มาบุญครอง อนุสรณ์แห่งโชคชะตา ศิริชัย บูลกุล?


นิตยสารผู้จัดการ( สิงหาคม 2529)



กลับสู่หน้าหลัก

คนหนุ่มอายุราวๆ 40 ปีที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจ ก็ต้องนับว่ามีความสามารถ

ยิ่งถ้าคนหนุ่มคนนั้นดำเนินธุรกิจสามารถคว้ากำไรเข้ากระเป๋าอย่างเงียบๆ สัก 400-500 ล้านบาท โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วันย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา

มันเป็นเรื่องของคนเก่งระดับเซียนที่ใครๆ ได้ฟังแล้วต้องทึ่งเป็นที่สุด!!

ศิริชัย บูลกุล เขาทำมาแล้วเมื่อ 8 ปีก่อน

แต่ทว่าวันนี้เขาก็ต้องทุ่มโถมแรงกายใจ ฝ่าฝันอุปสรรคทางธุรกิจครั้งสำคัญของชีวิต เพราะเขาเกรงว่าเขาจะต้อง "ซ้ำรอยเดิม" ที่ต้องเดินทางจากเมืองไทยไปฮ่องกงเมื่อปี 2512 อีกครั้ง

ศิริชัย บูลกุลเป็นลูกชายคนสุดท้องของ มา บูลกุล ที่เกิดจากภรรยาหลวงในเมืองไทย เขาลืมตามองดูโลกในวันที่ค่อนข้างสดใส (2484) อันเป็นห้วงเวลาที่พ่อของเขากำลังประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูภาวะการค้าข้าว ในฐานะผู้จัดการบริษัทข้าวไทยของรัฐบาลที่กล้าอาสาเข้าแก้ไขวิกฤตจนลุล่วงไปได้ (โปรดอ่านล้อมกรอบเรื่อง "มา บูลกุล : พ่อที่ลูกๆ ไม่ถอดแบบ")

ศิริชัยนับเป็นคนโชคดีที่เกิดมาในยุคที่ครอบครัวอันมีจะกิน เขาเริ่มการศึกษาชั้นต้นโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน และต่อระดับมัธยมโรงเรียนเซ็นต์สตีเว่น ที่ฮ่องกงหลังจากนั้นก็บุกน้ำข้ามมหาสมุทรเรียนไฮสคูลที่บอสตัน- - วอเชสเตอร์ อาคาเดมี่ สหรัฐอเมริกา

เขาต้องหยุดเรียนกลางคันเมื่อพ่อของเขาจากโลกด้วยน้ำมือของน้องชายคนละแม่

"ไอ้ช้างตอนนั้นเป็นคนชอบสนุกและชอบเล่นการพนันเป็นชีวิตจิตใจ อย่างว่าเกิดมาสบาย อีกอย่างอาจจะติดนิสัยคนฮ่องกงมาก็ได้" เพื่อนในอดีตของศิริชัยเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง เขาบอกว่าที่เรียก "ไอ้ช้าง" เพราะตอนเด็กๆ ศิริชัย บูลกุลเป็นคนอ้วนตุ๊ต๊ะ

เพราะการพนันขึ้นสมองนี้เอง เขาจึงไม่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจในระยะนั้นงานแรกที่ศิริชัยจับคือธุรกิจก่อสร้างงานโยธาในฐานทัพสหรัฐที่อู่ตะเภา "ทางดีมาก แต่ดันขาดทุน" เพื่อนของเขาว่า

"เวลาส่วนใหญ่เขามักจะขลุกอยู่ที่โรงแรมดุสิตธานี และสมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษ เล่นไพ่ คุณธาตรี ประภาพรรณกรรมการรองผู้จัดการมาบุญครองอบพืชฯ นี้ก็เป็นเพื่อนกันมาสมัยนั้น"

ในปี 2512 ศิริชัย บูลกุลต้องเดินทางไปปักหลักที่ฮ่องกงอย่างเงียบเชียบ โดยมีเพื่อนที่ชื่อสมชาย เชาววิศิษฐ์เพียงคนเดียวไปส่งที่สนามบิน บางคนบอกว่าเขาจะไปแสวงโชค แต่หลายคนก็บอกว่าเขาหนีหนี้?

เกาะฮ่องกงเป็นดินแดนของนักเสี่ยงโชคโดยแท้ ลูกจ้างร้านบะหมี่ริมน้ำอาจโชคดีเป็นเศรษฐีอยู่บนยอดเขาวิคตอรี่ในวันหนึ่งข้างหน้านั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ มหาเศรษฐีหลีกาเชียงก็สร้างตัวจากไม่มีอะไรกลายเป็น "เจ้าพ่อ" อุตสาหกรรมมูลค่ากว่าพันล้านเหรียญสหรัฐมาแล้ว หรือแม้แต่เซอร์ วาย เคเปา ราชาเดินเรือของโลกผู้เป็นข่าวในหนังสือทั่วโลกในปัจจุบันก็เริ่มต้นเช่นเดียวกัน

ที่ฮ่องกงธุรกิจมีชื่อของโลกแห่มาเปิดกิจการสินค้าฟุ่มเฟือย ตั้งแต่ คาร์เทียร์ กุทชิ เฮอร์เมส ฯลฯ ว่ากันว่าที่แปลกก็คือฮ่องกงอยู่ในเขตร้อน แต่กลับมีร้านขายขนสัตว์สตรีเกลื่อนกลาด นอกจากฮอลลีวู้ดแล้วมีที่ฮ่องกงเท่านั้นที่สามารถเห็นสตรีสวมเสื้อขนมิงค์สีชมพูก้าวลงจากรถโรลส์รอยซ์สีเดียวกับเสื้อ

ศิริชัย บูลกุลได้ค้นพบว่าธุรกิจค้าข้าวของพ่อ - ห้างจินเส็งฮงที่ฮ่องกงมี "กำไร" ซ่อนอยู่จำนวนมาก เขาเก็บเรื่องราวนี้เป็นความลับ ในที่สุดเขาได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทนี้ "ผมไม่ทราบว่าเขาทำอย่างไรพวกพี่ๆ จึงยอมขายหุ้นให้ เพียงแต่รู้กันว่ากิจการนี้ตามบัญชีแล้วกำไรน้อยมาก" แหล่งข่าวใกล้ชิดเหตุการณ์ไม่บอกตรงๆ "ต่อมาภายหลังคุณวันชัย บูลกุลไม่ค่อยจะพอใจเรื่องนี้เท่าไหร่" เขาพูดต่อ

จากกำไรที่ซ่อนอยู่ประมาณกันว่ากว่า 100 ล้านบาท ศิริชัยได้ทำทุนก้อนใหญ่เป็นเงินต่อเงินเล่นหุ้นในตลาดหุ้นฮ่องกงที่เสี่ยงโชคของคนหนุ่มยุคนั้น

ปะเหมาะกับที่น้องชายคนละแม่ (ที่ฮ่องกง) ชื่อมาชานลี เดินทางกลับจากสหรัฐพกปริญญา MBA. ด้านการเงินมาด้วย ต่อมาทั้งสองรักใคร่สนิทสนมกันมาก ศิริชัยมีทุน มาชานลีมีมันสมองเกื้อกูลซึ่งกันและกัน "เรื่องการเล่นหุ้นหรือความเป็นนักวางแผนทางการเงิน มาชานลีคนนี้เก่งมาก และเป็นคนสอนศิริชัย" เพื่อนของศิริชัยคนหนึ่งยอมรับ

