ปลายเดือนพฤษภาคมปีนี้ อัลเบิร์ต รีชแมนน์ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทโอลิมเปีย
แอนด์ยอร์ก ได้รับเกียรติครั้งยิ่งใหญ่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก เมื่อประธานาธิบดีมิคาฮิลกอร์บาชอฟแห่งสหภาพโซเยนตอนุมัติแผนการก่อสร้างอาหาคารสำนักงาน,บ้านเรือนและโรงแรมในกรุงมอสโก
ตามข้อเสนอของโอลิมเปีย แอนด์ ยอร์ก มูลค่าโครงการนี้สูงถึง 256 ล้านดอลลาร์
ซึ่งรวมถึงการก่อสร้างตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในเมืองหลวงแห่งนี้ด้วย
แต่นี่ก็หาใช่ธุรกิจทั้งหมดของรีชแมนน์ในดินแดนหลังม่านเหล็ก เพราะรีชแมนน์ยังเป็นเจ้าของบริษัทการค้า
"อะไซมุท" ที่มีสาขาอยู่ใบูดาเปาท์, บราทิสลาวาและมอสโก ถือหุ้นอยู่ในห้างสรรพสินค้า
"สกาลา" ซึ่งเป็นแชนห้างขนาดใหญ่ที่สุดในฮังการีที่มีสาขาอยู่
500 แห่งกับพนักงานอีกหลายพันคน
ตัวอัลเบิร์ตเองยังเป็นประธานสภาการค้าแคนาดา-สหภาพโซเวียตอีกด้วย และเข้าร่วมในแผนการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจเพื่อนำผู้ประกอบการรุ่นใหม่จากยุโรปตะวันออกไปฝึกอบรมทางะรำกจิที่แคนาดา
ขณะที่พี่น้องตระกูลรีชแมนน์อีก 2 คนคือราล์ฟและพอลซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัท
ต่างร่วมมือกันพลักดันธุรกิจให้รุกคืบเติบโตอย่างไม่ถูกจำกัดโดยพรมแดนทางการเมืองเช่นแต่ก่อนอีก
ทุกวันนี้รีชแมนน์ได้ชื่อว่าเป็นตระกูลนักธุรกิจทางด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีสินทรัพย์ถึง
8,000 ล้านดอลลาร์ จนติดอันดับตระกูลที่ร่ำรวยหนึ่งในสิบของโลกด้วย
รากเหง้าของรีชแมนน์นั้นมาจากครอบครัวชาวยิวที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานในแคนาดาตั้งแต่ปี
1954 ครั้นกลางทศวรรษ 1960 ก็เริ่มชิมลางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วยการเข้าซื้ออาคารราคารถูกหลายแห่งในโตรอนโตจากนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังจะล้มละลาย
แต่รีชแมนน์เริ่มีชื่อเสียงในธุรกิจแนงนี้จากการสร้างคอมเพล็กซ์ขนาดพื้นที่
5 ล้านตารางฟุตชื่อ "เฟิร์สท์ แคนาเดียน เพลส" ในโตรอนโตเมื่อปี
1975 ทั้งที่ในช่วงนั้นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและเงินเฟ้อสูงมาก
ปลายทศวรรษ 1970 รีชแมนน์ขยายธุรกิจเข้าไปในนิวยอร์ก โดยชื่อบริษัทอสังหาริมทรัพย์
"ยูริส" เป็นมูลค่า 320 ล้านดอลลาร์ ซึ่งต่อมาราคาได้ขยับขึ้นถึง
10 เท่าในช่วงทศวรรษ 1980 หลังจากนั้นรีชแมนน์ก็กว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์ไว้อีกหลายแห่ง
โดยเลือกโครงการที่ให้ผลตอบแทนสุงหรือเป็นโครการที่สามารถพัฒนาเพื่อขายต่อได้
แต่โครงการที่สร้างชื่อเสียงให้กับรีชแมนน์อย่างมากก็คือ "เวิร์ลด์
ไฟแนนเชียล เซ็นเตอร์" ในนิวยอร์กที่แล้วเสร็จเมื่อปี 1986 จนทุกวันนี้โอลิมเปียแอนด์
ยอร์กได้กลายเป็นบริษัทเจ้าที่ดินรายใหญ่ที่สุดในนิวยอร์ก มีพื้นที่อาคารสำนักงานในมือราว
24 ล้านตารางฟุต
