ปารีบาส์ VS. มาบุญครอง แบงก์ไทย-เทศแฮปปี้ แต่ไทยพาณิชย์ซึม


นิตยสารผู้จัดการ( สิงหาคม 2529)



กลับสู่หน้าหลัก

ธนาคารปารีบาส์ เป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และมีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศต่างๆ อีกหลายประเทศ ใกล้ประเทศไทยที่สุดอยู่ที่สิงคโปร์ โดยมีเพียรีฟ-เลอเจิน (Pierre-Yves Legeune) และเทียวคิ้มเม้ง (Teow Kim Meng) เป็นผู้มีอำนาจเต็ม

มาบุญครองฯมาเกี่ยวข้องกับปารีบาส์เพราะการชักนำของทวีป ชาติ ธำรงผู้คร่ำหวอดวงการธนาคารต่างประเทศ และเคยเป็นที่ปรึกษาทางการเงินของมาบุญครอง

เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2526 มาบุญครองอบพืชและไซโลได้ทำสัญญากู้เงินจากธนาคารปารีบาส์สาขาสิงคโปร์ในวงเงิน 3 ล้านเหรียญสหรัฐ กำหนดจ่ายคืนภายใน 3 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7/8 หรือ 0.875 ต่อปี (ในกรณีล่วงเลยกำหนดเวลาชำระคืนให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1.75 บวกด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เสนอระหว่างธนาคารในสิงคโปร์ที่เรียกว่า SIBOR)

สัญญาเงินกู้ฉบับนี้ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เพียงแต่ห้ามมาบุญครองฯก่อภาวะหนี้สินใดๆ (Negative Pledge) เช่นการจำนอง จำนำ ค้ำประกันทรัพย์สินหรือสินทรัพย์ รายได้หรือสิทธิใดๆ เพื่อประกันหนี้วงเงินกู้ใดๆ โดยมิได้รับความยินยอมจากธนาคารปารีบาส์

หลังจากทำสัญญาเพียง 6 วันมาบุญครองฯก็รีบเบิกเงินก้อนดังกล่าวทั้งหมดเพียงครั้งเดียว โดยส่งเงินเข้าบัญชีของตนที่ธนาคารเชสแมนฮัตตันสาขากรุงเทพผ่านธนาคารเชสแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ค สหรัฐ

เมื่อมาบุญครองฯเริ่มมีปัญหาขาดเงินทุนหมุนเวียนสำหรับโครงการมาบุญครองคอมเพล็กซ์ เดือนธันวาคม 2528 จึงได้มีการเจรจาเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระหนี้จากการชำระครั้งเดียวมาเป็นชำระคืน 3 งวดๆ ละ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ (รวมดอกเบี้ย) โดยกำหนดว่างวดที่ 1 ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2529 งวดที่ 2 ในวันที่ 21 เมษายน 2529 และงวดที่ 3 ในวันที่ 23 มิถุนายน 2529

ครั้งถึงกำหนดมาบุญครองฯชำระเพียงเงินต้นจำนวน 5 แสนเหรียญสหรัฐสำหรับงวดแรกเท่านั้น

ส่วนดอกเบี้ยไม่ต้องพูดถึง

ปารีบาส์ได้เทเล็กซ์ทวงถาม แต่มาบุญครองฯเฉย

ประกอบกับมาบุญครองฯโดนกระหน่ำด้วยข่าวร้ายในช่วงนั้น ปารีบาส์ประเมินสถานการณ์ว่าท่าทางจะไม่ค่อยดี เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2529 จึงส่งเทเล็กซ์ขอให้มาบุญครองฯชำระเงินกู้ทั้งต้นทั้งดอกเบี้ยที่เหลือทั้งหมดก่อนกำหนดภายใน 14 วัน (ตามสัญญา) ในฐานผิดสัญญากู้เงิน

ระหว่างรอปฏิกิริยาจากมาบุญครองฯอยู่นั้น ปารีบาส์สืบทราบว่า มาบุญครองฯได้ยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนจำนองทรัพย์สินอันได้แก่อาคารศูนย์การค้ามาบุญครองฯ จำนวน 33 ชั้น ซึ่งอยู่เลขที่ 444 ถนนพญาไท เขตปทุมวัน ต่อเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตปทุมวันเพื่อประกันหนี้สินของมาบุญครองฯที่มีต่อธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกรไทยรวมเป็นเงิน 730 ล้านบาท (ตามแผน RESTRUCTURE) ซึ่งอยู่ในระหว่างการประกาศให้มีการคัดค้าน (ตามระเบียบ) และจะครบกำหนดในวันที่ 13 มิถุนายน 2529

เมื่อเจอเข้ารูปนี้ปารีบาส์จึงร้อนใจอย่างยิ่ง

ปารีบาส์ตัดสินใจดำเนินคดีฟ้องร้องมาบุญครองฯทันที

"การที่มาบุญครองฯได้ยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมจำนองดังกล่าวนั้น เป็นการแสดงให้เห็นว่ามีเจตนากระทำผิดสัญญา และยังตั้งใจจะทำการฉ้อฉลเพื่อให้ธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกสิกรไทยได้เปรียบปารีบาส์ในอันที่จะชำระหนี้เป็นพิเศษกว่าปารีบาส์ เพราะก่อนฟ้องคดีนี้ ธนาคารทั้งสองดังกล่าวต่างมีฐานะเป็นเจ้าหนี้เช่นเดียวกัน" ปารีบาส์ได้อ้างต่อศาล