ผลพลอยได้ที่สำคัญ เขาใช้ชื่อเสียงของพ่อ (มา บูลกุล) สร้าง CONNECTION กับวงการเงินในฮ่องกงได้ไม่น้อย

หลังจากที่ศิริชัย รวยอย่างไม่คาดฝันจากมรดกของผู้เป็นพ่อ และสามารถนำไปต่อเงินอีกเล็กน้อย เขาก็พาความมั่นใจและไอเดียเดินทางกลับกรุงเทพฯ พร้อมน้องชายคนละแม่

ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นครั้งสำคัญของเขาและ มาบุญครองกรุ๊ปในเวลาต่อมา

สิ่งแรกที่ศิริชัยทำก็คือกิจการส่งออกข้าวของบริษัทโรงสีไฟจินเส็งในประเทศไทยเรียกได้ว่าตลาดส่งออกส่วนใหญ่คือฮ่องกงประสานงานกับจินเส็งฮงที่นั่น

ตามรายงานที่กรมทะเบียนการค้ากระทรวงพาณิชย์ระบุกว่าในปี 2516 บริษัทโรงสีไฟจินเส็งไม่ได้ดำเนินการส่งออกข้าวไปฮ่องกง แต่โอนโควต้าส่งออกข้าวไปให้บริษัมมาบุญครองโดยได้ค่าป่วยการกระสอบละ 1 บาท

เหตุเกิดภายหลังศิริชัยกลับจากฮ่องกงเพียงปีเดียว และเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นคนแรกที่ตั้งชื่อบริษัทว่ามาบุญครอง อันเป็นนามของพ่อและแม่ของเขา และต่อมาชื่อนี้ได้ขนานนามเป็นกลุ่มธุรกิจที่ใหญ่โตอีกกลุ่มหนึ่งในเมืองไทย

ในระยะเดียวกันเขาได้ร่วมทุนกับบริษัทโหงวฮัก ซื้อเรือเดินทะเล 3 ลำ ลำหนึ่งนั้นมีชื่อว่ามาบูลกุล และว่ากันว่าในบริษัทนี้ศิริชัย บูลกุลถือหุ้นประมาณ 30%

ปี 2517 เขาตั้งบริษัทมาบุญครองอบพืชและไซโล ด้วยทุนจดทะเบียนครั้งแรก 60 ล้านบาท ร่วมทุนกับฮ่องกง สวิส โดยคนในตระกูล บูลกุลถือหุ้นใหญ่ (75%) เพื่อสร้างไซโลและ ท่าเทียบเรือขนาดใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในเมืองไทย

เพียง 2-3 ปีเท่านั้นชื่อเสียงของศิริชัยก็เริ่มเจิดจรัส

"มาชานลี เขาเป็นคนคิดโปรเจ็คนี้รวมทั้งแผนทางการเงิน" สมบุญ ผไทฉันท์ ผู้ซึ่งรู้จักครอบครัวบูลกุลดีออก

จากจุดนี้อง ศิริชัยจึงได้เข้าไปมีสายสัมพันธ์กับสมพร บุณยคุปต์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) โครงการไซโลและท่าเทียบเรืออันสวยหรูของเขาได้รับการส่งเสริมอย่างง่ายดาย

เมื่อได้บัตรส่งเสริมแล้ว เขาก็เริ่มหาที่ที่จะลงรากโครงการใหญ่นี้ "พี่เขยของช้างคนหนึ่งพาเขาไปซื้อที่ที่พระประแดง แต่ปรากฎว่าไม่มีทางออก ในที่สุดจึงไปลงเอยที่ อ.ศรีราชา ชลบุรี" เพื่อนของเขาคนหนึ่งเล่าให้ฟัง

โครงการไซโลขนาดใหญ่พร้อมด้วยอุปกรณ์การขนถ่ายสินค้าที่ทอดยาวสู่ทะเลเป็นกิโลเมตรอันเป็นท่าเทียบเรือขนส่งสินค้าพืชไร่นี้ ต้องลงทุนถึง 335 ล้านบาท "เพราะได้รับบีโอไอ. เขาจึงยื่นเสนอขอกู้เงินจากไอเอฟซีที (บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) อีกส่วนหนึ่งเป็น LOAN ของแบงก์กรุงเทพและ DOUBLE LOAN แบงก์กว้างตุ้ง" ผู้อยู่วงการเงินเล่าแผนทางการเงินโครงการนี้ของมาชานลีให้ฟัง

ดร.รชฏ กาญจนวณิชย์ เป็นวิศวกรออกแบบท่าเทียบเรือที่ยื่นออกไปในทะเลนับกิโลเมตรนี้ และดร.รชฏ คนนี้ก็คือ "ตัวละคร" สำคัญในเวลาต่อมา

ไซโลดังกล่าวสร้างเสร็จเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2519 และเริ่มเปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2520

น่าอัศจรรย์มาก ปีแรกบริษัททำกำไรถึง 80 ล้านบาท

และแผนการกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วคือบริษัทมาบุญครองอบพืชและไซโลจะต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นบริษัมมหาชน

ในช่วงเดือนเมษายน-ธันวาคม 2521 เป็นช่วงเวลาที่ศิริชัย บูลกุลในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัทมาบุญครองอบพืชและไซโล ต้องเหน็ดเหนื่อยแต่ก็คุ้มค่า

เมื่อมาบุญครองฯ เสนอตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ และได้ทำการเปิดเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนจำนวน 17,500 หุ้นในราคา 360 บาท/หุ้น ปรากฏว่ามีคนสั่งจองจำนวนมากจนต้องใช้วิธีจับฉลากด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์

ในช่วงก่อนเสนอตัวเข้าตลาดหุ้นมาบุญครองฯ ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 60 ล้านบาทเป็น 175 ล้านบาท

แต่แล้วจู่ๆ ก็มีข่าวว่าคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่วารี พงษ์เวชเป็นประธานไม่ยอมให้บริษัทมาบุญครองฯ เข้าเป็นสมาชิกในฐานะบริษัทจดทะเบียนตลาด โดยอ้างว่าตัวเลขแสดงกำไรของบริษัทมีเงื่อนงำ

"บริษัทได้แสดงตัวเลขทางบัญชีว่ามีกำไรสูงมาก และเป็นกำไรที่ไม่ได้กันไว้เป็นการตัดค่าเสื่อมราคาของกิจการเช่นกิจการที่มั่นคงทั้งหลายพึ่งแสดง กล่าวคือมาบุญครองฯ ได้ตั้งตัวเลขค่าเสื่อมถึง 50 ปี" อดีตกรรมการคนหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์ฟื้นความหลังกับ "ผู้จัดการ"

หนังสือพิมพ์มติชนธุรกิจ นสพ.ธุรกิจฉบับเดียวในช่วงนั้นตีพิมพ์ข่าวเกี่ยวกับบริษัทมาบุญครองฯ พยายามเข้าตลาดหุ้นแต่มีอุปสรรคอย่างต่อเนื่อง

"ตามธรรมดากิจการใหม่อย่างนี้เมื่อมีกำไรตอนแรกๆ จะต้องพยายามกันเงินที่กำไรไว้เป็นค่าเสื่อมให้มากที่สุดเท่าที่กรมสรรพากรอนุญาต ไม่ใช่ตั้งราคาค่าเสื่อมถึง 50 ปีเพื่อพยายามอวดกำไร จะได้ขายหุ้นให้ประชาชนที่รู้ไม่ทันการณ์ซื้อในราคาที่สูงมากเกินไป" นสพ.ฉบับนั้นอ้างแหล่งข่าววิจารณ์การกระทำของมาบุญครองฯ อย่างไม่เกรงใจ

