สิบแปดปีกับการเจริญเติบใหญ่อย่างน่าอัศจรรย์ในของปูนซีเมนต์นครหลวง เป็นเรื่องที่มิอาจปฏิเสธเสียงสรรเสริญเยินยอ
ทว่าจังหวะรุกซึ่งพร้อมจะปีกกล้าขาแข็งไปสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ก็เป็นเรื่องที่จำต้องพูดถึงเช่นกัน
ด้วยว่าภายใต้อำนาจเบ็ดเสร็จของอินทรีผยองเดช "สมเกียรติ ลิมทรง"
นัยว่านโยบายและกลไกต่าง ๆ ขององค์กรออกจะลักหลั่นจนน่าหวั่นเกรงต่อผลกระทบที่อาจเกี่ยวโยงมายังระบบความมั่นคงของเศรษฐกิจส่วนรวมเป็นอย่างยิ่ง!!!
"ผู้จัดการ" จำต้องเขียนถึงปูนซีเมนต์นครหลวงอีกครั้งด้วยเหตุผลที่ว่า
1. จากผลประกอบการของบริษัทฯ ที่สามารถฝ่าคลื่นลมแรงเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาและธุรกิจการก่อสร้างที่หดตัวลงมาได้อย่างสง่าผ่าเผย
ด้วยผลกำไร ณ สิ้นปี 2529 564,714,710.88 บาท ซึ่งเปรียบเทียบกับปี 2527
ที่อยู่ในภาวะเดียวกันสามารถทำกำไรเพิ่มได้ถึง 100% โดยปีนั้นได้เพียง 284,257,000
บาท
ในภาวะไข้เศรษฐกิจที่ยังไม่พ้นห้อง ไอ.ซี.ยู. คงมีองค์กรธุรกิจไม่มากนักที่จะทำได้เยี่ยงเดียวกับปูนซีเมนต์นครหลวง
ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ยอมจะไม่สนใจไม่ได้!?
2. จากการขยายกำลังการผลิตของโรงงานแห่งใหม่ ที่ กม. 131 ต. ทับกวาง อ.
แก่งคอย จ. สระบุรี อีกปีละ 1,750,000 ตัน โดยจะ TEST RUN ในเดือนกรกฎาคมนี้เมื่อบวกกับกำลังผลิตเดิมจะสูงถึงปีละ
4.6 ล้านตันห่างกันแค่นิ้วมือเดียวกับปูนซีเมนต์ไทย การขยายตัวอย่างรวดเร็วพร้อมกับผู้ผลิตรายอื่นในภาวะตลาดที่ยังทรงตัวและเปลี่ยนอำนาจต่อรองมาเป็นของผู้ซื้อมากขึ้นทำให้การผลิตเหลือมาก
จากจุดนี้ทำให้ปูนนครหลวงฯ จำต้องตัดสินใจขยายฐานประกอบการไปในวงธุรกิจอื่น
ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หลังจากที่สงบเสงี่ยมมาหลายสิบปี โดยได้ลงทุนในกิจการดังต่อไปนี้เพิ่มขึ้น
บริษัท นครหลวงกระเบื้องและท่อถือหุ้นร้อยละ 99.99
บริษั ทีจี. สุขภัณฑ์ ถือหุ้นร้อยละ 51.00 ซึ่งผลิตสุขภัณฑ์สำหรับตลาดทั้งในและนอกประเทศ
บริษัท ทีจี. เซรามิคส์ จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 51.00 ผลิตเครื่องโต๊ะอาหารคุณภาพสูงชนิดปอร์สเลนสำหรับตลาดในประเทศ
บริษัท เซ็นทรัล เซรามิคส์ จำกัด ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานผลิตเคื่องโต๊ะอหารคุณภาพสูงชนิดโบนไซน่า
ปอร์สเลนและสโตนแวร์ การขยายตัวครั้งนี้ถ้าไม่นับอุตสาหกรรมเสถีรภาพและบัวหลวงเซรามิคที่เคยเป็นยักษ์ใหญ่ล้มครืนมาแล้วนั้น
อาจกล่าวว่าเซ็นทรัลฯ เป็นโรงงานที่มีกำลังการผลิตสูงสุด
ดูตาราง 1. เงินลงทุนในบริษัทในเครือ)
ปี 2530 เป็นปีที่ ชวน รัตนรักษ์และสมเกียรติ ลิมทรง สองกุญแจดอกสำคัญที่ไขความสำเร็จมาให้ปูนนครหลวงฯ
ประกาศกล้าว่า จะเป็นต้นร่างของการขยายตัวในระยะยาวต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!!!
ชวน รัตนรักษ์ ได้ให้คำมั่นสัญญาต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า
"บริษัทจะพยายามดำเนินกิจการด้วยความระมัดระวังและจะปฏิบัติงานอย่างสุขุมรอบคอบเพื่อให้บริษัทฯ
ประสบผลสำเร็จยิ่งขึ้น ๆ ไปในอนาคต"
สัจจะสัญานี้ถึงจะมีน้ำหนักหนักแน่นเพียงใดทว่าเมื่อมองทวนกระแสเข้าไปในองค์กรซึ่งผ่านพ้นช่วงของการก่อร่างสร้างตัวมาหมาด
ๆ มิผิดอะไรกับวัยรุ่นลำพองที่ริจะเรียนรักในขณะที่ความเป็นจริงยังจะต้องสะสมเรียนรู้ประสบการณ์อีกมากมาย
ความเปราะบางและความแข็งแกร่งที่ยืนตระหง่านท้าทายจนแยกแทบไม่ออกจากกันเช่นนี้เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การสนใจและเฝ้าติดตามยิ่งนัก
3. การเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร ในสิ้นปีนี้ผู้บริหารระดับสูง ซึ่งร่วมปลุกปั้นบริษัทฯ
มาตั้งแต่ต้นบางคนถึงเวลาเกษียณอายุ และบางคนแสดงความประสงค์จะขอลาออกเพื่อเปิด
"ไฟเขียว" ให้คนรุ่นหลังก้าวขึ้นมา จุดของการปรับเปลี่ยนขบวนที่จะต้องเกิดขึ้นแน่
ๆ และอาจเป็นครั้งแรกของบริษัทฯ ที่มีการโยกย้ายสับเปลี่ยนครั้งใหญ่
เนื่องเพราะปูนซีเมนต์นครหลวงได้เคยทดลองสับเปลี่ยนผู้บริหารภายในครั้งย่อยมาครั้งหนึ่ง
ด้วยความไม่พรักพร้อมความไม่เข้าใจอย่างแจ่มชัดในทิศทางการพัฒนางานของบริษัทฯ
ถึงกับทำให้การสับเปลี่ยนครั้งที่ผ่านมา ก่อให้เกิดภาวะซวนเซอย่างเงียบ ๆ
ไปไม่น้อย
คงไม่ต้องประเมินค่าเสียหายออกมาเป็นตัวเลขว่าเท่าใด เพราะเรื่องนี้ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทฯ
รู้แจ้งแก่ใจดีว่า บทเรียนครั้งนั้นเจ็บพิลึกถึงเนื้อในเพียงใด!?