นอกจากนั้น รีชแมนน์ยังได้จับโครงการ "แบตเตอรี ปาร์ค ซิตี้"
ในย่านธุรกิจทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ และใช้วิธีขายโครงการโดยมีทั้งรูปแบบการขายขาดและให้เช่า
เพื่อระดมทุนสำหรับทำโครงการต่อไป นักวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องต่างเชื่อว่ารีชแมนน์จะใชิ้วธีการเดียวกันนี้ในการขายโครงการ
"คานารี วอร์ฟ" อันเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป
และเป็นโครงการที่กำลังอยู่ในระหว่างก่อสร้างในปัจจุบัน
ความโดดเด่นของรีชแมนน์นั้นอยู่ที่ความริเริ่มสร้างสรรค์ทางด้านแนวคิดและการออกแบบประกอบกับ
ประสบการณ์ในการซื้อที่ดินราคาถูกและมีระบบการจัดการด้านการเงินอย่างดี ที่สำคัญรีชแมนน์ได้สร้างภาพพจน์ของการให้ความสำคัญกับการลงทุนในระยะยาว
และมีความสามารถในการดำเนินธุรกิจแขนงนี้อย่างชนิดที่คู่แข่งคาดไม่ถึงทีเดียว
ที่รีชแมนน์เลือกใช้ยุทธศาสตร์นี้ด้ก็เพราะว่ามีสายป่านเงินทุนที่ยาวมากพอ
อีกทั้งสถานภาพของการที่ไม่ได้เป็นบริษัทจดทะเบียน ได้ช่วยลดภาระความกังวลใจในเรื่องการจัดสรรเงินปันผลระยะสั้นให้กับนักลงทุน
และยังเก็บงำข้อมูลเกี่ยวกับรายได้และการดำเนินธุรกิจของตนให้เป็นความลับได้อีกด้วย
ด้วยยุทธศาสตร์การให้ความสำคัญกับการลงทุนในระยะยาว กับความเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สามารถคาดการณ์ในเรื่องเวลาได้นี่เองที่ทำให้รีชแมนน์รุกคืบสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษในปี
1979 โดยเริ่มจากการซื้อ "อิงลิช พร็อพเพอร์ตี้ คอมปะนี" เป็นมูลค่า
58 ล้านปอนด์ และขายออกไปในอีก 6 ปีถัดมาโดยได้ราคาสูงกว่าเดิมถึง 2 เท่า
และในปี 1987 ก็ได้ซื้อโครงการ "คานารี วอร์ฟ" จากนายธนาคารอเมริกัน
จี.แวร์ แทรดเวลสเตด
โครงการ "คานารี วอร์ฟ" นี้เป็นคอมเพล็กซ์ขนาด 10 ล้านตารางฟุต
ประกอบด้วยสำนักงาน, ร้านค้าปลีกและสถานพักผ่อนหย่อนใจโดยออกแบบด้วยระบบไฮ-เทค
ตั้งอยู่ริมฝังแม่น้ำเทมส์ ในด๊อคแลนด์ ห่างากลอนดอนไปทางตะวันออกราว 6 กิโลเมตร
มีมูลค่าโครงการสูงถึง 6,392 ล้านดอลลาร์ และมุ่งหมายให้เป็นย่านธุรกิจแห่งใหม่ในลอนดอน
โดยหวังลูกค้าชั้นดีอย่างเช่นบริษัทการเงินต่าง ๆ ขณะนี้อเมริกา เอ็กซ์เพรส,
เครดิต สวิสเฟิร์ส บอสตันและเท็กซาโก ได้ตอบตกลงที่จะเข้าจับจองพื้นที่สำนักงานในโครงการนี้แล้ว
แต่ปัจจัย 2 ประการที่ทำให้นักวิเคราะห์ไม่มั่นใจในโครงการ "คานารี
วอร์ฟ" ก็คือตลาดสำนักงานในลอนดอนขณะนี้กำลังตกอยู่ในภาวะซัพพลายล้นและระบบโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการขนส่งในด๊อคแลนด์ก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์
ยิ่งกว่านั้นรีชแมนน์ได้ริเริ่มจับโครงการคานารีวอร์ฟนี้ตั้งแต่ปี 1987 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะเกิดภาวะตกต่ำของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
เมื่อราคาที่ดินในด๊อคแลนด์ถีบทะยานขึ้นอย่างไม่คาดคิด และโครงการดังกล่าวก็ได้เลื่อนกำหนดวันแล้วเสร็จโครงการมา