กรรมการตลาดหุ้นไม่พอใจ มาบุญครองฯ ที่ใช้วิธีตัดค่าใช้จ่ายที่ก่อขึ้นก่อนดำเนินการประมาณ 30 ล้านบาทเป็นเวลาถึง 30 ปี โดยตัดเพียงปีละ 1 ล้านบาท และในการขายหุ้นครั้งนี้ทางบริษัทยังได้นำกำไรส่วนหนึ่งมาชำระหนี้สินของบริษัทจำนวน 120 ล้านบาท "ความจริงต้องถือว่าเป็นหุ้นใหม่แยกรับไว้ อย่างนี้ไม่ถูกต้อง…ผมสงสารคนที่แห่มาจองหุ้นไว้จำนวนมากจริงๆ จะต้องพากันอกหักกันเป็นแถวๆ ถ้าหุ้นอันนี้ไม่สามารถเข้าตลาดได้ ในขณะที่ผู้ถือหุ้นเดิมรายใหญ่ๆ รวยกันไปหมดแล้ว" แหล่งข่าวที่ให้ข่าวนสพ.มติชนธุรกิจร่ายยาว

เรื่องนี้ยังลุกลามต่อไป เมื่อประยูร เถลิงศรี อธิบดีกรมทะเบียนการค้าในขณะนั้นเรียกบริษัทคูเปอร์แอนด์ไลย์แบนด์ แอสโซซิเอทส์ ผู้สอบบัญชีของบริษัทมาบุญครองฯ มาพบเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ตามที่มีการเรียกร้องให้ลงโทษ ในฐานะที่ไม่ได้ทำหน้าที่ที่ดี อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็กลายเป็นคลื่นกระทบฝั่งในเวลาไม่นานนัก

แต่ความพยายามของมาบุญครองฯ ในการที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ก็ยังดำเนินต่อไป

ต้นเดือนมิถุนายน 2521 มาบุญครองฯ ได้ยื่นรายการทำบัญชีของบริษัทที่ได้ปรับปรุงและแก้ไขตัวเลขใหม่ ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกครั้งหนึ่งเพื่อขอให้พิจารณารับเป็นบริษัทจดทะเบียน โดยมาบุญครองได้แสดงตัวเลขตัดค่าเสื่อมราคาในทรัพย์สินเหลือเพียง 30 ปี และได้ชำระหนี้ 120 ล้านบาทแล้ว

นสพ.มติชนธุรกิจเสนอข่าวต่อเนื่องพูดถึงพฤติกรรมมิชอบของหุ้นมาบุญครองฯ อีกหลายประการ "โดยเฉพาะการถือหุ้นของบริษัทมีผู้ถือหุ้นภายในตระกูลเดียวกัน 16-17 คนเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด แล้วทำการเพิ่มทุนอีกมหาศาลหลังการขายหุ้นดังกล่าวให้กับประชาชนในราคา 360 บาท/หุ้น ทำให้บริษัทและผู้ถือหุ้นเดิมกำไรมหาศาล โดยชี้ให้เห็นว่าบริษัทสามารถชำระหนี้ 120 ล้านบาทในบัญชีได้แล้ว"

ในช่วงคาราคาซังอยู่นั้น ตลาดหลังทรัพย์ฯ ได้มีการเปลี่ยนตัวผู้จัดการจากศุกรีย์ แก้วเจริญ เป็นณรงค์ จุลชาติ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2521

ยิ่งไปกว่านั้นสมพร บุณยคุปต์ รัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะเลขาธิการบีโอไอ.ได้ออกมาประกาศ (ในช่วงเดียวกัน) สวนควันปืนอนุมัติการส่งเสริมการผลิตซีเมนต์ผง 4 โครงการ ซึ่งรวมโครงการของบริษัทมาบุญครองซีเมนต์เข้าไปด้วย

มาบุญครองฯ ซึ่งก่อนหน้าภาพพจน์ดูอึมครึมๆ กลับดูแจ่มใสขึ้นเป็นกอง

กลางเดือนกรกฏาคมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดเผยว่า ในการพิจารณารับบริษัทมาบุญครองอบพืชและไซโลเข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนนั้นคณะกรรมการมีความเห็นแตกออกเป็น 2 ฝ่าย

ฝ่ายที่คัดค้านเห็นว่าการที่บริษัทเปลี่ยนระยะรอบบัญชีจากสิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคมมาเป็นวันที่ 30 มิถุนายนนั้นเป็นเรื่องที่ผิดสังเกตมาก นอกจากนี้การดำเนินงานในระยะ 7 เดือนที่ผ่านมาบริษัทได้มีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสูงถึง 90% ของผลกำไรที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2521 แสดงว่าการที่บริษัทตัดค่าเสื่อมของทรัพย์สินในอัตราต่ำเพื่อต้องการกำไรสูง

"ในการเพิ่มทุนของบริษัทได้ขายหุ้นที่ออกใหม่ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมเพียง 2 รายเท่านั้นและยังขายในราคาเท่ากับมูลค่าหุ้นเดิมเป็นจำนวนถึง 85% ของหุ้นทั้งหมดซึ่งไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งต่อผู้ถือหุ้นใหม่ อีกทั้งทางบริษัทยังมีปัญหาเรื่องที่ดินที่ใช้ก่อสร้างไซโลซึ่งอยู่ในระหว่างการฟ้องร้องของชาวบ้านว่า สร้างทับที่ดินสาธารณะ"

ฝ่ายที่คัดค้านเสนอให้พิจารณาพฤติกรรมของบริษัทที่ผ่านมาว่าส่อเจตนาอย่างไร มากกว่าจะมองถึงฐานะทางการเงินและการดำเนินงานที่ผลกำไรงามเพียงอย่างเดียว

ส่วนฝ่ายสนับสนุนกล่าวว่าบริษัทได้กระทำถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย และเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้นเดิมซึ่งเป็นผู้ฟันฝ่าอุปสรรคมาอย่างหนักจนเกิดการประสบความสำเร็จ

นสพ.รายงานคาดหมายว่าในที่สุดมาบุญครองฯ จะต้องได้เข้าตลาดหุ้นอย่างไม่มีปัญหา

เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2521 วารี พงษ์เวช ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ออกแถลงผลการประชุมตกลงใจรับบริษัทมาบุญครองอบพืช และไซโลเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนโดยให้เหตุผลว่าบริษัทมาบุญครองฯ เป็นบริษัทที่มีการบริหารงานดีโดยระยะเวลาเพียง 6 เดือนสามารถทำกำไรได้ถึง 40 ล้านบาท และได้ยอมโอนอ่อนตามความต้องการของตลาดฯ เปลี่ยนแปลงการตัดค่าเสื่อมราคาในทรัพย์สินลงมาเหลือเพียง 25 ปี และการทำบัญชีทั้งหมดบริษัทผู้สอบบัญชีจากต่างประเทศที่มีชื่อรับรองแล้ว

ผู้รู้เรื่องดีบอก "ผู้จัดการ" ว่าการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปลี่ยนใจรับมาบุญครองฯ เข้าตลาดหุ้นนั้น ดัชนีสำคัญอยู่ที่การเปลี่ยนตัวกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ จากศุกรีย์ แก้วเจริญ มาเป็นณรงค์ จุลชาติ "ความจริงคุณวารีไม่เห็นด้วยที่จะให้มาบุญครองฯ เข้าตลาดหุ้นมาตลอดเพราะรู้ประวัติของคุณศิริชัยและชวนลีที่ฮ่องกงดี"

แต่ห้วงเวลานั้นถึงช้างก็ฉุดมาบุญครองฯ ไว้ไม่อยู่เสียแล้ว!

