|
การเมืองฉุดอสังหาฯซบเล็งเสนอรัฐฯต่อมาตการ
ASTVผู้จัดการรายวัน(26 เมษายน 2553)
กลับสู่หน้าหลัก
“บิ๊กศุภาลัย” ชี้ชุมนุมยืดเยื้อกระทบตลาดอสังหาฯ คนไม่กล้าซื้อบ้าน พร้อมปรับแผนรับมือเลื่อนเปิดโครงการใหม่ไปในช่วงปลายปี 12 โครงการรวด พร้อมโอดรัฐไม่ต่ออายุมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ แฉตลาดแนวราบปี 52 ติดลบ ส่วนที่ทำให้ตลาดโตเป็นบ้านเอื้ออาทร และคอนโดฯที่ไม่ได้ประโยชน์จากมาตรการ เดือนหน้าเตรียมรวมตัวเสนอรัฐต่ออายุมาตรการอีกรอบ
นายอธิป พีชานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการชุมนุมที่ยืดเยื้อของกลุ่มคนเสื้อแดง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง และชะลอการตัดสินใจซื้อบ้านในช่วงนี้ ดังนั้นบริษัทจึงได้ปรับแผนการดำเนินงานเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้วยการชะลอแผนการเปิดโครงการใหม่ในไตรมาส 2 ออกไป เพื่อรอให้สถานการณ์คลีคลายลงและสถานการณ์ตลาดดีขึ้น นอกจากการชะลอการเปิดโครงการใหม่ในช่วงไตรมาส 2 แล้ว ในช่วงนี้บริษัทจะหันไปเร่งขายโครงการที่มีอยู่แล้ว โดยเฉพาะโครงการที่เสร็จทันมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จะหมดอายุในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้อีกด้วย
“ตามแผนเดิมจะมีการเปิดโครงการใหม่ในไตรมาส 2 จำนวน 2-3 โครงการ โดยจะเลื่อนไปเปิดตัวในไตรมาสที่ 3-4 แทน ซึ่งทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังโดยเฉพาะไตรมาส 4 จะมีโครงการเปิดตัวใหม่รวมทั้งสิ้น 12 โครงการ จากแผนเปิดโครงการทั้งหมดในปีนี้ 14 โครงการรวมมูลค่ากว่า 1.8 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตามหากการเมืองคลีคลายและตลาดฟื้นตัวเร็วก็พร้อมที่จะเลื่อนโครงการในอนาคตมาเปิดเร็วขึ้น” นายอธิปกล่าว
ทั้งนี้หากสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่ดีขึ้นอาจจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของตลาดรวมในปีนี้ โดยคาดว่า อาจจะทรงตัวเท่ากับปีที่แล้วหรืออาจจะติดลบ เนื่องจากรัฐได้ตัดมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไปในขณะที่ตลาดยังไม่ฟื้นตัวสู่ภาวะปกติ โดยเข้าใจว่าการที่ตลาดส่งส่งออกมีอัตราการเติบโตแล้วเศรษฐกิจของประเทศจะเติบโตตาม ซึ่งในความเป็นจริงแล้วตลาดอสังหาฯมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ผู้บริโภคซื้อบ้าน โดยเฉพาะความเชื่อมั่น
“แม้ว่าตัวเลขการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมจะเติบโต 9% แต่ถ้าพิจารณาดูรายละเอียดจะพบว่า เป็นบ้านเอื้ออาทรถึง 1.7 หมื่นหน่วย ถ้าตัดบ้านเอื้ออาทรทิ้ง ตลาดรวมถือว่าใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า โดยที่คอนโดมิเนียมมีการขยายตัวสูงถึง 30% ส่วนบ้านแนวราบยังติดลบ ซึ่งคอนโดมิเนียมเป็นสินค้าที่ไม่ได้รับประโยชน์จากมาตรการเพราะซื้อวันนี้โอนไม่ทันอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงคิดว่าหากรัฐบาลถอดมาตรการออกไปจะทำให้ตลาดแย่กว่าที่เป็นอยู่” นายอธิปกล่าวและว่า ทั้งนี้ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ซึ่งมาตรการจะหมดอายุลง ภาคเอกชนจะเสนอให้รัฐทบทวนการใช้มาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง เพราะได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมือง
นายอธิป กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาสที่ 2 จนถึงไตรมาสที่ 4 นอกจากจะเปิดโครงการใหม่ๆ เพิ่มขึ้นแล้ว บริษัทจะยังขยายฐานตลาดให้กว้างขึ้น โดยการพัฒนาโครงการในต่างจังหวัดเพิ่มเติมได้แก่ ที่เชียงใหม่ และภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี จากก่อนหน้านี้ได้พัฒนาโครงการที่ภูเก็ต สงขลา ข่อนแก่นมาแล้ว
ในขณะเดียวกันจะขยายฐานบ้านในระดับบนในราคา 5-10 ล้านบาทเพิ่มขึ้น จากเดิมบริษัทจะพัฒนาโครงการในระดับราคาเฉลี่ยไม่เกิน 5 ล้านบาท โดยจะมีทั้งบ้านเดี่ยวเดี่ยว และคอนโดมิเนียม อย่างไรก็ตามแม้ว่าตลาดโดยรวมจะได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมือง แต่สำหรับบริษัทแล้วไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากมีคอนโดฯเข้ามาช่วย อีกทั้งในปัจจุบันผู้บริโภคจะหันมาซื้อบ้านจากผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีชื่อเสียงเท่านั้น จึงทำให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบในปัจจุบันมีเฉพาะผู้ประกอบการรายกลาง-รายย่อย
"บริษัทยังคงยื่นยันเป้าหมายการขายเดิมคือ 15,000 ล้านบาทในปีนี้ โดยในช่วงไตรมาสแรกสร้างยอดขายและยอดทำสัญญาแล้วเกือบ 5,000 ล้านบาท และในเดือนเมษายนคาดว่าจะมียอดขายอีก 1,000 ล้านบาทรวมเป็น 6,000 ล้านบาท อีกทั้งยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบล็กล็อค) อีกจำนวน 18,000 ล้านบาท"
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|