกเลิกไป ขณะที่ทีพีไออุตส่าห์ฝ่าฟันทุกรูปแบบให้โครงการนี้เกิดขึ้นมาจนเป็นผู้นำการผลิตเม็ดพลาสติกพีอีแต่ผู้เดียว ขณะที่ปูนใหญ่ก็เป็นผู้นำการผลิตปูนและแน่นอนว่า ต่างก็ย่อมหวงแหนอาณาจักรที่ตนบุกเบิกมาอย่างลำบาก

ที่สำคัญ คนอย่างประชัยจะไม่ปล่อยให้ใครมาเหยียบย่ำน้ำใจแน่..!

พูดกันตรง ๆ ทีพีไอไม่เคยคิดลงทุนโรงปูนจนเมื่อปูนใหญ่มาลงทุนเม็ดพลาสติกนี่แหละ เลยกลายเป็นพฤติกรรมที่คนนอกไม่เข้าใจมัน อาจจะเป็นจุดปรับของทีพีไอ แต่ไม่ถึงกับเป็นจุดเปลี่ยนอะไรใหญ่โต" แหล่งข่าวระดับสูงเครือทีพีไอกล่าวถึงเบื้องหลัง "ตอนนี้ ยังคงเป็นรุ่นที่ 2 แต่เป็นยุคธุรกิจยุคที่ 3 ของเลี่ยวไพรัตน์ ที่ประชัยจะทุ่มเททุกอย่างไปที่โรงปูน" หลังจากที่ได้แตกหน่อออกไปหลายบริษัท ทั้งที่เป็นบริษัทในเครือทีพีไอและเลี่ยวไพรัตน์ถือหุ้นมากกว่า 50 % และที่ร่วมลงทุนบางส่วน (โปรดดูตาราง "บริษัทเครือทีพีและร่วมลงทุน")

เป็นที่รู้กันว่า เกมนี้เล่นเอาประชัยเหนื่อยสาหัสหากรรจ์ทีเดียว…!

อันที่จริง ทีพีไอยอมรับว่าตอนแรกก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน เพราะไม่มีประสบการณ์ แต่ไม่สำคัญเท่าตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยในช่วงก่อนปี 2530 จนเมื่อเกิดภาวะปูนขาดแคลนอย่างชัดเจน

จนเมื่อปี 2532 บรรหาร ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมอนุมัติให้ขยายโรงปูนประชัยใช้เวลาไม่ถึงอาทิตย์ก็ตัดสินใจทำโรงปูนชนกับปูนใหญ่ ด้วยการเสนอขอส่งเสริมจากบีโอไอสร้างโรงปูนขนาด 5 ล้านตันต่อปี ตามแบบฉบับของเลี่ยวไพรัตน์ เมื่อจะลงทุนก็ทำให้ใหญ่ จนถูกวิจารณ์กันเซ็งแซ่ บรรดาโรงปูนที่มีอยู่พากันคัดค้านรวมถึงบีโอไอที่ไม่ให้การส่งเสริม เพราะเกรงว่าทีพีไอจะเอาไปเป็นข้ออ้างในการขยายกำลังการผลิตจากกระทรวงอุตสาหกรรม ขณะที่เดิมทีพีไอประกาศขออนุมัติจากโรงงานอุตสาหกรรมแค่ 2 ล้านตันต่อปี

เมื่อบีโอไอไม่ให้ส่งเสริม ประชัยก็ไม่หยุดหากยอมลงทุน 7,000 ล้านบาท จาก 5,000 ล้านบาท (ถ้าได้บีโอไอ) สร้างโรงปูนขนาด 2 ล้านตัน ไม่แต่เท่านี้โรงปูนนี้จะต้องเสร็จในปี 2535 ก่อนที่โรงใหม่รายอื่นกำหนดเสร็จในปี 2536 เพื่อเบียดตลาด ขณะที่ประชัยเห็นว่าโรงปูนไม่ได้ใช้เทคโนโลยีที่ยุ่งยาก

ดังที่ทวี บุตรสุนทรจากค่ายปูนใหญ่เคยกล่าวไว้ว่า โรงปูนไม่ใช่สินค้าไฮเทคโนโลยี แต่อาศัยต้นทุนสูง ขนาดโรงงานจะต้องไม่น้อยกว่า 1.5 ล้านตันต่อปีจึงคุ้มต่อการลงทุน และใช้เงินไม่น้อยกว่า 4,000 ล้านบาท

เขาจึงเดินหน้าสร้างโรงปูนอย่างเด็ดเดี่ยวและฉับไว โดยเริ่มปรับข่ายการตลาดของทีพีไอ ตั้งบริษัททีพีไอ โพลี จำกัด ขึ้นมารับซื้อสายการผลิตเม็ดพลาสติกแอลดีจากทีพีไอทั้งหมด รวมถึงสิทธิประโยชน์ที่จะได้จากบีโอไอด้วย

"การย้ายการผลิตแอลดีมาอยู่ที่ทีพีไอ โพลี เพราะแอลดีเป็นส่วนที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด เมื่อเรารับอนุญาตให้ตั้งโรงปูน ก็รวมกิจการแอลดีกับทีพีไอ โพลีกล่าวถึงความจำเป็นที่ต้องควบกิจการที่เป็นคนละสายเข้าด้วยกัน