เพราะทั้งสถานการณ์การลงทุนภาพรวมที่เมืองไทยกระเตื้องขึ้นก่อนหน้านี้ เนื่องจากดอกเบี้ยและน้ำมันลดราคา ทั้งธุรกิจในฮ่องกงก็บูมได้ที่ส่งผลกระทบตามมาเป็นลูกคลื่น ส่วนกำลังภายในมาบุญครองฯ นั่นเล่าก็ดีเหลือหลาย ในภาวะที่ถูกครหา ก็มีแรงหนุนด้านอื่นหนุนเนื่องอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเข้าตลาดหุ้นได้ไม่นานนั้นราคาหุ้นจากประมาณ 400 บาท ก็ชนเพดาน 500 บาท/หุ้นอย่างไม่ยากเย็นอะไร

นสพ.รายงานว่าเมื่อมาบุญครองฯ เข้าตลาดหุ้นแบบล้างอายได้ ราคาหุ้นก็พุ่งพรวดขึ้น 500 กว่าบาททำเอานักเล่นหุ้นชัดขยาดเพราะราคาแซงหน้าปูนใหญ่ไปหลายช่วง "แต่อาศัยที่มีผู้คุมเกมดี ก็ค่อยล่อใจให้มีการเข้ามาเล่นโดยยอมลดราคาต่ำลงไปเรื่อยซึ่งดูเหมือนว่าหุ้นนี้กำลังจะเหี่ยแห้งตาย แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ วิธีการนี้แหละที่เท่ากับเป็นการชุบชีวิตของหุ้นนี้ให้โตวันโตคืนเพราะเมื่อราคาต่ำลงก็ทำให้ดึงดูดนักเก็งกำไร กล้าเข้ามาจับมากขึ้น โอกาสเก็งกำไรหุ้นนี้มีมากขึ้น แต่อาศัยวิธีการพื้นฐานดังกล่าวก็ไม่สามารถดึงราคาหุ้นนี้ให้สูงเกินกว่า 500 บาทได้มากนักจำเป็นจะต้องอาศัยสิ่งอื่นประกอบ" ภาวะหุ้นดังรายงานนี้บอกกลยุทธ์ ของศิริชัย บูลกุล และมาชานลีได้ดีว่าเขาทั้งสองช่ำชองมากเพียงใด

"ที่หนีไม่พ้นอันดับแรกได้แก่การจ่ายเงินปันผล ปรากฏว่าบริษัทใจป้ำยอมจ่ายงวดครึ่งปีหุ้นละ 23 บาทหรือปีละ 46 บาทก็ทำให้หุ้นนี้ฮือฮากันมาก…และที่แสบทรวงของผู้ไม่ได้ถือหุ้นนี้ก็คือ หลังปิดสิทธิ์ได้รับเงินปันผลแล้วยังได้กำไรจากแม่หุ้น ในสภาพแบบนี้ก็เรียกว่าหุ้นนี้แหกคอกหลักพื้นฐานจริงๆ"

ที่แน่ๆ คือมีโบรกเกอร์มือเซียนทั้งดึงทั้งดันเอาไว้ และที่สำคัญคือข่าวมาบุญครองฯ จะเข้าร่วมทุนผลิตปูนกับบริษัทชลประทานซิเมนต์

ตอนนั้น ดร.รชฏ กาญจวณิชย์ เป็นประธานกรรมการบริษัทชลประทานซิเมนต์ก่อนหน้านี้ไม่นานนายแพทย์สมภพ สุสังกรกาญน์ กรรมการผู้จัดการปูนเล็กกล่าวกับสื่อมวลชนว่า การที่บริษัทมาบุญครองฯ ได้รับส่งเสริมผลิตปูนรายใหม่จะเป็นกิจการลำบากมาก เพราะราคาปูนถูกควบคุมโดยกระทรวงพาณิชย์ และจะต้องใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท พร้อมทั้งกล่าวแบะท่าว่าทางที่ดีควรจะร่วมทุนกัน

"มันเป็นข่าวไม่จริงเลยเพียงแต่ว่าตอนนั้นดร.รชฏ เขามากินกาแฟกับคุณศิริชัย ที่โรงแรมโนห์ราบ่อยๆ เนื่องจาก ดร.รชฏเป็นวิศวกรโครงการมาบุญครองฯ คนก็เลยเข้าใจว่าจะร่วมทุนกัน" อดีตเพื่อนร่วมงานศิริชัยคนหนึ่งบอก "ผู้จัดการ" ถึงเบื้องหลังครั้งนั้น

ราวๆ เดือนกันยายน เสรี ทรัพย์เจริญก็โดดเข้าซื้อหุ้นมาบุญครองฯ ฉุดราคาพุ่งจาก 500 บาทขึ้นไปเกือบถึง 700 บาท/หุ้น "ผมซื้อในฐานะนักลงทุนที่มองเห็นกำไร คราวนั้นผมซื้อเพียง 2-300 ล้านบาท ได้กำไรเพียงเล็กน้อยเพียง 2-3 ล้านบาทเท่านั้น ผมเล่นครั้งเดียวก็เลิก" เสรี ทรัพย์เจริญ ยอมรับกับ "ผู้จัดการ" เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว 8 ปีเต็ม

กลางเดือนตุลาคมมาบุญครองฯ ประกาศเพิ่มทุนจาก 175 ล้านบาทเป็น 575 ล้านบาท แบ่งการจัดสรรขายหุ้นออกเป็น 2 งวด งวดแรกให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 จำนวน 1.75 ล้านหุ้นในราคาพาร์ อีกส่วนหนึ่ง 8.75 หมื่นหุ้นขายแก่พนักงานของบริษัทในราคา 360 บาทและที่เหลือ 2,162,500 หุ้นจะพิจารณาขายแก่บุคคลภายนอก ข่าวที่ออกมาเช่นนี้หุ้นมาบุญครองฯ ที่ติดลมบนถึง 1,120 บาท/หุ้นก็ชะงักทันที

นักลงทุนตลาดหุ้นฯ คนหนึ่งเล่าว่าเหตุที่หุ้นมาบุญครองฯ ทะยานขึ้นไปเกิน 1,000 บาทเนื่องจากข่าวจะเพิ่มทุนที่ถูกปล่อยออกมนาน คนคาดกันว่าจะนำเงินไปร่วมทุนกับปูนเล็ก อีกทั้งข่าวที่มาบุญครองฯ เสนอเข้าร่วมประมูลสร้างศูนย์การค้าบนที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วย

ปลายปี 2521 เป็นช่วงที่ศิริชัย บูลกุลสนุกมาก และก็รวยเอามากๆ เสียด้วย เงินของพ่อ 100 ล้านบาทจากจินเส็งฮงและผลกำไรจากการเล่นหุ้นในฮ่องกงถือว่าเล็กน้อยสำหรับเขาในตอนนั้น

เพราะหุ้นเมืองไทยกำลังบูมสุดขีด

ที่ดินของจุฬาฯ จำนวน 23 ไร่บริเวณหัวมุมสี่แยกปทุมวันด้านสนามกีฬาแห่งชาติอันเป็นย่านทำเลการค้าที่ดีเยี่ยม ทางจุฬาฯ ได้เปิดให้เอกชนเสนอตัวเข้าร่วมพัฒนาที่ดินบริเวณดังกล่าว ปรากฏว่ามีกลุ่มธุรกิจใหญ่ 3 รายเข้าร่วมชิงดำ ประกอบด้วย พีเอสเอ. ของพร สิทธิอำนวย บริษัทโรงแรมราชดำริและบริษัทมาบุญครองฯ อบพืชและไซโล

เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2521 คณะกรรมการพิจารณาเรื่องดังกล่าวของจุฬาฯ ได้ตัดสินคัดเลือกบริษัทมาบุญครองฯ เป็นผู้ชนะ มาบุญครองฯ วาดแผนว่าบริเวณนี้ต่อไปจะเป็นศูย์การค้า 6 ชั้น มีที่จอดรถเป็นชั้นๆ จอดได้ประมาณ 2,000 คัน มีหอประชุมขนาด 3,500 คน มีโรงแรมทันสมัยขนาด 700 ห้อง ก่อสร้างเสร็จเต็มโครงการภายในเวลา 5 ปี ว่ากันว่าจะให้เสร็จทันฉลองครบรอบ 200 ปีกรุงรัตนโกสินทร์โครงการนี้ลงทุนกว่า 1,200 ล้านบาท(ขณะนั้น)

เท่านี้เองราคาหุ้นของมาบุญครองฯ ก็ทะยานแรงขึ้นไปสูงสุดเป็นประวัติการณ์เท่าที่บันทึกไว้คือสูงถึง 1,648 บาท/หุ้น ปริมาณซื้อขายในช่วงนั้นระหว่าง 500-1,000 ล้านบาท

ในเดือนตุลาคม 2521 เป็นเดือนที่ตลาดหุ้นมีการซื้อขายมากที่สุด ตั้งแต่เปิดตลาดหุ้นในเมืองไทย

และภายในไม่กี่วันในระยะนี้เองศิริชัย บูลกุล เทหุ้นขายฟันกำไรไปหลายร้อยล้านบาทอย่างเงียบๆ

ไม่บอกกระทั่งเพื่อนๆ ที่เคยร่วมเล่นหุ้นกันมาหลายเดือนเพื่อนๆ ซึ่งมีส่วนทำให้หุ้นมาบุญครองฯ สูงขึ้นไปเกินคาด

เพราะให้หลังพียงเดือนเดียว หุ้นมาบุญครองฯ ก็เริ่มตก โครงการทุกอย่างที่ทำท่าว่าจะเดินเครื่องก็มีอันเป็นไป

"การเพิ่มทุนนั้นแท้ที่จริงเขาต้องการสร้างโรงสีขนาดใหญ่ที่ปทุมธานีเท่านั้น" เพื่อนที่ "เจ็บตัว" เพราะตามแห่ซื้อหุ้นตามคำเชื้อชวนของศิริชัย บอกเบื้องหลัง

เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2521 คณะกรรมการผังเมืองมีมติไม่ให้ผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยใช้ที่ดิน 23 ไร่สร้างศูนย์การค้าและโรงแรมขนาดใหญ่ ด้วยคะแนน 10 ต่อ 9

ว่ากันว่าคณะกรรมการทั้งหมด 21 คนได้ใช้เวลาพิจารณายาวนานเกือบ 3 ชั่วโมงโดยเปิดให้มีการอภิปรายอย่างเต็มที่ในที่สุดให้ยืนตามมติเดิมที่เคยอนุมัติให้ใช้เป็นเขตพาณิชยกรรมเพียง 16 ไร่และอีก 10 ไร่ให้ใช้เป็นเขตการศึกษา ซึ่งขัดกับทางฝ่ายผู้บริหารจุฬาฯ ได้ตกลงให้มาบุญครองฯ ใช้พื้นที่ทั้งหมดสร้างเป็นจุฬาฯ คอมเพล็กซ์โดยประมาณการว่าใช้เงินในขณะนั้น 1066 ล้านบาท และทางจุฬาฯ ได้รับผลตอบแทน 885 ล้านบาทในเวลา 30 ปี

เป็นว่าโครงการยักษ์ที่มาบุญครองฯ ลุ้นอยู่ต้องล้มตึง

หุ้นมาบุญครองฯ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตกลงมาเหลือประมาณ 1,000 บาทและลดลงอีกระยะหนึ่งเหลือ 600 กว่าบาทเป็นไปตามความคาดหมาย

"พรรคพวกของคุณศิริชัย ที่เชื่อกันว่าหุ้นมาบุญครองฯ จะขึ้นไปอีกขาดทุนพอหอมปากหอมคอคนละนับสิบล้านบาทปัจจุบันบางคนยังใช้หนี้แบงก์ไม่หมด ส่วนคนทั่วไปไม่ต้องพูดถึงขาดทุนกันถ้วนหน้า"

มาบุญครองฯ เพิ่มทุนอีก 400 ล้านบาทสำเร็จไปแล้ว ศิริชัย บูลกุลก็กำไรอย่างเงียบเชียบเรียบร้อยไปแล้ว

คนที่มีบุญคุณอย่างลึกๆ ต่อเขาก็คือ สมพร บุณยคุปต์ เลขาธิการบีโอไอ.นั่นเอง

ศิริชัย เขามิอาจรู้เหตุการณ์ครั้งนั้นส่งผลเสียอย่างลึกซึ้งมาถึงฐานะของมาบุญครองกรุ๊ปในปัจจุบัน

หากมาบุญครองคอมเพล็กซ์เริ่มแต่ตอนนั้น รับรองศิริชัย บูลกุลต้องเป็นดาวรุ่งค้างฟ้าแน่นอน

แต่เฉพาะหน้านั้น เขาก็เริ่ม DIVERSIFIED และก่อตัวเป็นกลุ่มธุรกิจที่ประกอบกิจการหลายประเภทในนามมาบุญครองกรุ๊ปซึ่งถือเป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ในคราวนั้นก็เป็นที่รู้จักแก่คนทั่วไป

และแน่นอนที่สุด เขากับ สมพร บุณยคุปต์ก็แนบแน่นกันมากขึ้น เพราะเวลาต่อมาบริษัทในเครือมาบุญครองไม่น้อยกว่า 7 บริษัทได้รับการส่งเสริมการลงทุน ทั้งจากระยะที่สมพร เป็นเลขาธิการและคนอื่นๆ ต่อมา (ไม่รวมบริษัทมาบุญครองซีเมนต์ ที่บัตรส่งเสริมหมดอายุไปเมื่อเดือนธันวาคม 2521) อาทิ บริษัทมาบุญครองเทรดดิ้ง ประกอบธุรกิจสั่งเข้าและส่งออกสินค้า (TRADING COMPANY) บริษัทมาบุญครองการนิคมอุตสาหกรรมประกอบกิจการจัดและปรับปรุงที่ดินเป็นเขตนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจการค้าและที่อยู่อาศัยเป็นต้น (โปรดดูตารางบริษัทในเครือมาบุญครองฯ)

ยุทธวิธีที่พยายามขยายฐานธุรกิจพร้อมๆ กับการเคลื่อนไหวทุกรูปแบบให้คณะกรรมการผังเมืองพิจารณาผ่อนผันให้มาบุญครองสร้างคอมเพล็กซ์ที่มุมถนนปทุมวัน แม้จะพยายามกันอย่างหนัก แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผลกันในเร็ววัน หุ้นของมาบุญครองอบพืชและไซโลจึงไม่อาจจะดึงไว้อยู่ก็เลยหล่นลงมาเรื่อยๆ จากระดับ 400 กว่าบาทในปีถัดมา และประมาณ 200 บาทในปี 2523 จนถึงระดับ 180 บาท/หุ้นในปี 2524 (โปรดพิจารณากร๊าฟประกอบ)