"ปูนกลางไม่แตกต่างอะไรกับพีรามิดที่เอาหัวตั้งลง ยอดบนมองดูถึงการขยายตัวอย่างไม่หยุดหย่อน
แต่คนที่สัมผัสความเป็นจริงจะรู้ดีว่าฐานล่างที่จะรองรับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุคลากร
นโยบายการทำงาน ล้วนแต่ยังเปราะบางสิ้นดี" อดีตพนักงานของบริษัทฯ คนหนึ่งกล่าวกับ
"ผู้จัดการ" ด้วยความเป็นห่วง
ถ้าบาดแผลในอดีตจะเป็นเครื่องตอกย้ำสำนึกดุจดั่งเข็มทิศชี้อนาคตที่ดีก็จำเป็นที่จะต้องนำมากล่าวอ้างให้ได้พูดถึงปูนซีเมนต์นครหลวงอีกเป็นครั้งที่สอง!
หากมีใครนึกสนุกตั้งคำถามกับพนักงานเก่า ๆ ของปูนซีเมนต์นครหลวงว่าระหว่าง
ชวน รัตนรักษ์ ศุลี มหาสันทนะ และสมเกียรติ ลิมทรง สามคนนี้ใครเก่งกว่าใคร
และใครที่เก่งเยี่ยมยอดที่สุด คำตอบที่จะออกมาอย่างไม่ลังเลเลยก็คือว่า "เก่งพอกัน
เหนือฟ้าอาจมีฟ้า แต่เหนือคนในสามคนนี้ไม่มีแน่นอน"
ชวน รัตนรักษ์-ในฐานะเจ้าของทุนรายใหญ่จากชาติกำเนิดและวิถีการไต่เต้าจนสามารถดำรงสถานะผู้ประกอบการธนาคารรายใหญ่รายหนึ่ง
(ธนาคารกรุงศรีอยุธยา) ทั้ง ๆ ที่ชีวิตของเขาเพิ่งเริ่มจุดพลุเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่
2 ขณะที่เจ้าของกิจการรายอื่น ๆ สะสมอิทธิพลบารมีมานับสิบ ๆ ปี แต่ที่สุดชวนก็ทำให้หลายคนประจักษ์ว่า
มาช้าหรือเร็วไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าพริกเม็ดไหนจะเผ็ดร้อนแรงกว่ากันเท่านั้น!?
ชวน-มีลักษณะนายทุนใหม่เต็มตัวเข้าใจ และรู้จักช่วงชิงสถานการณ์มาเอื้ออำนวยประโยชน์แก่ตนให้ได้มากที่สุด
ไม่มีลักษณะรั้งรอหรือขลาดกลัวต่อความผิดพลาด ดังจะเห็นได้จากการก่อตั้งโรงงานปูนซีเมนต์
นอกจากต้องการผลผลิตมาตอบสนองต่อธุรกิจบ้านจัดสรรที่มีอยู่ด้านหนึ่งชวนมองว่าต่อไปการขอใบอนุญาต
ก่อตั้งโรงงานจะเป็นไปอย่างยากลำบาก
ดังนั้นในขณะที่กลุ่มถนอม-ประภาส ณรงค์ ยังเรืองอำนาจและมีความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อกับตนเป็นอย่างดี
ชวนจึงไม่ลังเลที่จะสุ่มเสี่ยงขอใบอนุญาตก่อตั้งโรงงานทันที ซึ่งความคิดของเขาก็ไม่ผิดเสียด้วย
เพราะระยะหลัง ๆ ถึงจะมีผู้ต้องการตั้งโรงงานแต่ก็ไม่ง่ายเสียแล้ว!
ศุลี มหาสันทนะ-นักบริหารมืออาชีพที่ผ่านการเพาะบ่มกลั่นกรองอย่างดีมาจากบริษัท
เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด ศุลีได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีทั้งพระเดชและพระคุณพร้อมกันในตัว
เช่นเดียวกับที่เป็นทั้งนักบริหารและนักปฏิบัติในเวลาเดียวกันโดยไม่มีช่องว่างให้ผิดพลาด
ศุลี-เป็นมือปืนรับจ้างโดยแท้จริงสามารถกระทำได้ทุกอย่าง ขอให้เป็นงานที่รับผิดชอบดำเนินไปอย่างราบรื่นโดยไม่กริ่งเกรงต่อเจ้าของทุน
นอกจากนี้ยังเป็นคนช่างจำนรรจาสามารถเกลี้ยกล่อมเรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้ให้กลับเป็นจริง
ประจักษ์พยานข้อนี้ดูได้จากการที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมรัฐบาลเปรม 2 โดยถูกวางหมากให้เป็นผู้ต่อรองเรื่องราคาน้ำมันกับบริษัทข้ามชาติอย่างชนิดที่ฝรั่งต้องปวดแสบปวดร้อนไปตาม
ๆ กัน
แม้จะมีเสียงกล่าวขานว่า ในแง่การทำงานศุลีออกจะขัดแย้งกับสมเกียรติอยู่บ่อย
ๆ จนเมื่อเขาต้องจากไปมือดี ๆ ที่เคนเคียงข้างกันมาล้วนถูกฉาบแช่แข็งไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด
แต่กระนั้นศุลีก็ได้ชื่อว่า เป็นผู้ลงหลักปักฐานให้กับปูนซีเมนต์นครหลวงโดยแท้จริง
สมหมาย ลิมทรง-ไม่ว่าใครจะมองเขาว่าเป็นคนแบบไหน…แบบไหน…ก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องยอมยกให้ก็คือว่า
"สมเกียรติเกิดมาเพื่อเป็นผู้สร้างโดยแท้" นอกเหนือไปจากเวลาเล็ก
ๆ น้อย ๆ ที่เจียดไปให้กับความสวยงามของสาว ๆ ริมขอบเวทีประกวดนางสาวไทย
ตามประสาคนหนุ่มที่ยังโสดและซิง เวลาที่เหลือทั้งหมดเขาทุ่มเทไปให้กับการทำงานอย่างไม่ระย่อท้อ
(ประวัติสมเกียรติลงละเอียดใน "ผู้จัดการ" ฉบับที่ 33)
สมเกียรติเก่งฉกาจมากในเรื่อง FINANCING เคยถูกแบงก์ชาติทาบทามให้เข้าไปเป็นกรรมการธนาคารนครหลวงไทยในฐานะผู้ถือหุ้น
แต่เมื่อมองดูสถานภาพที่ง่อนแง่นเต็มทีของธนาคารนครหลวงไทยในขณะนั้นนอกจากจะปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใยแล้วยังเทหุ้นขายฟันกำไรอย่างสบาย
ๆ ก่อนที่แบงก์จะล้มครืนเสียอีก!
ปัจจุบันสมเกียรติเป็นอินทรีที่กางปีกครอบคลุมอาณาจักรปูนซีเมนต์นครหลวงเพียงผู้เดียว
ยุคของเขาเป็นยุคการเติบโตอย่างรุ่งโรจน์ที่สุดสำหรับปูนซีเมนต์นครหลวง การขยายตัวทั้งในส่วนการผลิตปูนซีเมนต์
และที่ขยับขยายไปยังสายผลิตภัณฑ์อื่น (PRODUCT LINE) ล้วนเป็นผลผลิตจากมันสมองของเขาทั้งสิ้น
จนถึงกับมีคำกล่าวว่า ปูนซีเมนต์นครหลวงจะอยู่หรือไป?! อินทรีจะองอาจผงาดฟ้าหรือปีกหักอย่างบ้อท่าย่อมขึ้นอยู่กับสมเกียรติเป็นสำคัญ!!