ทำให้ทีพีไอไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์ แต่อาศัยฐานกำไรจากการขายแอลดีมาเป็น CASH COW ก่อนที่โรงปูนจะคุ้มทุนในอีก 5-6 ปีหลังจากที่เริ่มผลิต ขณะที่พีทีไอที่ดูแลสายการผลิตเอชดีก็ยังมีกำไร แม้จะลดลงก็ตาม

จะเห็นว่า จากเดิมที่ทีพีไอเคยมีกำไรเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาทตั้งแต่ปี 2528 เป็นต้นมา และบางปีสูงถึงร่วม 1,000 ล้านบาท เมื่อแยกสายการผลิตแอลดีไปอยู่กับทีพีไอ โพลีนแล้ว ก็ยังคงมีกำไรปีละ 200-300 ล้านบาท

ขณะที่ทีพีไอ โพลีนเลือกเทคโนโลยี KRUPP POLYSIUS แห่งเยอรมนี เพราะมีความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีต่อกันตั้งแต่สมัยสร้างโรงงานทีพีไอ ทำให้สะดวกด้วยประการทั้งปวง

นี่เป็นเพียงการเตรียมความพร้อมด้านการผลิตและโครงสร้างการบริหารสำหรับโรงปูน ขณะที่ประชัยต้องไล่กวดตามเวลาเพื่อสร้างโรงปูนชนิดหามรุ่งหามค่ำ เพื่อให้เสร็จเร็วที่สุด พร้อมที่สุดที่จะเข้าช่วงชิงกันในตลาด ถึงขนาดที่ยอมให้โครงการผลิตเม็ดพลาสติกเอบีเอสในตอนนั้นล่าช้าออกไป ทั้งที่ประชัยให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะจะทำให้ทีพีไอเป็นผู้น้ำเม็ดพลาสติกที่ใช้ทำชิ้นงานที่ต้องการคุณภาพสูงประเภทชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์

ทั้งนี้ ประชัยได้ให้โกศล เพื่อนที่รู้จักผ่านทางภรรยามารับผิดชอบทีพีไอ โพลีน โกศลเคยเป็นอธิบดีกรมการเมือง กระทรวงการต่างประเทศ เคยเป็นเอกอัครราชทูตประจำตุรกี เวียดนาม จีน เยอรมัน เคยเป็นรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศและที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรีสมัยนายกชาติชายในปี 2532 กระทั่งมาลุยงานที่นี่เต็มที่เมื่อเกษียณในปี 2533

ขณะเดียวกัน ก็มีอมร จันทรวิมล ซึ่งประชัยรู้จักมานาน เขาจบเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วไปต่อ M.B.A>CALPOLY,POMONA CALIFORNIA สหรัฐฯ จากนั้นก็ทำงานอยู่กับกลุ่มคาร์กิลล์ประเทศไทยถึง 14 ปี แล้วมาเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดปูนของทีพีไอ โพลีน

แต่การตัดสินใจสำคัญหรือที่ดูแหนวกแนวแต่ละครั้ง ยังคงมาจากหัวเรือใหญ่ที่ชื่อประชัย

ประชัยยอมรับว่า "ไม่เคยเหนื่อยอย่างนี้มาก่อน" กับการที่ต้องมาทำโรงปูนด้วยภาพที่สะท้อนถึงแรงบีบต่อทีพีไอที่ฝ่าเข้าสู่ตลาดปูน (โปรดอ่านล้อมกรอบ "ชนปูนใหญ่ ประกาศศักดิ์ศรีทีพีไอ")

ไม่ว่าจะต้องถางขวากหนามกันอย่างหนักหน่วงขนาดไหน ประชัยยังคงยืนยันถึงจุดยืนของกลุ่มว่าจะไม่ลงสู่อุตสาหกรรมขั้นปลาย สำหรับอุตสาหกรรมปูนก็เช่นกัน ก็จะทำแค่โรงปูนและคอนกรีต ไม่ถึงขั้นทำเสาเข็ม "เราไม่กินเรียบเหมือนปูนใหญ่"

ที่ทำให้ทีพีไอโตมาได้จนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการค้าข้าว อุตสาหกรรมเม็ดพลาสติกหรืออุตสาหกรรมปูน ก็ด้วย 3 หลักใหญ่เหมือนเดิม คือ กล้า-ใหญ่-ลึก ส่วนเทคโนโลยี ไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาด เพราะจะขึ้นอยู่กับสภาพแต่ละอุตสาหกรรม

ประชัยมั่นใจว่าหลักอันนี้จะทำให้ทีพีไอเติบโตอย่างสมบูรณ์แบบในอีก 6 ปีข้างหน้าเมื่อถึงวันที่ 9 เดือน 9 ปี 1999 อันเป็นฤกษ์งามยามดีที่ประชัยเคยประกาศไว้กับพนักงานครั้งหนึ่งว่า วันนั้น ทุกโครงการจะเสร็จเรียบร้อย ซึ่งหมายถึงการที่ทีพีไอจะเป็นเจ้าของและหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทต่าง ๆ มากขึ้นด้วย

ประชัยยังควงอาวุธ 3+1 ไปสู่ความยิ่งใหญ่ตามฤกษ์ที่วางไว้

คงต้องติดตามฉากต่อไปว่า เลี่ยวไพรัตน์ แห่งทีพีไอจะก้าวย่างไปได้อย่างงดงามหรือไม่..?



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.