"ผลกระทบอีกประการหนึ่งก็คือบรรยากาศการลงทุนตกต่ำ ดอกเบี้ยเงินกู้สูงมากถึง 19% แม้แต่ดอกเบี้ยของสหรัฐยังอยู่ในระดับ 17-18% ที่สำคัญผลพวงอันเกิดจากภาวะหุ้นซบเซาจากกรณีราชาเงินทุนในปี 2522" นักลงทุนในตลาดหุ้นคนหนึ่งบรรยายถึงปัจจัยภายนอก โดยชี้ว่าเป็น "เงื่อนไข" สำคัญในการลงทุนในตลาดหุ้น "ใครจะ MANIPULATE ก็ต้องดูปัจจัยนี้ว่าสุกงอมหรือไม่" เขาสรุป

ปี 2522 ศิริชัย บูลกุลมีความหวังกับโครงการมาบุญครองคอมเพล็กซ์ขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อคณะกรรมการผังเมืองได้กลับมาทบทวนมติเดิมที่ห้ามบริเวณก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างประกอบกิจการพาณิชย์

ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดเอาไว้ปลายปี 2525 บริษัทมาบุญครองอบพืชและไซโลได้ทำสัญญาเช่าที่ดินจำนวนประมาณ 23 ไร่ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อสร้างคอมเพล็กซ์ ศิริชัย บูลกุลโชคดีที่จุฬาฯ มิได้คิดอัตราค่าเช่าเพิ่มขึ้นจากเดิมแม้แต่บาทเดียว

แต่ขณะเดียวกันเขาโชคร้ายอีกหลายเรื่อง

หนึ่ง-มูลค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้นอย่างน้อยเท่าตัว จากที่เคยประเมินว่า 1,200 ล้านบาทก็จะต้องมาเริ่มใหม่หลังเวลาเดิมประมาณ 5 ปี อย่างน้อยตั้งแต่ 3 พันล้านบาทขึ้นไป

สอง-ในระยะไล่เลี่ยกันกรุงเพทมหานครได้เป็นเนื้อดินที่สมบูรณ์ในการเกิดคอมเพล็กซ์อีกหลายโครงการ ตั้งแต่เซ็นทรัลพลาซ่าที่ลาดพร้าว ซึ่งเกิดก่อนมิหนำซ้ำยังฉกโครงการหอประชุมนานาชาติเอาไปไว้ที่นั่น โดยร้องขอรัฐบาลไม่ให้มีการลงทุนในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นอีกด้วยส่วนที่เกิดก่อนหน้าเพียงเล็กน้อยก็คืออัมรินทร์พลาซ่า มหาทุนพลาซ่า ซิตี้พลาซ่ารวมไปถึงสีลมพลาซ่า

ทุกโครงการเดินหน้าปิดล้อม มาบุญครองคอมเพล็กซ์ทั้งสิ้น

สาม-ตลาดหุ้นยังไม่ฟื้นจากภาวะซบเซาในปี 2522-2524 ก็โดนกระหน่ำซ้ำเติมจากกรณีแคเรียนในฮ่องกง การระดมทุนผ่านบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ของศิริชัยจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เช่นที่เขาเคยประสบความสำเร็จมาแล้วในปลายปี 2521

ทั้งกิจการค้าส่งออกพืชไร่ที่ซบเซาอย่างหนักและต่อเนื่อง กระทบต่อบริการขนถ่าย และคลังสินค้า ประกอบกับผู้ส่งออกสินค้าเหล่านั้นล้วนพยายามมีไซโลหรือคลังสินค้าของตนเองกัน

นอกจากนี้มาตรการควบคุมสินเชื่อของธนาคารชาติก็ยังมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม

เขาพร้อมที่จะเสี่ยงโชคอีกครั้ง ทั้งๆ ที่อาจจะเรียกได้ว่า แทบไม่มีเค้าหน้าตักเลย

สิ่งแรกๆ ที่เขาต้องทำคือการเพิ่มทุนบริษัทมาบุญครองอบพืชและไซโล ซึ่งเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหุ้น ข่าวจะเพิ่มทุนจาก 575 ล้านบาทเป็น 800 ล้านบาทปลิวว่อนในตลาดหุ้น แต่ราคาหุ้นมาบุญครองที่อืดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น

ปลายๆ ปี 2526 หุ้นมาบุญครองทำท่าเขยิบขึ้น เท่าที่บันทึกไว้สูงสุดเท่าที่ทำได้คือ 273 บาท/หุ้น

"คุณสิริลักษณ์ (รัตนากร) ได้เชิญคุณศิริชัยไปพบสอบถามเรื่องราคาหุ้นที่ขึ้นสูงอย่างผิดปกติ" ผู้คร่ำหวอดตลาดหุ้นคนหนึ่งเล่าให้ฟังเหตุการณ์ครั้งนั้น

ผู้รู้บางคนตั้งข้อสังเกตว่าสถานการณ์ตอนนั้นน่าจะเกื้อกูลมาบุญครองฯ เกี่ยวกับการลงทุนในตลาหุ้นได้พอสมควร เพราะดอกเบี้ยในระบบธนาคารเริ่มลด พร้อมกับราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มต่ำลงอย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่เกื้อหนุนเหล่านี้ไม่อาจต้าน "ภาพ" การลงทุนในตลาดหุ้นทั้งในและต่างประเทศ (โดยเฉพาะฮ่องกง) ที่เจอวิกฤตอย่างหนักและยังฝังอยู่ในความทรงจำของนักเล่นหุ้น

"ความพยายามทำให้หุ้นมาบุญครองพุ่งขึ้นในช่วงนั้น เป็นที่รู้กันว่าคุณศิริชัยขาดทุนเป็นร้อยๆ ล้านบาททีเดียว" คนวงในตลาดหุ้นกระซิบ

จะเห็นได้ว่ากว่ามาบุญครองฯ จะเพิ่มทุนเสร็จสรรพก็กินเวลาล่วงเลยมาถึงปลายปี 2528 แล้ว

แหล่งเงินที่จะหาได้ต่อมา ตามแผนการของมาชานลีก็คือเงินกู้ ซึ่งผู้อยู่ในวงการเงินเล่าให้ฟังว่าเป็นเงินกู้ระยะสั้นเสียส่วนมาก "ตรงนี้เองเงินทุนหมุนเวียนเลยไม่ค่อยคล่องต้องติดๆ ขัดๆ ต้องกู้ตรงโน้นมาโปะตรงนี้เป็นประจำ" ผู้ให้ข่าวแสดงทรรศนะประกอบ

แหล่งเงินกู้ภายในประเทศคือธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกรไทย เป็นแหล่งใหญ่

ส่วนธนาคารแห่งต่างประเทศนั้นได้แก่ ธนาคารเชสแมนฮัตตัน และธนาคารแห่งอเมริกาฯ "แบงก์พวกนี้เขานิยมให้กู้ในระยะสั้นด้วยกันทั้งนั้นในภาวะเศรษฐกิจไม่ดีอีกประการหนึ่งเขาเองไม่มีธุรกิจหลักในประเทศไทย" นายธนาคารคนหนึ่งคอมเมนต์

วงการธนาคารต่างสรุปกันไว้อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นถึงเรื่องยุ่งๆ เกี่ยวกับมาบุญครองคอมเพล็กซ์ที่สืบเนื่องจากปลายปี 2528 ถึงปัจจุบัน (หนึ่ง-ภาวะเศรษฐกิจ สอง-โครงการเริ่มช้าไปและ สาม- แผนเงินกู้และการระดมทุนไม่คล่องตัว)

