แชลเลนจ์จับมือพันธมิตรเสริม"สเตททาวเวอร์"


ผู้จัดการรายวัน(9 ตุลาคม 2546)



กลับสู่หน้าหลัก

"แชลเลนจ์ พรอพเพอร์ตี้"จับมือพันธมิตรข้ามชาติกลุ่มเมอริตัส สิงค์โปร์ และพลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ เสริมความแข็งแกร่งให้สเตททาวเวอร์ กรุงเทพฯ ก่อนเปิดให้บริการในเดือนธ.ค.นี้ และเปิดตัวอย่างเป็นทางการทั้งหมดในกลางปีหน้า หวังสร้างรายได้แน่นอนจากค่าเช่า 50% ด้านโครง การบ้านจัดสรรเตรียมเปิดโครง การใหม่อย่างน้อย 2 แห่งปีหน้า"

ดร.เชิดเกียรติ เชี่ยวธุรกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แชลเลนจ์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งก่อตั้งโดยนางราศรี บัวเลิศ ผู้บริหารโครงการสเตททาวเวอร์ กรุงเทพฯ (State Tower Bangkok) เปิดเผยว่า บริษัทได้จับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่าง ประเทศ 2 ราย ได้แก่กลุ่มเมอริตัส โรงแรม แอนด์ รีสอร์ท ประเทศสิงคโปร์ และบริษัท พลัส พรอพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ จำกัด ในเครือบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เพื่อเสริมความแข็ง แกร่งให้กับอาคารสเตททาวเวอร์ฯ ที่จะเริ่มเปิด ให้บริการบางส่วนในราวเดือนธันวาคมนี้ และเปิดให้บริการทั้งหมดในเดือนพฤษภาคมปีหน้า ดึงเมอริตัสบริหารเซอร์วิสฯ

ทั้งนี้ การร่วมมือกับกลุ่มเมอริตัสฯ นั้น บริษัทได้แต่งตั้งกลุ่มกลุ่มอริตัสฯ เป็นผู้บริหารพื้นที่ ในส่วนของเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ภายในอาคารสเตททาวเวอร์ฯ ตั้งอยู่ที่ชั้น 21-26 และ ชั้น 51-60 เนื่องจากกลุ่มเมอริตัสฯมีความเชี่ยวชาญในการบริหารเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ และโรงแรมกลุ่มเครือข่ายการบริหารอยู่ทั่วเอเชีย ซึ่งเชื่อว่ากลุ่มกลุ่มอริตัสฯจะสามารถบริหารเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ได้ดี โดยเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์จะเปิดให้บริการได้ในราวเดือนธันวาคมนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้เฉพาะจากเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์เดือนละมากกว่า 50 ล้านบาท

บริษัททำสัญญากับกลุ่มเมอริตัสฯเป็นเวลา นาน 10 ปี ซึ่งเมอริตัสฯจะหาลูกค้ามาพักอาศัยในเซอร์วิส อพาร์ทเมนท์ได้ไม่น้อยกว่า 70-80% ของจำนวนห้องพักทั้งหมด 500 ห้องพัก โดยลูกค้าส่วนใหญ่ที่จะเข้าพักอาศัยจะเป็นกลุ่มลูกค้า องค์กรจากในหลายประเทศทั่วเอเชีย แต่อย่างไรก็ตาม หากภายในเวลา 2 ปีกลุ่มเมอริตัสฯไม่สามารถทำได้ตามสัญญา บริษัทมีสิทธิยกเลิกสัญญาได้ ขณะเดียวกันกลุ่มอริตัสฯหาลูกค้าให้กับบริษัทได้จำนวนมาก บริษัทก็จะต่ออายุสัญญาการบริหารออกไปได้

"ปัจจุบันห้องพักที่เป็นเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์กลุ่มีจำนวน 500 ห้องพัก แต่บริษัทอยู่ระหว่างการขออนุญาตนำห้องพักประมาณ 50% ทำเป็นโรงแรม คาดว่าจะได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมในเร็วๆ นี้ โดยบริษัทมีความพร้อมที่จะให้บริการในลักษณะโรงแรม เพราะการออกแบบ ตกแต่ง ออกแบบเป็นโรงแรมเรียบร้อยแล้ว"

พลัสฯช่วยขายคอนโดมิเนียม

ดร.เชิดเกียรติ กล่าวอีกว่า ในส่วนของพลัส พรอพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ จะเข้าบริหารการขายคอนโดมิเนียมส่วนที่เหลืออีก 250 ยูนิต จากทั้งหมด 650 ยูนิต ซึ่งคาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ทั้งหมดภายใน 1 ปี โดยพื้นที่ของคอนโดมิเนียมกลุ่มีขนาด 68-200 ตารางเมตร ราคา ตารางเมตรละ 60,000 บาท นอกจากนี้ยังมี เพนท์เฮาส์ ขนาด 400-500 ตารางเมตร จำนวน 8 ยูนิต ราคาประมาณยูนิตละ 40 ล้านบาท นอก จากการให้บริหารคอนโดมิเนียมแล้ว ในอนาคตบริษัทอาจจะมอบหมายให้พลัส พรอพเพอร์ตี้ฯ บริหารพื้นที่ส่วนกลางด้วย

"คาดว่าคอนโดมิเนียมจะได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า เพราะโครงการตั้งอยู่ในทำเล ที่ดี ในย่านใจกลางเมือง (ซีบีดี) ติดถนนสีลมกลุ่มี ความสะดวกในการติดต่อธุรกิจ อีกทั้งยังอยู่ใกล้ ทางด่วน และสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสอีกด้วย ทำ ให้การเดินทางสะดวกมากขึ้น"

