|

หุ้นเสี่ยงแนะถือเงินสด
ASTVผู้จัดการรายวัน(26 เมษายน 2553)
กลับสู่หน้าหลัก
โบรกฯประเมินทิศทางลงทุน ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ยังไรข้อยุติ แนะนำนักลงทุนเพิ่มการถือเงินสดเต็มตัว ไม่บุ่มบ่ามไล่ราคาหุ้น แต่ทยอยรับทีละน้อยได้ ระบุหากเกิดความรุนแรงมีสิทธิ์เห็นดัชนีร่วงต่ำกว่า 700 จุด แต่หากภาครัฐควบคุมทุกอย่างได้ มีโอกาสเห็นดัชนีรีบาวน์ขึ้นแรง ภาพรวมทั้งสัปดาห์แกว่งตัวอยู่ช่วง 736 – 784 จุด พร้อมคาดแอลทีเอฟเข้าเก็บหุ้นเพิ่ม และแนะนำมองการลงทุนในรูปแบบอื่น เช่นต่างประเทศ Set50 Futures และGold Futures ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนดีกว่า
นายจักรกริช เจริญเมธาชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ระเบิดที่สีลมว่า คงต้องแนะนำให้นักลงทุนถือเงินสด 100% เพราะประเมินว่าทางออกของสถานการณ์ทางการเมืองไทยตอนสุดท้าย ขณะนี้ดูไม่ดีมากนัก เพราะหากเกิดความรุนแรงขึ้นอีกจะทำให้ดัชนีปรับตัวลดลง
โดยมีเงื่อนไขอยู่ 2 กรณี นั่นคือ 1.หากเกิดความรุนแรงขึ้นอีก จนเกิดมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตและรัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้ ดัชนีหุ้นจะปรับตัวลดลงมาก ซึ่งอาจลดลงต่ำกว่า 700 จุดได้เหมือนเมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ดัชนีมีการปรับตัวลงแรงมาก ขณะที่เงื่อนไขที่สอง คือ หากเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้น และมีผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตเช่นกัน แต่หากรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แม้ดัชนีจะปรับลดลงแรง แต่ก็จะมีโอกาสปรับฟื้นขึ้นมา(รีบาวน์)เร็วได้เช่นกัน โดยมีโอกาสจะกลับไปถึง 820 จุด
ทั้งนี้ ในส่วนนักลงทุนที่ชื่นชอบการลงทุนแบบระยะยาว แนะนำว่ายังไม่ควรเข้ารีบเก็บหุ้นในตอนนี้ แต่ควรรอให้ดัชนีปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ระดับ 700 จุดก่อน จึงเข้าลงทุน เพราะมองว่าเป็นโอกาสดีในการสร้างผลตอบแทนมากกว่า ขณะที่ผู้ชื่นชอบการลงทุนในระยะสั้น ช่วงนี้มองว่าสามารถเข้าไปลงทุนเก็งกำไรได้ เพราะเมื่อดัชนีลงแรงก็จะมีโอกาสรีบาวน์ แต่ถ้าดัชนีซึมต่อเนื่องควรที่จะหลีกเลี่ยงมากกว่า
“ถ้าเกิดความรุนแรงขึ้น ก็มีโอกาสที่Setจะลดลงต่ำกว่า 700 จุด แต่ทางกลับกันหากแก้ไขทุกอย่างกลับมาได้ก็มีโอกาสได้เห็นดัชนีที่ 820 จุด แต่ถ้าสถานการณ์ยังคลุมเครือไม่มีข้อยุติในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนนี้เราอาจเห็นดัชนีเคลื่อนไหวแบบไซด์เวย์ระหว่าง 735 – 770 จุด”
ส่วนหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงนี้ แนะนำว่า ยังคงเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง นั่นคือ กลุ่มโรงแรม หรืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว และสายการบิน ขณะที่หุ้นในกลุ่มแบงก์เอง ก็ต้องพิจารณาด้วยเนื่องจากหากการชุมนุมยังยืดเยื้อต่อไปนาน จะมีผลกับการปล่อยสินเชื่อ เพราะเศรษฐกิจของประเทศจะหดตัว ภาคการลงทุนจะลดลงทำให้ปล่อยสินเชื่อลำบาก
สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าลงทุน มองว่ายังเป็นกลุ่มพลังงาน ที่มีปัจจัยเกี่ยวกับตลาดในต่างประเทศ เช่น PTTEP BANPU และหุ้นกลุ่มส่งออกที่มีอัตราการเติบโตดี อย่าง CPF TUF หรือการขนส่งทางทะเลอย่างTTA
อย่างไรก็ตาม ในส่วนที่มีกระแสออกมาว่าพอร์ตลงทุนของโบรกเกอร์ จะมีการปรับลดลงพอร์ตจำนวนมากเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศขณะนี้ ยอมรับว่าน่าจะเกิดขึ้น แต่ภาพรวมกับตลาดหุ้นแล้วยังเป็นส่วนเล็กน้อยของตลาด เมื่อปัจจุบันนักลงต่างประเทศเป็นผู้ลงทุนและซื่อสุทธิสูงสุด
นายกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ในสัปดาห์นี้ สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสนใจ คือการประกาศใช้กฎหมายควบคุมสถานการณ์ของภาครัฐ โดยเฉพาะด้านรายละเอียดว่ามีการเพิ่มความเข้มงวดของมาตรการควบคุมขนาดไหน หากเกิดความรุนแรงขึ้นอีก อย่างไรก็ตามแม้ช่วงนี้ดัชนีหุ้นยังอยู่ในช่วงผันผวน และมีแนวโน้มในขาลง แต่ก็นับว่าเป็นโอกาสอันดีของผู้ลงทุนที่ต้องการวางืแผนทางด้านภาษี โดยเฉพาะกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ในการเข้ามาเก็บหุ้นราคาถูกเพื่อทำกำไร เพราจะจากที่สอบถามมาผู้ลงทุนแบบนี้หลายราย สนใจเข้าไปลงทุนเพิ่มผ่านกองทุนเหล่านี้
“ช่วงนี้หากต้องแนะนำการลงทุน ขอย้ำว่าไม่ควรเข้าไปไล่หุ้นตอนกำลังขึ้นเพราะมีความเสี่ยง แต่ควรทยอยรับ เมื่อราคาหุ้นปรับตัวลงมาเช่นประมาณ 5% ของพอร์ตลงทุน และทั้งพอร์ตควรมีการลงทุนในหุ้นไม่เกิน 25%ของพอร์ตลงทุนทั้งหมด โดยในปีนี้เรายังเชื่อว่าดัชนีจะอยู่ที่ 850 จุดได้ ขณะที่P/E ตลาดปลายปีน่าจะอยู่ที่ 11 เท่า จากปัจจุบันที่ยังอยู่ประมาณ 14 – 5 เท่า”
นายธิติ ธาราสุข ประธานเจ้าหน้าที่ บริษัท ชาร์ตมาสเตอร์ จำกัด ให้ความเห็นด้านการลงทุนทางเทคนิคในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนเม.ย. และช่วงต้นเดือนพ.ค.ว่า ในทางเทคนิคนั้นดัชนีหุ้นไทย โอกาสปรับตัวลดลงถึง 667 จุดได้ในช่วง 3 เดือนจากนี้ ภาพรวมมองว่าดัชนีจะแกว่งตัวแบบไซด์เวย์ดาวน์ หรือผันผวนขึ้นลงไปมา แต่ลงไปในแดนลบมากขึ้น ไม่ค่อยเห็นโอกาสในการสร้างจุดHigh ใหม่ แม้จะมีการรีบาวน์ขึ้นมาบ้างในบางช่วง แต่ก็จะมีการสร้างLow ใหม่ขึ้นมาให้เห็น
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ คือการระบายพอร์ต หรือขายออกมาแต่ไม่ควรรีบปล่อยออกมาหมด ควรเป็นแบบทยอยออกมาทีละ 1 ใน 3 ของเม็ดเงินลงทุนทั้งหมด หรือแปรสภาพกลายเป็นเงินสดถือไว้เพื่อรอดูทิศทางให้ชัดเจนก่อน อีกทั้งเวลาขายควรรอดูจังหวะให้ดี เพราะอาจเกิดการขาดทุนได้ ภาพรวมคือแนะนำการลงทุนในหลักทรัพย์
สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุน ช่วงนี้แนะนำให้มองไปที่ตลาดต่างประเทศ ตราสารหนี้ในประเทศอื่นๆ เช่นไต้หวัน ยกเว้นเกาหลีใต้ เพราะให้ผลตอบแทนต่ำ ซึ่งช่วงนี้หากนำเงินบาทไปแปลงเป็นสกุลอื่นเช่น ดอลลาร์สหรัฐและเข้าลงทุนในต่างประเทศ มองว่าน่าจะสร้างผลตอบแทนให้ได้ดีกว่า
แต่สำหรับผู้ที่ยอมรับความเสี่ยงในตลาดทุนไทยได้ แนะนำให้เข้าลงทุนเก็งกำไรในตลาดอนุพันธ์ เช่น Set50 Futures หรือ Gold Futures ไว้ส่วนหนึ่ง หรือ 1 ใน 3 ของพอร์ต และที่เหลือถือเป็นเงินสดไว้ โดยมองว่า Gold Futures มีทิศทางและโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงระยะ 2-3 เดือนนี้ หากลงทุนแบบ Short ในระยะยาว
สำหรับ บล.กสิกรไทย และบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (26-30 เม.ย.53) โดยมองว่า ดัชนีน่าจะแกว่งตัวผันผวน โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์การเมืองในประเทศ ผลประกอบการไตรมาส 1/2553 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย และการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของธปท.ในวันศุกร์
ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญ คงจะต้องติดตามความคืบหน้าของกฎหมายปฏิรูประบบสถาบันการเงินของสหรัฐฯ ผลการประชุมนโยบายดอกเบี้ยของเฟดในวันที่ 27-28 เม.ย. ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันในตลาดโลก การปรับตัวของตลาดหุ้นภูมิภาค ตลอดจนการประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2553 ของบริษัทจดทะเบียน และการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ อาทิ ตัวเลขจีดีพี (Advance) ไตรมาส 1/2553 จึงคาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 746 และ 736 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 770 และ 784 จุด ตามลำดับ
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|