จากกรณีเบอร์ลี่ยุคเกอร์ฟ้องเรียกค่าจ้างติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าจำนวน 22 ล้านบาท (โปรดอ่าน "ผู้จัดการ" ปีที่ 3 ฉบับที่ 29 เดือนกุมภาพันธ์ 2529) ได้จุดปะทุให้เห็นอย่างเด่นชัดในสายตาของบุคคลทั่วไป "แท้ที่จริงกรณีเบอร์ลี่ฯ เป็นเพียงรายเดียวในจำนวนหลายรายที่มาบุญครองมีปัญหาในช่วงนั้น เช่นวิทยาคมที่เบอร์ลี่ฯ ต้องทำเช่นนั้นเพราะเป็นบริษัทที่บริหารโดยฝรั่งส่วนใหญ่ ส่วนวิทยาคมนั้นยังนิยมทวงหนี้แบบไทยๆ ซึ่งก็ได้ผลบ้าง" แหล่งข่าววงการธนาคารเปรย

ตามมาด้วยรายงานงบการเงินประจำปี 2528 ที่เผยแพร่โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ตามหน้าที่ที่ดุษฎี สวัสดิ-ชูโต ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์เน้นกับ "ผู้จัดการ" ว่าเป็น FULL DISCLOSER ออกมาราวๆ เดือนมีนาคม แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีปัญหาขาดเงินทุนหมุนเวียน กล่าวคือหนี้สินหมุนเวียนของบริษัทมาบุญครองอบพืชและไซโล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2528 มีรวมทั้งสิ้น 2,961.44 ล้านบาท แต่มีสินทรัพย์หมุนเวียน มีอยู่เพียง 1,024 ล้านบาท

เดือนมิถุนายน 2529 เป็นเดือนที่ศิริชัย ต้องถูกจับมานั่งโต๊ะเจรจาเผชิญหน้ากับนายธนาคารหลายแห่ง

ต้นเดือนมิถุนายน ดร.โอฬาร ไชยประวัติ รองผู้จัดการใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ หนึ่งในสองเจ้าหนี้รายใหญ่กล่าวว่าบรรดาเจ้าหนี้ซึ่งมีวงเงินรวมกันประมาณ 2,200 ล้านบาทได้พูดคุยถึงแผนการแก้ไขปัญหาหนี้สินของมาบุญครองฯ มาประมาณ 2 เดือน และคาดว่าภายในเดือนหน้าทุกอย่างคงจะเรียบร้อย "อาจจะต้องเปลี่ยนจากเงินกู้ระยะสั้นเป็นระยะยาวเพื่อแก้ปัญหาขาดเงินทุนหมุนเวียน เนื่องมาจากมาบุญครองฯ ไม่สามารถขายพื้นที่ได้ตามเป้าหมาย

ประมาณกลางเดือนมิถุนายน ตลาดหลักทรัพย์ฯ แจ้งผลประกอบการ 3 เดือนแรก (มกราคม-มีนาคม 2529) ขาดทุนครั้งแรก 23,000 บาท แม้จะดูไม่มากแต่เป็นแนวโน้มที่น่าเป็นห่วงสำหรับบริษัทที่เคยกำไรมาตลาด ซึ่งย้ำให้เห็นว่าปัญหาเงินทุนหมุนเวียนเป็นปัญหาที่หนักหนาสาหัสเอาการ นอกจากนี้มีการกล่าวกันว่าสาเหตุประการหนึ่งเกิดจากมาบุญครองฯ ได้ซื้อหุ้นของบริษัทไทยออฟชอร์ปิโตรเลี่ยมของกลุ่มพีเอสเอ.เป็นเงิน 70 ล้านบาท โดยพีเอสเอ.ตกลงว่าจะรับซื้อหุ้นนั้นกลับคืนในราคา 110 ล้านบาท รวมทั้งมาบุญครองฯ ยังได้ให้เงินกู้ยืมบริษัทไทยออฟชอร์อีก 33 ล้านบาทอีกด้วย "มูลค่าปัจจุบันของหุ้นที่กล่าวข้างต้นและความสามารถที่จะชำระหนี้คืนนั้นไม่สามารถจะคาดคะเนได้อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอน บริษัทพีเอสเอ.จำกัดยังอาจจะไม่อยู่ในฐานะที่จะซื้อหุ้นดังกล่าวคืนและบริษัทก็ไม่ได้ตั้งสำรองสำหรับมูลค่าของเงินลงทุนหรือเงินให้กู้แต่อย่างใด" ผู้สอบบัญชีได้ระบุไว้ในรายงานงบการเงินดังกล่าวอันเป็นช่วงที่ พีเอสเอ.เผชิญวิกฤติการณ์

ปลายเดือนมิถุนายน บรรยงค์ ล่ำซ่ำ กรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย เจ้าหนี้อีกรายหนึ่งกล่าวว่าฝ่ายบริหารธนาคารประชุมกันแล้วมีมติผ่อนผันการชำระเงินกู้ของมาบุญครองฯ ออกไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อให้มาบุญครองได้มีเวลาเพียงพอในการขายพื้นที่โครงการส่วนที่เหลือ โดยเน้นว่าเงินกู้วงเงินประมาณ 200 ล้านบาทนี้ธนาคารกสิกรไทยยังคงอัตราดอกเบี้ยในอัตราเดิม

ในสายตาธนาคารปัญหาของมาบุญครองฯ คือขายพื้นที่ศูนย์การค้าไม่ได้ตามเป้า!

ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย (วันที่ 19 มิถุนายน 2529) ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อ้างคำชี้แจงของบริษัทมาบุญครองอบพืชและไซโลเกี่ยวกับสถานะการเงินของบริษัท "ขณะนี้บริษัทกำลังดำเนินการเจรจากับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงนรายใหญ่ต่างๆ อยู่ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของบริษัทฯ เสนอโครงสร้างระบบการชำระเงินกู้คืนแก่ธนาคารและสถาบันการเงินนั้นน่าจะเป็นที่ตกลงกันได้ในไม่ช้านี้ แต่ในระหว่างการเจรจากับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินรายใหญ่ดังกล่าว บริษัทฯจำต้องระงับการชำระเงินกู้คืนเป็นการชั่วคราวไว้ก่อนและมีสถาบันการเงินบางแห่งที่ไม่ยอมรอรับชำระเงินพร้อมกับธนาคารและสถาบันการเงินอื่นๆ ในลักษณะเป็นสัดส่วนเท่าๆ กันจึงได้มีการเรียกร้องมาบ้างแต่เป็นส่วนน้อย บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่าเมื่อการเจรจากับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินรายใหญ่ดังกล่าวในที่ตกลงกันได้เรียบร้อยแล้วบริษัทฯ ก็จะเริ่มชำระเงินกู้คืนให้แก่ธนาคารและสถาบันการเงินไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่รายเล็กได้เป็นที่พอใจต่อไป" ข้อความข้างต้นนับเป็นการยอมรับอย่างเป็นทางการของมาบุญครองฯ เกี่ยวกับปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่