เพราะเดี๋ยวนี้สมเกียรติยังคงมุ่งมั่นปรารถนาที่จะสำแดงฝีมือให้ลือลั่น ในรูปแบบข้าขอลิขิตขีดเส้นชะตาที่ไม่ต้องการให้ใครกำหนดด้วยตัวของตัวเองเพียงหนึ่งเดียว
การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรที่จะต้องเกิดขึ้นภายในสิ้นปีนี้ตามภาวะการณ์จะเป็นบทพิสูจน์ที่ดีว่า
"สมเกียรติจะผ่อนคลายความตึงของตัวเองลงมาสักแค่ไหน"?
แต่ยังมิทันเคลื่อนไหวพนักงานบางคนก็อดไม่ได้ที่จะเปรียบเปรยกับ "ผู้จัดการ"
ว่า "ไม่ว่าจะมีแผนการลึกซึ้งแค่ไหน แต่ที่สุดอำนาจซึ่งจะสนับสนุนความรุ่งเรืองหรือเหนี่ยวรั้งบริษัทฯ
ให้ต่ำลง ยังจะต้องเป็นมือไม้หรือเป็นคนที่สามารถรับคำสั่งจากข้างบนได้โดยไม่มีเสียงขัดแย้งหรือซักถามให้วุ่นวายใจ"
รูปแบบการบริหารงานของปูนซีเมนต์นครหลวงปัจจุบันนอกจาก สมเกียรติที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดยังมีผู้บริหารระดับรองที่คอยรองรับคำสั่งงานมายังพนักงานระดับล่างช่วยเหลืออีก
2 คน คือ ประมวล ศกุนตนาค ลูกหม้อดั้งเดิมของบริษัทฯ รับผิดชอบงานสายการตลาด
กับ ดร.สุโรจน์ รับผิดชอบด้านการผลิต
ตำแหน่งหน้าที่ของ ดร.สุโรจน์ ดูจะไม่มีปัญหาให้เป็นที่กังวลมากนัก เนื่องจากสมเกียรติให้ความเกรงใจฝ่ายผลิตค่อนข้างสูง
เพราะว่าตัวเองไม่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้พอ โดยเฉพาะกับยุทธ ยุคแผน ผู้จัดการฝ่ายโรงงาน
สมเกียรติแทบจะไม่ย่างกายเข้าไปข้องแวะให้ยุ่งยากใจเลย
ทว่ากับตำแหน่งหน้าที่ที่ ประมวล ศกุนตนาค นั่งทับ ซึ่งถือได้ว่าเป็นหัวใจของบริษัทฯ
ส่อเค้าความยุ่งยากมาเป็นระยะๆ ทั้งนี้เนื่องจากสายงานด้านนี้ สมเกียรติไม่เคยปล่อยให้คราดคราไปจากสายตาของตนเลยแม้แต่น้อย
และคงต้องยุ่งยากขึ้นอีกเมื่อประมวลจะต้องเกษียณอายุในปี 2531
แม้ตำแหน่งที่เปรียบเสมือนขุนพลของบริษัทฯ จะรู้ล่วงหน้าเป็นปี ๆ ว่าต้องว่างลงแน่นอน
แต่ปัจจุบันหาได้มีการขยับเพื่อเตรียมคนที่จะขึ้นมารองรับแต่อย่างใด พฤติกรรมเยี่ยงนี้ผิดแผกแตกต่างไปจากองค์กรธุรกิจอื่น
ๆ ที่มีขนาดใหญ่ในระดับเดียวกันมากทีเดียว
แหล่งข่าวในปูนซีเมนต์นครหลวงเผยกับ "ผู้จัดการ" ถึงสภาพภายในที่เป็นอยู่ในขณะนี้ว่า
ระดับผู้จัดการฝ่ายที่อยู่ในตำแหน่งรองลงไปจากประมวลและอยู่ในอันดับที่มีโอกาสจะขึ้นทดแทนได้มีการวิ่งเต้นกันสุดขีด
แต่ขณะเดียวกันก็เตรียมตัวรับความขมขื่นไว้ไม่น้อย ด้วยเกรงว่าอาจมีการดึงบุคคลภายนอกเข้ามารับภาระหน้าที่ซึ่งก็มีแนวโน้มเป็นไปได้ไม่น้อย
จนทำให้ขวัญและกำลังใจในการทำงานแทบจะไม่มี
อดีตพนักงานของบริษัทฯ คนหนึ่งเผยกับ "ผู้จัดการ" ว่า สมเกียรติเคยกล่าวกับคนใกล้ชิดที่ต้องไปไหนกับเขาอยู่บ่อย
ๆ ว่า "ถึงตำแหน่งผู้บริหารชั้นสูงจะต้องว่างลงอีกตำแหน่ง แต่เขายังจะไม่ตัดสินใจอะไร
เพราะเขาไม่เคยเชื่อใจใครว่าจะเก่งไปกว่าเขาอีกแล้ว"
"มองในแง่สายงาน ประมวลอาจคุมงานทั้งหมด แต่ในแง่การทำงานอำนาจที่ได้รับค่อนข้างจำกัดจำเขี่ยเต็มทน
เรื่องที่สำคัญ ๆ จะต้องให้สมเกียรติเป็นคนตัดสินใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการโยกย้ายพนักงาน
เรื่องส่งเสริมการขายกับดีลเลอร์ต่าง ๆ คงไม่มีที่ไหนอีกแล้วที่ระดับหัวหน้าฝ่ายไม่มีแม้แต่อำนาจจะเซ็นเบิกของได้ด้วยตัวเอง"
แหล่งข่าวกล่าว
การวางนโยบายปฏิบัติการระหว่างระดับสูงกับระดับล่างของปูนซีเมนต์นครหลวงเท่าที่
"ผู้จัดการ" ติดตามมาโดยตลอด พบว่า แม้ว่าบริษัทฯ จะมีการวางมาตรการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงานค่อนข้างจะรัดกุม
ไม่มีการใช้เส้นสายมากมายนักซึ่งทำให้ได้พนักงานที่มีคุณภาพค่อนข้างสูงดังจะดูได้จาก
จำนวนพนักงานเมื่อเปรียบเทียบกับกำลังผลิตของทั้ง 3 ปูน สัดส่วนการทำงานของพนักงานปูนซีเมนต์นครหลวงมีเปอร์เซ็นต์สูงกว่าทุกแห่ง
โดยกำลังการผลิต 2.8 ล้านตัน ใช้พนักงานผลักดันความก้าวหน้าทั้งบริษัท (การตลาด-การผลิต-ธุรการ)
เพียง 1,040 คน ขณะที่ปูนซีเมนต์ไทยที่มีกำลังการผลิต 6.3 ล้านตัน ใช้พนักงานถึง
4,000 คน และชลประทานซีเมนต์ที่มีกำลังผลิต 0.85 ล้านตันใช้พนักงาน 1,100
คน
กำรี้กำไรและความสำเร็จที่งอกเงยเป็นก่ายเป็นกองมากขึ้น ๆ ทุกปีย่อมสะท้อนภาพที่ชัดเจนที่สุดว่า
พนักงานปูนซีเมนต์นครหลวงเยี่ยมยอดเพียงใด แต่เป็นที่น่าเสียดายมากกว่า เมื่อก้าวมาถึงระดับของการเป็นผู้จัดการแผนกซึ่งหลายคนมีแววว่าจะรุ่งเรืองกลับต้องถูกดองไม่ให้โตมากไปกว่าที่เป็นอยู่!?
