ปฏิกิริยาจากท่านผู้อ่าน
“ผู้จัดการ” ดีใจเป็นอย่างมากที่ได้รับทั้งจดหมายและโทรศัพท์เข้ามาแสดงความเห็นเรื่อง
เกษม จาติกวณิช ที่เราว่า “เขาเหมาะเป็นนายกฯ ที่สุด” รวมทั้งคณะรัฐมนตรีในฝันที่เราได้ตีพิมพ์ออกไปเมื่อเดือนที่แล้ว
มีจดหมายเข้ามาหาเรา 82 ฉบับ และโทรศัพท์อีกประมาณ 40 กว่าราย ส่วนใหญ่จะเห็นด้วยกับ
CHOICE ของเรา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เกษม จาติกวณิช” ได้รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้น
ยกเว้นเพียง 2 ท่านเท่านั้นที่บอกมาว่า “เป็นใครก็ได้แต่ขอให้เปลี่ยนเสียทีเถอะ”
ทุกท่านที่ออกความเห็นมาเห็นพ้องต้องกันว่า ประเทศไทยควรจะถูกบริหารด้วยมืออาชีพมากกว่านักการเมือง
หรือนักการทหาร
แต่กว่าครึ่งก็ยังสงสัยว่าจะไปได้แค่ไหน? ถ้าระบบราชการยังคงเป็นเช่นนี้
เกือบ 80% ที่ส่งจดหมายเข้ามามีความรู้สึกที่เลวร้ายกับระบบราชการและประมาณ
30% ประณามและกล่าวหาว่าข้าราชการไทย คืออุปสรรคสำคัญที่สุดที่ทำให้ประเทศชาติเลวร้ายลง
ผู้อ่านที่ส่งจดหมายเข้ามาเกือบ 40% ยอมรับว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดถึง เกษม
จาติกวณิช ว่าจะเป็นนายกฯ ได้ แต่พอมีคนเตือนความจำก็เห็นด้วย 100%
ส่วนคณะรัฐมนตรีในฝันนั้น บุคคลที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคือ ดร.อำนวย
วีรวรรณ (มีอยู่ 5 ท่านเสียดายว่าไม่น่าจะไปเป็นมือปืนรับจ้างของชาตรี โสภณพานิช-“เสียศักดิ์ศรีหมด-ภาพพจน์ธนาคารกรุงเทพเลวเกินกว่าที่
ดร.อำนวย วีรวรรณ จะเข้าไปเป็นผู้นำ” ฯลฯ)
จรัส ชูโต ณรงค์ ศรีสอ้าน จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา
ที่ไม่ได้รับการยอมรับนั้นเป็นเพราะผู้อ่านที่ตอบกลับมาส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้จัก
เช่น วิโรจน์ ภู่ตระกูล ดร.อาชว์ เตาลานนท์ ฯลฯ
มีอยู่ 5 ท่านถามมาว่า “บุญชู โรจนเสถียร หายไปไหน”
มีอยู่ท่านหนึ่งโทรศัพท์มา บุญชู โรจนเสถียร น่าจะถูกตั้งให้เป็นรองนายกฯ
เฉพาะกิจ นั่นคือรับงานที่เป็นปัญหาเป็นชิ้นๆ ไปและนำไปแก้
โดยสรุปแล้วทุกคนยอมรับว่าถ้าประเทศเราให้นักบริการมืออาชีพได้บริหารแล้วอนาคตจะไปได้ไกลกว่านี้อีกมาก
หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าการจะมีคณะรัฐบาลเช่นนี้ได้ก็ต้องไม่มีระบบการเมืองเช่นที่เป็นไปแบบปัจจุบัน
มีอีกหลายคนก็ให้ความเห็นว่าประชาธิปไตยแบบเกาหลี ไต้หวัน และสิงคโปร์คือ
สิ่งที่เหมาะสมกับบ้านเรา
ส่วน “ผู้จัดการ” มีความเห็นว่า เราจะพยายามเสนอสิ่งใหม่ๆ ที่เป็นเรื่องท้าทายความคิดให้กับท่านผู้อ่านตลอดไป
เท่าที่เราสามารถจะทำได้
และเราดีใจที่ข้อเสนอของเราได้รับการถกเถียงในหลายวงการ
รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายพาณิชย์และการคลัง
ดร.อำนวย วีรวรรณ
ถ้าพูดถึงบุคลากรที่มีคุณภาพซึ่งผ่านทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชนมาอย่างโชกโชนแล้วก็คงจะหาคนแบบ
อำนวย วีรวรรณ ได้ยาก
“ผู้จัดการ” เคยลงเรื่องของอำนวย วีรวรรณ มาแล้วครั้งหนึ่งในฉบับเดือนสิงหาคม
พ.ศ.2526
อำนวย วีรวรรณ จัดได้ว่าเป็นนักบริหารมืออาชีพชั้นแนวหน้าคนหนึ่งของเมืองไทยที่มีอยู่ไม่กี่คนในทุกวันนี้
โดยการศึกษาแล้วเขาเรียนมาทางการบริหาร
โดยอาชีพการงานแล้วเขาเป็นคนหนึ่งในการสร้างระบบราชการต่างๆ ในด้านการคลังของประเทศมาเป็นเวลา 20 กว่าปี
บทบาทด้านหนึ่งในช่วงแรกของชีวิต คือความเป็นคนที่รับผิดชอบในการสร้างโครงสร้างของการลงทุนที่ได้รับการส่งเสริมโดยเป็นเลขาธิการ
BOI คนแรก
จากการที่ได้เริ่มงานในกรมบัญชีกลางและกรมศุลกากร ในฐานะอธิบดีตลอดจนเป็นปลัดกระทรวงการคลัง
และในที่สุดเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำให้อำนวย วีรวรรณ เป็นคนที่เข้าถึงเส้นสนกลในของระบบการเงินการคลังได้ดีเยี่ยม
ตลอดจนโครงสร้างของภาษีที่กำลังฆ่านักธุรกิจและคนระดับกลางอยู่ทุกวันนี้
ช่วงหลังของชีวิตเขาได้ข้ามรั้วมาอยู่อีกฝ่ายหนึ่งคือ ภาคเอกชน
ในบทบาทฐานะของประธานกลุ่มบริษัทสหยูเนี่ยน ทำให้อำนวยต้องมองออกไปนอกประเทศในเรื่องการค้าขาย
ขอบข่ายงานของสหยูเนี่ยนที่ค้าทั้งในและนอกประเทศ ทำให้อำนวย วีรวรรณ เข้าใจถึงโครงสร้าง
ปัญหา และอุปสรรคในการค้าขายของธุรกิจ
และในบทบาทของประธานกรรมการบริหารของธนาคารกรุงเทพ อำนวยก็มานั่งอีกฝั่งหนึ่งของวงการธุรกิจคือ
เป็นผู้จัดสรรเงินและทุนให้กับธุรกิจและผู้ประกอบการ
จากบทบาทใหม่อันนี้ทำให้ อำนวย วีรวรรณ รู้ลึกลงไปถึงวงจรต่างๆ ที่ตัวเองอาจจะไม่เคยเรียนรู้เมื่อสมัยที่อยู่ภาครัฐบาล
และสมัยที่อยู่ในฐานะพ่อค้าที่ต้องกู้เงิน
การเงินการคลังและการพาณิชยกรรมเป็นของที่อยู่ควบคู่กันไปตลอด เพราะมันเกี่ยวพันถึงการลงทุน
การหมุนเวียนของเงินในวงจรธุรกิจการค้า การเก็บภาษีจากธุรกิจการค้ามาใช้จ่ายและการกู้เงินเพื่อพัฒนาปรับปรุงในการผลิตดีขึ้นเพื่อให้การค้าดีขึ้น
เพื่อให้เก็บภาษีดีขึ้นและเพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น
ตำแหน่งนี้จึงเหมาะกับคนที่ชื่อ อำนวย วีรวรรณ อย่างที่สุด
รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และคมนาคม
จรัส ชูโต
จรัส ชูโต ไม่เคยเกี่ยวข้องกับการเมืองมาแม้แต่น้อย แต่จรัส ชูโต มักจะถูกการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอในสมัยที่บริหารอยู่ที่เครือซิเมนต์ไทย
ในชีวิตของจรัส ชูโต เกี่ยวพันอยู่ 3 ประการคือ
1. การพัฒนาคน
2.