ธนาคารปารีบาส์ยื่นฟ้องมาบุญครองฯเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2529 ในฐานผิดสัญญาเงินกู้ ขอให้ศาลบังคับมาบุญครองฯชำระเงินกู้ หนึ่ง-เงินต้น 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ สอง-ดอกเบี้ย 77,635.46 เหรียญสหรัฐ ทั้งสองรายการคิดเป็นเงินไทย 68,152,618.56 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันฟ้อง 1 เหรียญสหรัฐเท่ากับ 26.44 บาท) เมื่อรวมค่าธรรมเนียมต่างๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 72,052,680.30 บาท

ขณะเดียวกันปารีบาส์ได้ขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน และมีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้มาบุญครองฯจดทะเบียนจำนองศูนย์การค้าให้แก่บุคคลอื่น ทั้งขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดเงินที่จำเลยจะได้รับจากผู้เช่าร้านในศูนย์การค้ามาบุญครองฯทั้งหมดด้วย

ในวันเดียวกัน เวลา 16.00 น. ศาลได้ขึ้นบัลลังก์พิจารณาตามคำร้อง

"ตามสัญญากู้เงินกับธนาคารปารีบาส์ได้ระบุว่า มาบุญครองฯจะไม่นำทรัพย์สินไปจดจำนองกับเจ้าหนี้รายอื่น และปารีบาส์นำสืบได้ว่ามาบุญครองฯกำลังจะนำศูนย์การค้าไปจดทะเบียนจำนองไว้กับธนาคาร 2 แห่ง และเจ้าหน้าที่ได้ประกาศให้บุคคลทั่วไปทราบ ซึ่งจะครบกำหนดประกาศวันที่ 14 มิถุนายน 2529 หากมาบุญครองฯจดทะเบียนจำนองทรัพย์สินดังกล่าวย่อมเป็นเหตุให้ปารีบาส์เสียเปรียบในการที่จะบังคับชำระหนี้จากมาบุญครองฯ คำร้องของปารีบาส์จึงมีเหตุผลสมควรเพียงพอ" ผู้เข้ารับฟังการพิจารณาคดีวันนี้แปลเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย ถึงเหตุผลที่ศาสสั่งห้ามมาบุญครองฯทำนิติกรรมจดทะเบียนจำนองอาคารศูนย์การค้าไว้ชั่วคราว

แต่อย่างไรก็ตามศาลฯเห็นว่ามาบุญครองฯเป็นหนี้ปารีบาส์อยู่เพียง 72 ล้าน ส่วนตึกศูนย์การค้าที่จะจำนองนั้นมีมูลค่าประมาณ 730 ล้านบาทดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะห้ามมิให้มาบุญครองฯเพิ่มภาระการจำนองทรัพย์สินอื่น คือไซโลอบพืชซึ่งติดจำนองไว้กับเจ้าหนี้อื่นอีก 6 รายในวงเงินประมาณ 100 ล้านบาท และไม่มีความจำเป็นต้องห้ามมาบุญครองฯโอนสิทธิการเช่าร้านต่างๆ ในศูนย์การค้าและไม่จำเป็นต้องสั่งอายัดเงินค่าเช่าซึ่งผู้เช่าจะต้องชำระให้แก่จำเลย

ต่อมามาบุญครองอบพืชและไซโลได้ยื่นคำให้การสู้คดีขณะที่เขียนต้นฉบับ (23 กรกฎาคม 2529) ศาลยังมิได้นัดไต่สวนแต่อย่างใด

เป็นที่ทราบกันว่าไม่ว่าก่อนหน้านี้แบงก์ไทยแบงก์เทศต่างก็อยู่ในฐานะเดียวกันคือ ปล่อยกู้ให้มาบุญครองแบบ CLEAN LOAN ด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่ายังรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่าสัญญาเช่าที่ดิน 30 ปีระหว่างมาบุญครองฯกับจุฬาฯค้ำประกันไว้กับธนาคารไทยพาณิชย์หรือไม่ดังนั้นเหตุการณ์ครั้งนี้จึงชี้ชัดว่าไม่มี!

ถึงวันนี้บรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายโดยเฉพาะรายค่อนข้างใหญ่ จึง HAPPY เป็นที่สุด เพราะไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกันอีกแล้ว ไม่ว่าธนาคารต่างประเทศ เช่น ปารีบาส์ เชสแมนฮัตตัน หรือแบงก์อเมริกา ธนาคารไทยก็กสิกรไทย กรุงไทย เป็นต้น "เมื่อมีปัญหาจริงๆ ทุกแบงก์ก็มีสิทธิ์จะได้ส่วนแบ่งทรัพย์สินเหมือนๆกัน" ผู้อยู่ธนาคารต่างประเทศชี้

แต่ทว่างานนี้คนที่เจ็บปวดมากที่สุดคือธนาคารไทยพาณิชย์ในฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่เข้าทำนอง "หมู่เขาจะหามดันเอาคานเข้ามาสอด



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.