อดีตพนักงานคนหนึ่งเผยกับ "ผู้จัดการ" ว่า อย่าได้ไปถามหาทุนศึกษาต่อจากบริษัทฯ
เลย โดยเฉพาะในส่วนการตลาด หากคิดจะเรียนต่อก็ต้องลาออก เรื่องนี้จะกล่าวโทษประมวลที่เป็นผู้บังคับบัญชาเบื้องต้นก็ไม่ถูกต้องมากนัก
เพราะว่าตัวประมวลเองเท่าที่ผ่านมาก็ถูกกดดันให้เป็นเพียงผู้ถ่ายทอดคำสั่งงานเท่านั้น
"อาจจะดีหน่อยกับฝ่ายโรงงานที่คุณยุทธแกกล้าขัดแย้ง กล้าโต้ตอบกับสมเกียรติ
จนสามารถตั้งทุนให้กับพนักงานโรงงานมีสิทธิไปเรียนต่อได้ ซึ่งผลที่ได้รับทำให้ประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานอยู่ปริมาณที่สูงเมื่อเทียบกับโรงงานอื่น
ๆ"
และให้น่าแปลกใจมากขึ้นอีกว่า ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่างฝ่ายการตลาดกับฝ่ายโรงงานในแง่ประสิทธิภาพของงานที่ปรากฎออกมามิได้เป็นตัวกระตุ้นให้ผู้กุมนโยบายของบริษัทฯ
คิดที่จะดำเนินแก้ไขเพื่อลดช่องว่างให้น้อยลงแต่อย่างใด พนักงานส่วนการตลาดมากคน
ตกอยู่ในสภาพเคว้งและคว้างจนเหลือที่จะอดทน
จริงอยู่ที่ว่าปูนซีเมนต์ทั้ง 3 ยี่ห้อของปูนนครหลวงฯ ไม่ว่าจะเป็น ตรานกอินทรี
ตราเพชร หรือตราสามเพชร เป็นปูนซีเมนต์ที่ได้รับเครื่องหมายรับรองคุณภาพว่า
เป็นปูนชั้นยอดตัวหนึ่ง แต่เมื่อมองสภาพความเป็นจริงของตลาดที่ต้องแข่งขันกันสูง
ต้องใช้กลยุทธ์หลายหลากตลอดจนมือโปรเข้ามา Run งาน
จุดนี้ให้น่าเป็นห่วงปูนซีเมนต์นครหลวงไม่น้อย!!!
"ที่ปูนนครหลวงฯ โตขึ้นมาได้นั้น ต้องถือว่าความเฮงของตลาดมีส่วนช่วยเหลือไม่น้อย
แต่ในอนาคตไม่อาจคาดหวังได้อย่างนั้นอีกแล้ว และทีนี้ล่ะจะพิสูจน์กันเสียทีว่า
เก่งกับเฮงที่เกิดขึ้นจะมีอายุยืนยาวเพียงใด ถ้าบริษัทฯ ไม่บีบคั้นการเติบโตของพนักงาน
ให้การฝึกอบรมและศึกษามากขึ้นโอกาสที่จะเป็นผู้ชนะก็มีมาก" แหล่งข่าวกล่าว
มาถึงประเด็นการโยกย้ายสับเปลี่ยนภายในบริษัทฯ ที่เป็นกิจพึงควรปฏิบัติของทุกองค์กรฯ
ทั้งนี้ เพื่อหาวิธีการที่จะปลุกเร้าการทำงานและการแก้ไขปัญหาให้ได้ดีที่สุด
กล่าวโดยของปูนซีเมนต์นครหลวงนั้นมีน้อยมากจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีเลย แต่ถึงคราวจะเปลี่ยนสักครั้งก็เล่นเอาเถิดวุ่นวายไม่น้อย
ดังจะดูได้จากบทเรียนของคำสั่งโยกย้ายเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2528
ครั้งนั้นถือได้ว่าเป็นคำสั่งแรกของสมเกียรติที่ให้มีการโยกย้ายผู้บริหารระดับสูงโดย้ายวีรศักดิ์
อิงคโรจนฤทธิ์ จากฝ่ายขายเป็นฝ่ายปฏิบัติการ และให้สุนทร กิติยวัฒน์จากฝ่ายปฏิบัติการตลาดไปประจำฝ่ายขายผลที่ออกมาก็คือเกิดการตีกันข้อมูลไม่ให้ความกระจ่างชัดแก่กันและกัน
ผู้ถูกโยกย้ายไม่เคลียร์ในนโยบาย จนเกิดความสับสนขึ้นอย่างมากในบริษัทฯ พนักงานไม่มีจิตใจทำงาน
บทเรียนแบ่งแยกแล้วปกครอง หากเป็นการปกครองที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างฝ่ายอย่างสูง
ทำให้เกิดคำถามขึ้นในใจว่า "กับการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายแทนตำแหน่งประมวลที่จะขึ้นจะเกิดอาการตีกันข้อมูลให้วุ่นวายจนทำให้บริษัทซวนเซอีกครั้งหรือไม่"
คำตอบนี้ สมเกียรติ ลิมทรง คงเป็นผู้ให้การชี้แจงแถลงไขได้ดีกว่าใคร"!?
สำหรับผู้ที่อยู่ในข่ายอาจผ่านความเห็นชอบจากสมเกียรติให้ขึ้นมาเป็นตัวรองจากตนแทนประมวล
ศกุนตนาค โดยมองจากคนภายในมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งในส่วนการตลาดมือรองลงไปจากประมวลมีด้วยกัน
7 คนคือ
เสถียรภาพ พันธุ์ไพโรจน์ ผู้จัดการฝ่ายบุคคล
วีรศักดิ์ อิงคโรจนฤทธิ์ ผู้จัดการฝ่ายขาย
จำลอง นิมบุญจาช ผู้จัดการฝ่ายขาย
สุนทร กิติยวัฒน์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด
ธงชัย จันทรางกูล ณอยุธยา รองผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ
ดวงกมล สุชาโต ผู้จัดการฝ่ายบัญชี
สุวิทย์ นารถวังเมือง ผู้จัดการฝ่ายบริการตลาดและกรรมการผู้จัดการ ทีจี.