3. การผลิตที่มีประสิทธิภาพในต้นทุนที่ต่ำที่สุดแต่ได้คุณภาพที่สูงที่สุด
4.
5. การบริหารและขนส่งที่มีขอบข่ายกว้างขวางเพื่อสนับสนุนเอเย่นต์ของเครือซิเมนต์ไทย
6.
3 ข้อข้างต้นนี้เป็นเอกลักษณ์พิเศษของจรัส ชูโต ที่ทำให้เขาเด่นมากในเรื่องการบริหาร
สินค้าอุตสาหกรรมของไทยเราเป็นสินค้าที่ขาดในด้านคุณภาพอย่างมากๆ และนอกจากนั้นแล้วต้นทุนก็ยังสูง
ส่วนสินค้าทางเกษตรกรรมนั้นก็เช่นเดียวกับอุตสาหกรรม กล่าวคือผลผลิตต่อไร่ยังต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น และต้นทุนก็มักจะสูงกว่าคนอื่นมาก
ส่วนขอบข่ายของการคมนาคมนั้นยังไม่สามารถจะตอบสนองความต้องการของประเทศชาติได้ในแง่ของการเป็น
LOGISTIC SUPPORT ให้กับสังคมอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และพาณิชยกรรม
อีกประการหนึ่ง AGRO-INDUSTRY ของบ้านเรากำลังอยู่ในขั้นของการเริ่มต้น
ทั้ง 3 ประการนี้ต้องอาศัยคุณสมบัติพิเศษของจรัส ชูโต เข้ามาช่วยในการวางแผน
จัดการ และประสานงานเพื่อให้เป็นประโยชน์อย่างมากที่สุด
หรือพูดในลักษณะของรูปธรรมว่า เราต้องสามารถผลิตสินค้าอุตสาหกรรมในราคาต้นทุนที่ต่ำที่สุด
ด้วยคุณภาพที่สูงที่สุด เพื่อสามารถไปแข่งขันในตลาดโลกได้
ส่วนสินค้าเกษตรกรรมนั้นก็ต้องมีผลผลิตต่อไร่ที่ดีกว่านี้ รวมทั้งการควบคุมคุณภาพและราคาที่ต้องยุติธรรมต่อชาวไร่ชาวนา
ทั้งหมดนี้เราต้องการคุณสมบัติของจรัส ชูโต มาช่วยดำเนินการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการวางแผนระยะยาวในอนาคต
รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
พลโทชวลิต ยงใจยุทธ
ตำแหน่งนี้ถูกตั้งขึ้นมาโดยยอมรับสภาพข้อเท็จจริงว่าทหารจะต้องมีบทบาทอยู่ในประเทศนี้อย่างแน่นอน
บางคนอาจจะมองว่าตำแหน่งนี้ คือตำแหน่งที่จะทำให้ทหารไม่คิดขึ้นมาเป็นนายกฯ ถ้ามอบหมายงานด้านความมั่นคงทั้งภายในและภายนอกประเทศให้ทั้งหมด
สำหรับเหตุผลและข้อเท็จจริงในการมีตำแหน่งนี้ขึ้นมานั้นเราได้ให้ไปแล้วใน
“ผู้จัดการ” ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ เราก็จะไม่พูดต่อไปอีก เพียงแต่จะชี้ให้เห็นว่าลักษณะของทหารนั้นต่างกับตำรวจตรงที่
“ทหารนั้นนายหาเลี้ยงลูกน้อง แต่ตำรวจต้องให้ลูกน้องหาเลี้ยงนาย”
ฉะนั้นการเอาทหารมาคุมมหาดไทยนั้นเราเชื่อว่าการกดขี่ข่มเหงราษฎรจะน้อยลงมาก
แต่ก็อาจจะต้องแลกกับสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานบางประการที่จะต้องหมดไป
