|
ทริสคงเรตติ้งKTCที่BBB+ ชี้ผู้ถือใหญ่-ฐานเงินทุนยังแกร่ง
ASTV ผู้จัดการรายวัน(19 พฤษภาคม 2553)
กลับสู่หน้าหลัก
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) คงเดิมที่ระดับ "BBB+" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มีความสามารถและระบบการดำเนินงาน ที่มีประสิทธิภาพซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถดำรงสถานภาพผู้นำในธุรกิจบัตร เครดิต ในการให้อันดับเครดิตดังกล่าวยังพิจารณาถึงการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากผู้ ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทคือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่ถือหุ้นในสัดส่วน 49.45% ด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรง ตลอดจนปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน และความเสี่ยงด้านกฎระเบียบของทางการซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการขยายตัวของสิน เชื่อ รวมถึงคุณภาพสินทรัพย์ และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคต
ขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนด้านการเงินและการ ดำเนินธุรกิจอย่างเต็มที่จากธนาคารกรุงไทยต่อไป นอกจากนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความสามารถของบริษัทในการระดมทุนในตลาดทุน รวมถึงการบรรลุแผนระดมทุนจากสถาบันการเงินภายนอกเครือข่ายหลายแห่ง และยังคงดำเนินนโยบายด้านสินเชื่อที่เข้มงวดต่อไป อย่างไรก็ตาม หากผลประกอบการของบริษัทถดถอยลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญก็อาจ ส่งผลกระทบในทางลบต่ออันดับเครดิตได้
อย่างไรก็ตาม บริษัทบัตรกรุงไทยไม่น่าจะมีปัญหาสภาพคล่องในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าเว้นแต่บริษัทจะมีการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วโดยใช้เงินทุนจำนวน มากจากแหล่งเงินทุนที่อ่อนไหวต่อความเชื่อมั่น ทั้งนี้ บริษัทสามารถระดมทุนโดยการออกหุ้นกู้จำนวนทั้งสิ้น 18 ,200 ล้านบาทในช่วงเดือนพฤษภาคม-ธันวาคม 2552 และได้นำส่วนหนึ่งของเงินที่ได้ไปใช้ชำระคืนหนี้ตั๋วเงินระยะสั้น ณ เดือนมีนาคม 2553 แหล่งเงินทุนของบริษัทเป็นเงินกู้จากสถาบันการเงินและเงินจากการออกตราสาร หนี้ โดยการก่อหนี้เกือบทั้งหมดเป็นหนี้ระยะยาว
ทั้งนี้ บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 395 ล้านบาทในปี 2552 ซึ่งลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ 617 ล้านบาทในปี 2551 อันเนื่องมาจากหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนนโยบายทาง บัญชีเป็นสำคัญ โดยผลกำไรที่สูงในปี 2551 ส่วนหนึ่งมาจากรายได้พิเศษจำนวน 114 ล้านบาทจาก VISA Inc. บริษัทมีการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นเป็น 5 ,604 ล้านบาทในปี 2552 โดยเพิ่มขึ้นจาก 3 ,288 ล้านบาทในปี 2551 และ 2,539 ล้านบาทในปี 2550 บริษัทมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยและอัตราส่วนผลตอบแทนต่อ ส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยที่ -0.77% และ -6.11% ในปี 2552 โดยลดลงจาก 1.3% และ 9.8% ในปี 2551 ตามลำดับ การแข่งขันที่รุนแรงจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่และนโยบายการตั้งสำรองค่าเผื่อ หนี้สงสัยจะสูญที่เข้มงวดขึ้นจะยังคงกดดันความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ต่อไป
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัทบัตรกรุงไทยยังคงสามารถรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิตได้อย่างต่อ เนื่องด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดของจำนวนบัตรที่ 12.2% ณ เดือนธันวาคม 2552 ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 12.7% ณ เดือนธันวาคม 2551 และเพื่อจะลดระดับการถดถอยของคุณภาพสินทรัพย์ที่มีโอกาสจะเพิ่มสูงขึ้น ผู้บริหารของบริษัทจึงได้ดำเนินมาตรการป้องกันหลายประการในปี 2551 ได้แก่ การใช้เกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อและนโยบายการจัดเก็บหนี้ที่เข้มงวดขึ้น และมีแผนในการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรในกลุ่มลูกค้าระดับบนมากขึ้น
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|