เซรามิคส์
ทั้ง 7 คนมีโอกาสยิ้มแย้มและร้องไห้ในระดับอัตราเสี่ยงที่แตกต่างมากน้อยกว่ากันไม่มากนัก
เพราะแต่ละคนก็มีจุดเด่นจุดด้อยแยกแยะกันออกไป
เสถียรภาพ พันธุ์ไพโรจน์ เป็นบุคคลที่สนิทชิดเชื้อกับสมเกียรติมากที่สุด
เป็นบุคคลที่ถ่ายทอดความเป็นสมเกียรติจนเกือบทุกกระเบียดนิ้วเว้นไว้เสียแต่การแต่งกายที่บางครั้งออกจะหรูหราล้ำหน้าอยู่นิด
ๆ
สิงห์ดำจากจุฬาฯ ผู้นี้เคยผ่านการเป็นเซลส์ปูนซีเมนต์ไทยมาก่อน ไปศึกษาต่อที่นอร์ท
เวสเทิร์น แล้วเข้ามาทำงานในปูนซีเมนต์นครหลวง เป็นคนที่วางระบบเงินเดือนให้กับบริษัทฯ
พร้อมทั้งเป็นผู้จัดรูปแบบการบริหารงาน สมเกียรติให้ความเชื่อใจมากในการเป็นตัวแทนติดต่อราชการเพราะตัวเสถียรภาพเป็นผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้างศาลแรงงานกลางอีกด้วย
ครั้งที่พนักงานเรียกค่าชดใช้เสียหายเป็นเงิน 68.1 ล้านบาท กรณีเลิกจ้างไม่เป็นธรรมคราวโอนย้ายพนักงานส่วนหนึ่งของบริษัทฯ
ให้ไปประจำที่บริษัท นครหลวงคอนกรีต จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือตั้งใหม่
(2527) เสถียรภาพเป็นคนที่พูดกลางงานเลี้ยงปีใหม่ว่า "ตราบใดที่ผมยังเป็นผู้พิพากษาอยู่บริษัทฯ
ต้องเป็นผู้ชนะเสมอ"
ซึ่งเขาก็ทำได้จริง ๆ เพราะคำพิพากษาของศาลฎีกาครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่
24 ตุลาคม 2529 ยืนยันให้บริษัทฯ เป็นผู้ได้เปรียบ และนั้นเท่ากับเป็นการเปิดรอยแผลให้กับพนักงานส่วนหนึ่งไม่น้อยเลยทีเดียว
มองในแง่ความร่วมมือร่วมใจเสถียรภาพดูจะมีน้อยที่สุดกับพนักงานทั่ว ๆ ไป
สุนทร กิติยวัฒน์-สมัยที่ศุลียังบริหารงานอยู่ สุนทรได้ชื่อว่าเป็นคนที่ศุลีมอบหมายงานให้ทำมากที่สุด
จนมองดูเป็นตัวตายตัวแทน แต่เมื่อศุลีจากไปบทบาทของเขาก็ลดน้อยลง ๆ จนเคยบ่นกับคนใกล้ชิดว่า
ถ้าไม่เป็นห่วงเงินเดือนที่ได้รับอย่างสูงก็ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป
สุนทรจบด้านบัญชีจากธรรมศาสตร์และ เอ็มบีเอ. จากนิด้า เป็นผู้จัดการแผนกที่ลูกน้องรักใคร่มากที่สุด
เป็นนักวางแผนตัวฉกาจ ถ้าศุลียังคงอยู่แล้วเชื่อเหลือเกินว่าอาคตของสุนทรกับชีวิตที่ฝากฝังไว้กับปูนนครหลวงฯ
คงพุ่งไม่หยุดยั้งแน่นอน
ทว่าวันนี้คงต้องพูดกันยาวนานหน่อย!!!
ธงชัย จันทรางกูล ณ อยุธยา-เป็นรองผู้จัดการแผนกคนล่าสุดที่สมเกียรติทาบทามตัวมาจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
(กนอ.) เมื่อไม่นานมานี้มองกันได้ว่า ธงชัยอาจเป็นมือซ้ายคนสำคัญของสมเกียรติในอนาคต
การเข้ามาอย่างฉับพลันทันด่วนของเขาสร้างความสนเห์และไม่สู้พึงพอใจบางส่วนแก่พนักงานเก่า
ๆ ที่ควรได้รับสิทธิให้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นไป แต่อย่างไรก็ตามในแง่การทำงานดูสมเกียรติจะพึงพอใจในตัวธงชัยไม่น้อยเลย
สุวิทย์ นารถวังเมือง กับวีรศักดิ์ อิงคโรจนฤทธิ์-สองคนนี้แม้จะเป็นลูกหม้อเก่าที่มีอายุงานไม่น้อยไปกว่าคนอื่น
แต่บทบาทที่ผ่านมายังไม่อาจระบุลงไปได้อย่างเด่นชัดว่าพร้อมต่อการเป็นแคนดิเดทเช่นเดียวกับบุคลทั้งสาม
โดยเฉพาะวีรศักดิ์ที่มีคดีติดตัวคราวคำสั่งโยกย้าย 1 มกราคม 2528 ทำให้ความหวังยิ่งลดน้อยลงไปอีก
เป็นเรื่องจำเป็นอย่างมากสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องให้มีการสับเปลี่ยนโยกย้ายพนักงาน
นอกจากเป็นการเสริมความรอบรู้ยังเป็นการสร้างขวัญกำลังใจทางอ้อม ทั้งนี้ทั้งนั้นควรเป็นไปตามระบบทำนองคลองธรรมที่สมเหตุสมผล
เมื่อประมวล ศกุนตนาค ต้องพ้นวาระ จึงเท่ากับเป็นการพิสูจน์และวัดใจผู้บริหารระดับสูงให้รู้ว่า
ภาวะหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะต้องหาคนขึ้นมารับช่วงการทำงาน และเป็นการวางฐานครั้งสำคัญต่อการพัฒนาบริษัทฯ
ให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นในอนาคต ท่าทีเช่นนี้ผู้บริหารระดับสูงพร้อมหรือยังที่จะเห็นความสำคัญของนักบริหารมืออาชีพ
ใจกว้างเพียงใดกับการยอมให้คนเหล่านั้นเข้ามามีส่วนร่วมกำหนดชะตากรรมบริษัทฯ
อย่างแท้จริง!!!
ในอดีตปูนซิเมนต์นครหลวงอาจจำเป็นต้องอาศัยการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวและเฉียบขาดของใครคนหนึ่งอย่างเช่น
สมเกียรติ ลิมทรง เป็นแรงผลักดันให้ขับเคลื่อนขบวนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
แต่วิถีทางในอนาคตที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอีกมากหลาย การแข่งขันที่จะเพิ่มความสลับซับซ้อนมากขึ้น
หัวคิดของคน ๆ เดียวก็ไม่แน่นักว่าจะสัมฤทธิ์ผลเหมือนอย่างที่เป็นมา???
จริงหรือไม่จริงคงต้องถาม สมเกียรติ ลิมทรง เจ้าเก่าอีกนั่นแหละ!!!
ปัญหานี้หากมองในแง่ตัวสมเกียรติ เขาอาจจะไม่หนักใจอะไรเลย เพราะในวัย
45 ปี สมเกียรติยังคิดอยู่เสมอว่า เวลาในการทำงานที่จะชักบังเหียนควบม้าผ่าศึกของตัวเองยังมีเหลืออีกมาก
และอาจมีเหลือเฟือพอที่จะได้ดูว่า หลายสิ่งหลายอย่างที่ปั้นมากับมือมันจะงดงามแท้จริงหรือไม่เมื่อถึงวาระที่ต้องอำลา…
แต่ปัญหาเฉพาะหน้าที่สร้างความกระอักกระอ่วนใจจนเป็นจุดชี้เป็นชี้ตาย ที่สำคัญยิ่งสำหรับปูนซีเมนต์นครหลวงก็เห็นจะไม่พ้นการขยายกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ให้สูงถึงปีละ
4.6 ล้านตัน ซึ่งแม้จะคาดหวังกันว่าความต้องการของตลาดจะเพิ่มมากขึ้นในปี
2530 แต่ขณะเดียวกันการแข่งขันก็ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นด้วย สืบเนื่องมาจากการที่ผู้ผลิตทั้งหลายพร้อมใจกันขยายกำลังการผลิต
(ดูตารางประกอบ)
สภาพที่ต้องเกิดขึ้นก็คือ ผลผลิตของแต่ละแห่งอาจเหลืออยู่มาก ภาระอย่างนี้ในส่วนของปูนซีเมนต์ไทยอาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะมีสายงานธุรกิจอื่นคอยรองรับอยู่แล้ว
แต่กับปูนซีเมนต์นครหลวงที่เพิ่งตัดสินใจขยายงานไปยังสายธุรกิจอื่นตามภาวะบังคับ
นี่ต่างหากที่เป็นเงื่อนปมที่จะต้องหาทางออกรองรับให้ดีที่สุด!!!