ตำแหน่งนี้เรามอบให้กับพลโทชวลิต ยงใจยุทธ ด้วยเหตุผลที่ทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพในจำนวนที่น้อยมากที่มีความเข้าใจเศรษฐกิจการเมืองอย่างลึกซึ้ง
นอกจากนั้นแล้วพลโทชวลิตยังเป็นนายกฯ ทหารที่เชี่ยวชาญการวางแผนอย่างหาตัวจับได้ยาก
ในภาวะที่ประเทศชาติมีความผันผวนทางเศรษฐกิจมากๆ เช่นนี้ ปัญหาความเดือดร้อนจะมีอยู่สองลักษณะ
ลักษณะหนึ่งคือความเดือดร้อนเดี่ยวหรือเป็นความเดือดร้อนของการไม่พอใจในบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ยืนยาว แต่จะถูกสื่อมวลชนกระพือจนดูว่าเป็นความเดือดร้อนทุกย่อมหญ้า
อีกลักษณะหนึ่งคือความเดือดร้อนแท้ ที่เป็นโรคร้ายเกาะกินสังคมไทยมานานแล้ว
เช่นความแตกต่างระหว่างรายได้ของคนไทย หรือปัญหาราคาพืชไร่ที่อยู่กับการกำหนดของพ่อค้าใหม่ที่จะต้องได้รับการหนุนหลังจากธนาคารพาณิชย์ของบรรดากลุ่มตระกูลต่างๆ
หรือปัญหาของการแบกรับภาษีที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างคนรวย คนชั้นกลาง กับคนจน
ที่คนชั้นกลางจะต้องแบกหนักที่สุด ฯลฯ
ทั้งสองปัญหานี้มักจะมีมาตรการต่างๆ ออกมาแก้อยู่เสมอและแต่ละมาตรการก็จะทำให้ปัญหา 2 ลักษณะ
ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกันและเป็นเหตุให้ทหารเข้าใขอยู่เสมอว่ามีแต่ตัวเองเท่านั้นที่จะสามารถแก้ความเดือดร้อนได้
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าจะมีมาตรการเก็บภาษีมรดกและภาษีที่ดินให้เป็นธรรม มาตรการนี้จะไม่มีผลทางตรงกับประชาชนทั่วไป
แต่จะมีผลทางอ้อมกับสังคมไทยในระยะยาวในแง่ที่จะเป็นการเปิดโอกาสให้คนที่เคยผูกขาดอะไรอยู่ในรุ่นนี้จะหมดโอกาสในรุ่นหน้า
และจะมีคนรุ่นใหม่ที่ใช้ความสามารถสร้างตัวขึ้นมา และนี่คือการทำให้คนรวย
รวยน้อยลงและทำให้คนชั้นกลางมากขึ้น
มาตรการที่ว่านี้จะกระทบกระเทือนกลุ่มผูกขาดและแหล่งผลประโยชน์มากพอที่จะทำให้อิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารประเทศ
เราคิดว่าระดับสติปัญญาของพลโทชวลิต ยงใจยุทธ มีมากพอที่จะมองปัญหานี้ออกและสามารถทำความเข้าใจกับทหารที่อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของความเดือดร้อนเทียมอันนี้
พลโทชวลิต ยงใจยุทธ อาจเป็นทหารคนหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้เรื่องระบบการเงินของประเทศอย่างมากทีเดียว
และที่สำคัญที่สุด พลโทชวลิตเป็นคนที่ฟังอย่างมากๆ และคู่สนทนาจะไม่มีวันรู้ว่าพลโทชวลิตคิดเช่นไร
นอกจากนั้นแล้วเขาเป็นคนที่ทุกคนเข้าพบได้แต่ก็จะไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรบ้าง