แต่กว่าจะออกมายอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน มาบุญครองฯ ถูกยื่นฟ้อง ณ ศาลแพ่งไปแล้วอย่างน้อย 5 คดี อาทิบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เอ็มซีซี. ยื่นฟ้องในข้อหาความผิดเกี่ยวกับตั๋วเงินจำนวน 5,151,232 บาท บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์พัฒนสิน (บางกอกโนมูระ) ยื่นฟ้องในข้อหาเดียวกันกับจำนวนเงิน 5,293,972 ล้านบาท บริษัทซีพีเอส (ประเทศไทย ผู้รับจ้างทำความสะอาดอาคารมาบุญครองเซ็นเตอร์ยื่นฟ้องเรียกเงินค่าค้างจ่าย จำนวน 3,649,234.41 บาท หรือรายที่จำนวนเงินไม่ถึง 1 ล้านก็ร่วมสังฆกรรมด้วยคือบริษัทไทยรุ่งเรืองฮาร์ดแวร์ยื่นฟ้องมาบุญครองอบพืชและไซโลเรียกชำระเงินค่าลวดตาข่ายจำนวน 108,274 บาท

และอีกรายที่ "ผู้จัดการ" ตกอกตกใจประมาณเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2529 บริษัทล็อกเล่ย์ (กรุงเทพ) ยื่นฟ้องเรียกให้จ่ายหนี้เพียง 113,400 บาท (ค่าอุปกรณ์โทรศัพท์และอะไหล่ลิฟท์) เมื่อเทียบกับคู่กรณีแล้ววงเงินที่ต้องลงเอยที่ศาลนี้ถือว่า "จิ๊บจ๊อย" มาก ยิ่งเมื่อทราบว่าบริษัทล็อกเล่ย์ฯ คือธุรกิจเก่าแก่ของตระกูลล่ำซำ ผู้ถือหุ้นสำคัญและผู้บริหารธนาคารกสิกรไทยที่ศิริชัย บูลกุล ผู้บริหารสูงสุดมาบุญครองฯ พยายามเจรจาต้าอวยตามแผน Restructure กันอยู่ ก็ยิ่งงุนงงเข้าไปอีก "อาจเป็นเรื่องระดับเจ้าหน้าที่เขาทำกันไป ทวงกันตั้ง 8 เดือนไม่จ่าย เป็นผมก็ต้องใช้วิธีนี้" ผู้สันทัดกรณีวิจารณ์

คดีที่ศิริชัย บูลกุล กรรมการผู้จัดการบริษัทมาบุญ๕รองอบพืชและไซโลหนักใจที่สุดคือ ธนาคารปารีบาร์แห่งฝรั่งเศสยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งในข้อหาผิดสัญญากู้เงิน ในวงเงิน 72,052,680 บาท เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2529

จำนวนเงินดูไม่มาก แต่ก็ทำให้มาบุญครองฯ ไม่สามารถเคลียร์หนี้ก้อนใหญ่ 730 ล้านบาทจากเงินต้น 675 ล้านบาทอันจะสามารถเจรจากู้เงินก้อนใหม่มาหล่อลื่นโครงการทั้งโครงการเลยทีเดียว

ธนาคารปารีบาร์ขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน ในที่สุดศาลได้ออกคำสั่งห้ามมาบุญครองฯ จำนองอาคารมาบุญครองเซ็นเตอร์เพื่อกู้เงินจากธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกสิกรไทยจำนวนดังกล่าว (โปรดอ่านรายละเอียดในล้อมกรอบ)

เรียกได้ว่าแผนแก้ปัญหาขาดเงินหมุนเวียนจำต้องชะงักอยู่อย่างไรก็อย่างนั้นจนทุกวันนี้

เรื่องของเรื่องมาจากแผนการ "ฟื้นฟู" สภาพคล่องของกิจการ โดยธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกสิกรไทยที่เปลี่ยนจากการกู้เงินระยะสั้นมาเป็นการกู้ระยะยาว และธนาคารทั้งสองขอให้นำอาคารศูนย์การค้ามาบุญครองเซ็นเตอร์มาค้ำประกันซึ่งอยู่ระหว่างการประกาศให้มีการคัดค้าน

และธนาคารปารีบาส์ก็โดยเข้าคัดค้านโดยอ้างว่าผิดสัญญากู้เงินดังกล่าว

ผู้สังเกตการณ์มองเหตุการณ์เรื่องนี้บอกว่า "ดูว่าเรื่องเล็กก็เล็ก มองว่าเรื่องใหญ่ก็ใหญ่" โดยพยายามชี้ว่าต้องจับตาดูศิริชัย บูลกุล และมาชานลี นักการเงินชั้นเซียนของมาบุญครองฯ จะแก้ปัญหานี้อย่างไร?

โดยมีทางออก หนึ่ง-ธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกสิกรไทยต้องเปลี่ยนเงื่อนไขสัญญากู้เงินใหม่ หรือยอมจ่ายเงินก้อนหนึ่งมาเคลียร์หนี้สินกับปารีบาร์ก่อน สอง-ศิริชัย หาเงินกู้จากแหล่งอื่นๆ สักก้อน โดยไม่มีเงื่อนไขผูกพันที่จะมาทำนิติกรรมกับอาคารมาบุญครองเซ็นเตอร์นำมาเคลียร์หนี้กับธนาคารปารีบาส์

เวลาตั้งแต่ 6 มิถุายนมาจนถึงปัจจุบัน (25 กรกฎาคม 2529) หรือเกือบ 2 เดือนทุกอย่างยังเดินไปตามขั้นตอน

มันไม่ง่ายเลยที่มาบุญครองฯ จะแก้ปัญหานี้ - ข้อสรุปจากเวลาที่ผ่านไปและเท่ากับเป็นการตอกย้ำรายงานที่ "ผู้จัดการ" เคยเขียนไว้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2529 ที่ว่าศิริชัย บูลกุล วิ่งวุ่นหาเงินกู้สักก้อน จากแหล่งเงินกู้ต่างๆ แม้กระทั่งธนาคารที่ไม่เคยติดต่อกันเลยเช่นธนาคารศรีนครก็ตาม หลังจากเงินงวดสุดท้ายจากธนาคารไทยพาณิชย์หมดลงแล้ว

คำถามที่เกิดขึ้นในฉับพลันก็คือ เครือมาบุญครองฯ มีสินทรัพย์รวมๆ กันประมาณ 3 พันล้านบาท หนี้เก่าหนี้ใหม่รวมกันน่าจะน้อยกว่าสินทรัพย์นั้นจริงหรือไม่?

สถานะของมาบุญครองเป็นเช่นไรในสายตาของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ ถึงไม่ยอมให้เงินกู้สักก้อนเพียงเพื่อปรับเงื่อนไขในการกู้เงิน 730 ล้านบาทจากธนาคารไทยพาณิชย์และกสิกรไทย

และก็เชื่อกันต่อไปว่ามิเพียงมีปัญหากับธนาคารปารีบาส์แห่งฝรั่งเศสเท่านั้นน่าจะมีอะไร "ซ่อน" อยู่ข้างในอีกมาก!!

ที่สำคัญ ศิริชัย บูลกุลเองนั้นแหละคือที่มาของความยุ่งยากทั้งปวง (โปรดอ่านล้อมกรอบเรื่องความเชื่อไทยๆ จิตใจ ฮ่องกง บางที…อาจจบลงแบบโฮเวิร์ดฮิวส์")

ทุกอย่างล้วนมารวมศูนย์ที่ศิริชัย บูลกุล เพราะมาบุญครองคอมเพล็กซ์เป็น "ที่ยื่น" สำคัญที่เขาจะยืนหยัดต่อสู้ เพื่อความยิ่งใหญ่ของมาบุญครองกรุ๊ปที่เขาสร้างมาด้วยมือของเขา

ในประเทศไทยไม่มีที่อื่นอีกแล้ว! สำหรับศิริชัย



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.