เมื่อนำมาพิจารณา ควบคู่กับการวางรากฐานต่าง ๆ ของบริษัทฯ ที่มีการวิจัยแล้วพบว่า
ปูนซีเมนต์นครหลวงมีสภาพเหมือนกับพีรามิดที่เอาหัวตั้งลง เบื้องบนดูแข็งแกร่งแต่ฐานล่างยังเปราะบางก็ไม่ผิดอะไรกับการเอาแท่งทองปักลงไปในขี้เลนที่มีโอกาสถูกดูดซึมทุกเวลา
มิใยที่จะเปรียบได้กับท้องทะเลในวันที่คลื่นลมสงบ แต่จะมีใครรู้บ้างว่าพายุร้ายที่ก่อตัวเงียบ
ๆ อาจรอวันถั่งโถมกวาดกระหน่ำทุกสิ่งทุกอย่างให้แหลกเป็นจุลในพริบตา
เราเองก็ไม่ปรารถนาเห็นภาพเช่นนั้นปรากฏขึ้นไม่ว่าจะช้าหรือเร็วอย่างใด
การขยายตัวทั้งในแนวราบและดิ่งของปูนซีเมนต์นครหลวง ถ้าจะมองถึงกำลังตั้งรับและหนุนรุกเข้าไปมีส่วนแชร์ตลาดโดยมองจากสภาพที่ผ่านมาอย่างคร่าว
ๆ คงต้องยอมรับระดับหนึ่งว่าฐานการตลาดของค่ายนี้มิได้ต่ำต้อยน้อยหน้าคู่แข่ง
มิฉะนั้นแล้วคงไม่เติบโตอย่างพรวดพราดแน่นอน (ดูตารางส่วนแบ่งตลาด)
แต่ถ้าจะดูกันให้ถึงแก่นรูรั่วของกำลังปฏิบัติการด้านนี้ก็มีอยู่บานเบอะเช่นกัน
โดยเฉพาะในแง่ยุทธวิธีการขายที่บริษัทฯ ยังคงยึดติดอยู่กับหลักการ SAILING
CONCEPT ที่ว่า เป็นอย่างไรก็ช่างขอให้ได้ทำเป้ามากที่สุดเป็นพอใจ อดีตพนักงานขายของบริษัทฯ
คนหนึ่งเผยกับ "ผู้จัดการ" ว่า สมเกียรติ เคยแทงคำสั่งลงมาสั้น
ๆ เพียง 3 บรรทัดเท่านั้นว่า "ยอดขายต้องเข้าเป้า" ซึ่งเมื่อถูกแย้งและเสนอความคิดกลับไป
คำตอบที่ได้รับกลับมาซึ่งเล่นเอาพนักงานทุกคนงงเป็นไก่ตาแตกก็คือว่า
"หลักการตลาดแผนการขายที่คุณเสนอมากันนั้น คุณมั่นใจแล้วหรือว่าจะเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น"
สรุปกันง่าย ๆ คือว่า "ไม่ยอมรับ"
SAILING CONCEPT ซึ่งให้ความสนใจกับเป้าการขายอาจเป็นหลักการที่สอดคล้องกับสภาพตลาดในอดีตที่ลักษณะตลาดเป็นของผู้ขาย
ทำให้ผู้ผลิตสนใจเพียงการผลิตสินค้าให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด โดยไม่นำพาต่อสภาพความต้องการบางแง่มุมของผู้บริโภค
แต่สภาพตลาดในปัจจุบันและอนาคตที่เปลี่ยนมือมาเป็นของผู้บริโภคมากขึ้น
MARKETING CONCEPT ที่เน้นถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภคควรเป็นหลักการที่เหมาะสมที่สุด
เช่นการทำวิจัยตรวจสอบพฤติกรรมของผู้บริโภคว่าต้องการอย่างไร เรื่องหญ้าปากคอกอย่างนี้กล่าวโดยปูนซีเมนต์นครหลวงแทบจะไม่มีการทำเลย
จากการทำวิจัยของนักศึกษาปริญญาโทนิด้าพบว่า ในจำนวนผู้ผลิตทั้ง 3 แห่ง
ปูนซีเมนต์นครหลวงมีการนำเอายุทธวิธีการเพิ่มยอดขายแบบใหม่ (MARKETING CONCEPT)
มาใช้น้อยที่สุด
"บริษัทฯ มุ่งเน้นแต่ผลประโยชน์และค่อนข้างประหยัดเก็บตัวมากที่สุด
จนน่าเป็นอันตรายต่อความมั่นคงในอนาคตเพราะผู้บริโภคมีพฤติกรรมเลือกซื้อสินค้าที่เปลี่ยนไปมาก"
บทสรุปสั้น ๆ ที่พูดถึงปูนนครหลวงฯ
นักการตลาดหลายท่านให้ข้อคิดเห็นกับ "ผู้จัดการ" ว่า ในอดีตปูนซีเมนต์นครหลวงอาจฮึกเหิมลำพองกับยุทธวิธี
SAILING CONCEPT มองดูตัวเลขการขายที่พุ่งสูงขึ้น ๆ ในเส้นกราฟแต่ละปี แต่เมื่อสภาพตลาดเปลี่ยนไป
หากบริษัทฯ ยังติดยึดอยู่กับหลักการดั้งเดิม
ที่สุดของหลักการนั้นอาจเป็นจุดจบอย่างน่าเวทนาที่สุดก็เป็นได้!
"คิดดูแล้วกันบริษัทฯ ไม่สนใจเลยที่จะให้การส่งเสริมอบรมเพิ่มความรู้แก่ตัวแทนจำหน่าย
หรือพนักงานของบริษัทฯ เอง เมื่อมีลูกค้าสอบถามรายละเอียดบางทีเราก็ตอบเขาไม่ได้
ผิดกับปูนซีเมนต์ไทยที่เน้นความสำคัญในเรื่องนี้ค่อนข้างสูง" ตัวแทนจำหน่ายรายหนึ่งกล่าวกับ
"ผู้จัดการ"
และที่ต้องขบคิดกันอย่างหนักก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำสั่งสั้น ๆ
ของสมเกียรติที่แทงลงมายังฝ่ายขายว่า "ต้องพยายามควบคุมไม่ให้ดีลเลอร์รายหนึ่งรายใดโตมากไปกว่าที่เป็นอยู่"
จุดประสงค์ของคำสั่งนี้เป็นเพราะสมเกียรติเกรงว่า หากปล่อยให้ดีลเลอร์รายหนึ่งรายใดโตมากขึ้นจะทำให้เกิดอาการแข็งข้อหรือสร้างอำนาจต่อรองกับบริษัทฯ
มากขึ้น
ไม่ว่าเป็นการต่อรองใด ๆ สำหรับสมเกียรติแล้วนั้นเขาเกลียดมันที่สุด!!!