จุดเด่นพิเศษที่เขามีอยู่คือ ความเข้าใจในสังคมไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องสงครามลัทธิ
พลโทชวลิตจะเข้าใจฝ่ายซ้ายอย่างมากๆ จนเขาถูกสงสัยว่าเขามีเบื้องหน้าเบื้องหลังกับฝ่ายซ้าย
ซึ่งข้อสงสัยนี้บางครั้งก็ทำให้อนาคตของพลโทชวลิต ยงใจยุทธ ดูไม่แน่นอนเท่าไรนัก
โดยสรุปแล้ว ถ้าพลโทชวลิต ยงใจยุทธ เป็นรองนายกฯ ในช่วงการลดค่าเงินบาทครั้งนั้น
เขาก็จะเห็นด้วยว่าควรลดแต่เขาก็คงจะไม่เห็นด้วยว่าจะต้องลดมากถึงเพียงนั้น
เพราะพลโทชวลิตมีคุณสมบัติสุดท้ายที่ผู้นำคนอื่นในปัจจุบันแทบจะไม่มี คือ
การที่ชอบฟังความเห็นหลายๆ คนและตัดสินใจโดยไม่ต้องเชื่อคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษหรือต้องอิงผู้หนึ่งผู้ใดในการตัดสินใจ
รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายพิธีการ
พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา
ถ้าพูดถึงการติดต่อกับต่างประเทศในฐานะตัวแทนประเทศไทยของ พล.อ.อ.สิทธิ
เศวตศิลา แล้วเขาเป็นคนที่ต่างประเทศรู้จักและยอมรับอย่างมากๆ
ในภาระของนายกรัฐมนตรีที่เป็นนายกฯ ทำงานแล้ว งานพิธีการต่างๆ ควรจะต้องลดน้อยลงให้มากที่สุด
ในต่างประเทศเช่นสหรัฐอเมริกา เรามักจะเห็นจอร์จ บุช ทำหน้าที่ในพิธีการต่างๆ
ในต่างประเทศแทนเรแกน
เรแกนจะปรากฏตัวในข่าวในเรื่องของการทำงานแทบจะตลอดเวลา
อาจจะมีประเทศไทยประเทศหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่นายกรัฐมนตรีของเราต้องทำหน้าที่ตั้งแต่เลี้ยงนักมวยไปจนถึงร้องเพลงการกุศล
การจัดการเวลาที่ผิดพลาด (MISMANAGEMENT OF TIME) ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงมากในวงการจัดการ
นายกรัฐมนตรีประเทศไทยมักจะใช้เวลาเพียง 20% ทำงาน อีก 20% เอาอกเอาใจกลุ่มพลังต่างๆ
25% หาคะแนนเสียงให้กับตัวเอง และอีก 35% ออกงานพิธีต่างๆ
ถ้าตัด 35% ไปให้รองนายกฯ ฝ่ายพิธีการและอีก 20% ที่ต้องเอาใจกลุ่มพลังต่างๆ
นายกฯ บ้านเราก็จะมีเวลาทำงานถึง 75% ถึงแม้ว่าจะต้องใช้ 25% ที่เหลือในการหาเสียงให้ตัวเองก็ตาม
พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา เป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในการรับหน้าที่นี้ เพราะบทบาทของรัฐมนตรีต่างประเทศที่ตัวเองเล่นมานาน
และจากการที่เคยเป็นข้าราชการประจำมาตลอดทำให้ภาระของการออกงานในประเทศก็ดูสมศักดิ์ศรี
อีกประการหนึ่งโดยบุคลิกของ พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา นั้นก็เป็นบุคลิกที่น่ารักและมีลักษณะของผู้ใหญ่ที่น่านับถือทั้งการพูดการจาและการมีมนุษยสัมพันธ์
l