6 เดือนแล้ว นี่ยังไม่นับรวมปัจจัยปลีกย่อยอย่างการขาดแคลนเหล็กเส้นด้วย
นอกจากโครงการ "คานารี วอร์ฟ" แล้ว รีชแมนน์ยังเข้าซื้อกิจการราว
1 ใน 3 ของ "สโตนโฮป พร็อพเพอร์ตี้" เป็นมูลค่า 137 ล้านปอนด์เมื่อราว
2 ปีก่อน และซื้อหุ้นราว 8.25% ใน "โรสเฮาก์" จากก๊อดเฟรย์ แบรดแมน
ซึ่งล้วนเป็นฐานอันสำคัญต่อการจับโรงการคอมเพล็กซ์ "รอดเกท" บริเวณสถานีรถไฟ
"ลิเวอร์พลู สตรีท" และโครงการอื่น ๆ ที่จะขึ้นในทศวรรษ 1990
ส่วนธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ในมือรีชแมนน์นั้นมีมูลค่าตกราว
9,000 ล้านดอลลาร์ แคนาดา โดยเป็นผู้ถือหุ้น 74% ใน "กัลฟ์แคนาดา รีซอร์ส"
และเป็นเจ้าของหุ้นอีก 82% ในกิจการผลิตกระดาษหนังสือพิมพ์ "อาบิทิบิ
ไพร้ส์"
ครั้นปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา รีชแมนน์ก็ประกาศว่าทิศทางของโอลิมเปีย
แอนด์ ยอร์กในอนาคตนั้นจะมุ่งไปที่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพยบ์เป็นหลัก และกำลังเตรียมขายกิจการผลิตก๊าซและน้ำมัน
"คอนซูเมอร์ส แก๊ส" ให้กับ "บริติช แก๊ส" เป็นมูลค่า
1,100 ล้านดอลลาร์ วนกิจการผลิตกระดาษหนังสือพิมพ์ "อาบิทิบิ ไพร้ส์"
ในแคนาดาอาจถูกผวนกรวมกับธุรกิจด้านป่าไม้ในเครือและโอลิมเปีย แอนด์ ยอร์กจะขายหุ้นในธุรกิจส่วนนี้ออกไปบางส่วนจากที่ถือครองอยู่
83% ในปัจจุบัน
นอกจากั้น รีชแมนนน์ยังเล็งขายหุ้นในธุรกิจส่วนนี้ออกไปบางส่วน ซึ่งคาดกันว่าจะมีมูลค่าสูงระหว่าง
200-800 ล้านดอลลาร์ โดยโครงการที่เข้าข่ายถูกโละออกไปก็มีโครงการอสังหาริมทรัพย์
เพื่อการพาณิชย์ในนิวยอร์ก บอสตัน ซานฟราน ซิสโกและเมืองใหญ่อื่นๆ อีกหลายแห่ง
ในขณะที่กรรมการผู้จดัการใหญ่ของโอลิมเปียแอนด์ ยอร์ก สหรัฐฯ ปฏิเสธข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่า
บริษัทกำลังประสบปัญหาการขาดเงินสดหมุนเวียน
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับบริาทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้าของโลกอย่างโอลิมเปีย
แอนด์ ยอร์กนี้เป็นหนึ่งในภาพสะท้อนถึงภาวะตกต่ำของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในทั่วโลกได้อย่างดี
ทั้งสอดรับกับการที่อาคารสำนักงานนับร้อยแห่งในตลดาอังกฤษและสหรัฐฯต่างถูกปล่อยทิ้งร้าง
โครงการใหม่หยุดชะงักลงอย่างทั่วหน้า ธุรกิจเช่าสำนักงานซบเซา อัตราการค้างชำระค่าเช่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อย
ๆ
"การพัททลายลงของการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้นครอบคลุมธุรกิจแขนงนี้โดยรวมและเกิดขึ้นในทุกตลาด
แต่เราก็ยังไม่ตกต่ำลงถึงระดับที่แย่ที่สุด" นักวิเคราะห์ในธุรกิจวาณิชธนกิจรายหนึ่งให้ความเห็น
และผู้เชี่ยวชาญบางรายยังคาดอีกว่า กว่าที่โครงการต่าง ๆ ในสหรัฐฯจะอิ่มตัวได้จะต้องใช้เวลาอีกถึง
8 ปีทีเดียว นี่อาจหมายความว่าทศวรรษ 1980 อันรุ่งโรจน์สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้นได้จบสิ้นลงแล้ว