เพื่อเตรียมการรับมือกับปัญหาที่ไม่แน่ใจว่าจะเกิดขึ้นในวันหนึ่งวันใด
นโยบายของสมเกียรติที่นำมาใช้กับปูนซีเมนต์นครหลวงก็คือ พยายามขยายการจัดตั้งตัวแทนจำหน่ายในแต่ละพื้นที่ให้ได้มากที่สุด
โดยไม่สนใจว่าปฏิบัติการเช่นนั้นจะนำมาซึ่งการแย่งลูกค้าด้วยกันเองและดีลเอร์ที่ตั้งขึ้นมาส่วนมากก็ยังหละหลวมไม่มีประสิทธิภาพ
"ผิดกับของปูนซีเมนต์ไทยนั่น เขาพยายามส่งเสริมให้ดีลเลอร์เติบโตมากขึ้น
แต่เรื่องนี้คุณสมเกียรติแกไม่แคร์สิ่งที่แกต้องการมากที่สุดคือ ตัวเลขการขายที่มากขึ้นหรือไม่ลดลงไม่ว่าตัวแทนและแห่งของเราจะแก่งแย่งกันก็ตาม"
พนักงานขายของบริษัทเล่าให้ "ผู้จัดการรายสัปดาห์" ฟัง
เพราะนโยบายนี้ ก่อให้เกิดความแค้นเคืองขึ้นบ้างแล้วกับดีลเลอร์รายใหญ่ทางภาคตะวันออกกับอีสาน
โดยสองดีลเลอร์นี้ไม่สู้พอใจที่บริษัทฯ พยายามคุมกำเนิดกิจการของตน หนักข้อถึงที่ว่าครั้งหนึ่งที่เคยประกาศที่จะเลิกราการเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างไม่ใยดี
ร้อนถึงผู้บริหารบางคนต้องปลุกปลอบขวัญกันยกใหญ่
"ห้ามไฟไม่ให้มีควันได้อย่างไรกัน นั่นเป็นเพียงบทเริ่มต้นของการท้าทายเท่านั้น
ยังมีกระแสที่คุกรุ่นอีกมากมาย ซึ่งถ้าบริษัทฯ ไม่ทำความเข้าใจหรือพยายามสร้างความผูกพันกับดีลเลอร์เหล่านั้นให้มากขึ้นแล้ว
ก็ให้น่าหวั่นไหวว่าการขยายธุรกิจไปในสายงานอื่นของบริษัทฯ ที่จำเป็นต้องพึ่งพาดีลเลอร์เหล่านั้นสร้างตลาดจะเกิดปัญหาแน่นอน"
พนักงานขายคนหนึ่งกล่าวกับ "ผู้จัดการ"
แต่ในข้อด้อยของปูนซีเมนต์นครหลวงก็มีจุดแข็งที่น่าพิจารณารวมอยู่ด้วย
ประเด็นที่น่ามองก็คือว่า การสร้างดีลเลอร์ของบริษัทฯ พยายามมุ่งเน้นการจูงใจค่อนข้างสูงกว่าทุกบริษัท
มีการให้เครดิตระยะยาวนานถึง 60-90 วัน มีการแจกของกำนัลให้โดยไม่มีข้อแม้ว่าต้องซื้อสินค้าในปริมาณที่กำหนด
และยังมีการจัดส่งที่ตรงต่อเวลาอีกด้วย นั่นเป็นสิ่งมัดใจดีลเลอร์หลายรายให้รักใคร่ได้ไม่น้อย
ทว่าถึงที่สุดย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ว่าดีลเอร์แต่ละรายคงไม่พอใจที่จะหยุดยั้งการเติบโตของตัวเองให้เป็นไปอย่างที่บริษัทฯต้องการ
ด้วยว่าสัญชาตญาณมนุษย์ที่ยังไม่ละสิ้นซึ่งกิเลส ตัณหา มีไม่มากคนนักที่จะพอใจหยุดตอบสนองสิ่งเร้ากับตัวเอง
ความเปราะบางอีกเรื่องหนึ่งที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตและขยายตลาดของบริษัทฯ
ก็คือความไม่พยายามจะประสีประสาในเรื่องการประชาสัมพันธ์หรือแก้ไขภาพพจน์ตัวเองให้เป็นที่รู้จักของสังคมฯ
ตลอดจนการเข้าไปมีส่วนช่วยเหลือสังคม ซึ่งถือได้ว่าเป็นการสร้างแรงจูงใจสินค้าทางอ้อม
การขยายตัวที่น่าเกรงขามและน่าเกรงภัยอีกจุดหนึ่งก็คือ การที่ชวน รัตนรักษ์
ประกาศจะบุกเบิกให้ ทีจี. เซรามิคส์ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในยุทธถ้วยชามที่แท้จริง
เพราะเดี๋ยวนี้เมื่อสิ้นอุตสาหกรรมเสถียรภาพกับบัวหลวงเซรามิคของตระกูล "จุลไพบูลย์"
แล้วนั้นคงไม่มีเสี้ยนหนามที่จะคอยทิ่มตำให้เจ็บปวดอีกต่อไป
ทีเจ. เซรามิคส์ เมื่อเริ่มเข้าสู่ตลาดออกตัวว่า ผลิตภัณฑ์ของตนเกรดสูงกว่าทุกยี่ห้อ
เพราะเป็นสไตล์เดียวกับเครื่องถ้วยชาม "รอสเซ็นทราว" ที่สังคมผู้ดีอังกฤษนิยมใช้กัน
แต่เมื่อเข้าสู่ตลาดจริง ๆ จัง ๆ ในราวเดือนธันวาคม 2528 ยอดขายไม่เป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้
ทั้งนี้อาจมาจากสาเหตุที่ของยังไม่ได้คุณภาพ
เมื่อถึงปี 2529 ที่มีการอัดฉีดเพิ่มประสิทธิภาพเข้าไปอีกหลายสิบล้าน จึงทำให้ชวนกับสมเกียรติ
ออกจะมีความมั่นอกมั่นใจสูงว่า ถึงเวลาที่จะเป็นปีทองของ ทีจี. เซรามิคส์เสียที
แต่ฝันของคนทั้งคู่ก็ใช่ว่าจะสวยสดนักทีเดียว เนื่องจากมีกระแสข่าวลับลมคมในรายงานทุกระยะว่าในบรรดากลุ่มผู้บริหารของ
ทีจี. เซรามิคส์ ที่นอกจากจะมี ชวน รัตนรักษ์ สมเกียรติ ลิมทรง แล้วยังมี
วีรพันธุ์ ทีปสุวรณ ลูกเขยอดีตอธิบดีกรมตำรวจ พล.ต.อ. ประเสริฐ รุจิรวงศ์
ที่มีบทบาทไม่น้อยรวมอยู่อีกคนนั้น
"ยามนี้น้ำต้มผักที่เคยว่าหวาน ปานกลับจะเป็นน้ำผึ้งสุดขมเอาเสียให้ได้
เพราะการที่กลุ่มของชวนกับสมเกียรติพยายามเน้นบทบาทให้สูงขึ้น ทำความไม่น่ารักให้เกิดกับกลุ่มของวีรพันธุ์ไม่น้อย
ซึ่งปัญหาภายในเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้เป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามไปได้
ความเปราะบางอีกเรื่องหนึ่งที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตและการขยายตลาดของบริษัทฯ
โดยปริยายก็คือ ความที่ไม่พยายามจะประสีประสาในเรื่องการประชาสัมพันธ์แก้ไขภาพพจน์ตัวเองให้เป็นที่รู้จักของสังคม
หรือการเข้าไปมีส่วนช่วยเหลือสังคมซึ่งถือได้ว่า เป็นการสร้างฐานตลาดในทางอ้อม
ในบรรดาผู้ผลิตปูนซีเมนต์ทั้งสามแห่งไม่ยากเลยที่จะสรุปว่า "ปูนซีเมนต์นครหลวงมีการประชาสัมพันธ์หรือสร้างสาธารณะประโยชน์ต่ำที่สุด"
และดูเหมือนว่าจุดบอดดังกล่าวนี้เป็นเรื่องเล็กไปเสียแล้วสำหรับผู้บริหารบางคน
เรื่องนี้แม้แต่พนักงานของบริษัทฯ อดวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้เหมือนกันว่าในฐานะที่เป็นองค์กรธุรกิจใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศ
บริษัทฯ ควรที่จะเข้าไปมีบทบาทสนองตอบช่วยเหลือต่อสังคมบ้าง เอาแค่ง่าย ๆ
สร้างศาลาที่พักผู้โดยสารก็ยังดี
หลังจากที่ถูกตีจุดบอดจุดนี้มาไม่น้อย ปูนซีเมนต์นครหลวงดูจะให้ความสนใจขึ้นมาบ้าง
ดังจะสังเกตได้จากโครงการโอ่งน้ำที่ได้มอบปูนซีเมนต์ตรานกอินทรีจำนวน 520
ตันให้กับกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้นำไปใช้ในการฝึกอบรมวิทยากรปั้นโอ่งในเขตพื้นที่ภาคอีสาน
17 จังหวัด 238 อำเภอ
4 ตุลาคม 2529 ซึ่งเป็นวันมอบปูนซีเมนต์ตรานกอินทรีจำนวนแรกผ่านมือของ
พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีที่ อ. คง จ. นครราชสีมา วันนั้นวันที่ท้องฟ้ามีสีสวย
เป็นวันที่สมเกียรติ ลิมทรง มีความชุ่มชื่นใจเหลือคณานับ หลายคนมีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มที่แย้มยากของเขาเสียที
ก็จะไม่ให้ครึกครื้นได้อย่างไร เพราะการแก้ภาพพจน์เที่ยวนี้ สมเกียรติ
ลั่นกระสุนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว เพราะเบื้องหลังโครงการนี้พนักงานที่รับผิดชอบกล่าวกับ
"ผู้จัดการ" อย่างตรงไปตรงมาว่า "ที่คุณสมเกียรติแกเดินหมากเกมนี้เพื่อต้องการให้ประชาชนรู้ว่าปูนตรานกก็ใช้ปั้นโอ่งได้
ไม่ใช่มีแต่ปูนตราเสืออย่างเดียว ซึ่งปัญหานี้เกิดขึ้นเมื่อชาวบ้านทางภาคอีสานที่เป็นกลุ่มลูกค้าใหญ่บอกว่า
ปูนตรานกไม่ดีปั้นโอ่งสู้ตราเสือไม่ได้"
เพราะอย่างนั้นสมเกียรติเลยต้องยอมตัดสินใจให้มีโครงการโอ่งซีเมนต์ขึ้นมาด้วยเจตจำนงทางการค้าที่แยบยลจนมองแทบไม่ออกเหมือนกัน!
วิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อนของปูนนครหลวงฯ
จุดแข็ง
1. มีการให้ส่วนลดและสินเชื่อกับลูกค้าที่ซื้อสินค้าของบริษัทมากกว่าปูนซีเมนต์ไทย
โดยให้เครดิตระยะยาวนานถึง 60-90 วัน ขณะที่ปูนซีเมนต์ไทยให้เพียง 30-60
วัน
2. มีตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่แต่ละแห่งเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้สะดวก
3. กำลังผลิตสูง สามารถรองรับความต้องการของตลาดได้ทันท่วงที อีกทั้งการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง
แต่ค่าใช้จ่ายต่อหน่วยต่ำ
4. LOCATION ของโรงงาน ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สามารถกระจายสินค้าไปที่อื่น
ๆ ได้สะดวกและประหยัดค่าใช้จ่าย
จุดอ่อน
1. ภาพพจน์ของบริษัท ไม่ค่อยดี บริษัทฯ มีความรับผิดชอบต่อสังคมในเกณฑ์ค่อนข้างต่ำ
ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสาธารณะประโยชน์แก่ประเทศชาติหรือให้ทุนการศึกษา
2. มีสินค้าน้อยทั้ง WIDTH และ LENGTH ใน PRODUCTLINE การที่ PRODUCT น้อยประเภททำให้อำนาจการต่อรองกับตัวแทนจำหน่ายไม่สูงเพราะตัวแทนจำหน่ายจะได้
PROFIT MARGIN จากการขายปูนซีเมนต์น้อยมาก แม้ว่าบริษัทฯ จะเริ่มขยับสายผลิตภัณฑ์ด้านอื่นเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
3. การโฆษณาไม่สม่ำเสมอ ไม่ต่อเนื่อง ทำให้มีผู้รู้จักชื่อเสียงของบริษัทและปูนซีเมนต์ยี่ห้อต่าง
ๆ ของบริษัทน้อย
4. การคัดเลือกตัวแทนจำหน่ายยังไม่มีประสิทธิภาพมากนัก ตัวแทนมีมากรายจริงแต่ก็เป็นไปอย่างหละหลวม
และขาดระบบควบคุมที่ดีพอจนตัวแทนหลายแห่งแย่งชิงลูกค้ากันเอง
5. ขาดการส่งเสริมการขายไม่ว่าจะเป็น
- CONSUMER PROMOTION
- TRADE PROMOTION
- SALES-FORCE PROMOTION
- CONSUMERPROMOTION บริษัททำโฆษณาไม่สม่ำเสมอ ทำให้ความเชื่อมั่นในตราเมื่อเทียบกับปูนซีเมนต์ไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่ห่างกันอีกมาก
- TRADE PROMOTION บริษัทไม่มีการอบรมความรู้แก่ตัวแทนจำหน่ายทำให้ตัวแทนมีการบริการที่ยังไม่ดีนัก
อันจะส่งผลเสียถึงภาพพจน์ของบริษัทฯ ในระยะยาว
- SALES-FORCE PROMOTION บริษัทฯ จ่ายแต่เฉพาะเงินเดือนให้กับพนักงานขาย
มีโบนัสปลายปีแต่ไม่มีการตั้งเป้าให้คอมมิชชั่นตามยอดขาย ทำให้ไม่เกิดแรงกระตุ้นต่อพนักงานมากนัก
6. การบริหารงานภายในแม้จะคล่องตัวรวดเร็ว ทว่ามองดูถึงการขยายตัวในอนาคต
ลักษณะการบริหารที่อยู่ในรูป ONE-WAY-COMMUNICATION พนักงานระดับล่างเป็นเพียงผู้รับนโยบายและปฏิบัติตาม
ตลอดจนการขาดการส่งเสริมหรือพัฒนาบุคลากรในทุกระดับจะเป็นผลเสียอย่างมากเมื่อบริษัทฯ
ใหญ่โตขึ้น