ประธานกรรมการบริหาร กล่าวอีกว่า ในส่วนของพลาซา จะเปิดให้บริการได้ในราวเดือนธันวาคมนี้กลุ่มีพื้นที่ 4 ชั้น ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้ขายพื้นที่ไปแล้ว 30-40% ส่วนพื้นที่ที่เหลืออีก 58 ยูนิตอยู่ระหว่างการทำตลาด คาดว่าภายในปลายปีนี้ จะมีร้านค้าเปิดให้บริการอย่าง น้อย 50% ของจำนวนทั้งหมด สำหรับโดมจะเปิดให้บริการได้ในเดือนเดียวกัน ซึ่งจะชูจุดเด่น เป็นแลนด์มาร์กของกรุงเทพฯ

สำหรับรายละเอียดสเตท ทาวเวอร์ฯกลุ่ม แชลเลนจ์ กรุ๊ปได้ซื้อโครงการมาเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา และได้ลงทุนก่อสร้างตกแต่งจนกระทั่งจะแล้ว เสร็จและเปิดให้บริการได้ทั้งหมดไม่เกินกลางปีหน้า คิดเป็นมูลค่าโครงการกว่า 10,000 ล้านบาท หวังรายได้ระยะยาว 50%

ทั้งนี้กลุ่มแชลเลนจ์ พรอพเพอร์ตี้คาดว่าในอนาคตโครงการดังกล่าวจะช่วยสร้างรายได้ระยะยาวให้กับบริษัท ซึ่งจะมีรายได้หลักมาจากค่าเช่าเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์,โรงแรม,อาคาร สำนักงาน พลาซา และโดมที่จะพัฒนาเป็นเอนเตอร์เมนต์ครบวงจร โดยบริษัทตั้งเป้าจะมีรายได้ จากอาคารดังกล่าวเฉลี่ยที่ 50% ของรายได้ทั้งหมด

โครงการตั้งอยู่ที่ถนนสีลม พื้นที่ 5 ไร่เศษ เป็นอาคารสูง 68 ชั้น และชั้นใต้ดินอีก 6 ชั้นกลุ่มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 330,000 ตารางเมตร นับเป็นอาคารที่มีพื้นที่ใช้สอยมากที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วย ศูนย์การค้า, คอนโดมิเนียม,เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์, สำนักงาน, โดม และศูนย์สันทนาการ

โดยโดม ตั้งอยู่ที่ชั้น 63-68 ซึ่งออกแบบเป็นภัตตาคารหมุนที่สามารถมองเห็นทัศนีย์ภาพของกรุงเทพฯและแม่น้ำเจ้าพระยา

ปี 47 ลุยโครงการแนวสูง/แนวราบ

สำหรับแผนการลงทุนของกลุ่มฯ ในปีหน้า จะลงทุนโครงการใหม่ทั้งแนวสูง และแนวราบอย่างน้อย 2 แห่ง บริเวณถนนรัชดาภิเษก และซอยวัชรพล ซึ่งเป็นแลนด์แบงก์เดิมที่ซื้อไว้รอการพัฒนา โดยที่ดินบริเวณถนนรัชดาภิเษก จะลงทุนเป็นอาคารชุดพักอาศัย ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบและสำรวจถึงความต้องการ ของลูกค้า คาดว่าจะสรุปผลการศึกษาและเริ่มก่อสร้างได้ไม่เกินกลางปีหน้า

"ที่ดินแปลงนี้ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีมาก ใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดิน(รฟม.) ที่จะเปิดให้บริการใน ปีหน้า โดยเหมาะที่จะพัฒนาเป็นอาคารชุดพักอาศัย เพราะผู้พักอาศัยสามารถเดินทางเข้าตัวเมืองได้สะดวกด้วยรถไฟใต้ดิน "

ส่วนโครงการที่ซอยวัชรพลกลุ่มีพื้นที่ 120 ไร่ คาดว่าจะพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยว จำนวน 400-500 ยูนิต สำหรับโครงการแนวราบที่อยู่ระหว่างดำเนิน งาน 2 แห่ง ได้แก่ โครงการรอยัล พาร์ค วิลล์ สุวินทวงศ์ และโครงการยิ่งรวย นิเวศน์ ทั้งนี้โครงการรอยัล พาร์ค วิลล์ ตั้งอยู่บนถนน สุวินทวงศ์กลุ่มีแนวโน้มที่ดีมาก ในแต่ละเดือนมียอดขายมากกว่าประมาณการที่วางไว้ เฉลี่ยขายเดือน ละมากกว่า 100 ยูนิต คาดว่าในปีหน้าจะเปิดขาย เฟสต่อเนื่องได้ ซึ่งมีพื้นที่เหลืออีกประมาณ 100 ไร่เศษ

โครงการยิ่งรวย นิเวศน์ ก็เป็นอีกโครงการ หนึ่งที่สร้างยอดขายได้ดี เช่นเดียวกับโครงการบ้านจัดสรรในบริเวณเดียวกันคือ ประชาชื่น เพราะบริเวณดังกล่าวมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง ในขณะที่มีโครงการไม่มากนัก โดยบริษัทเน้นกลุ่ม ลูกค้าเป้าหมายระดับบน เฉลี่ยที่ราคาหลังละ 5-20 ล้านบาทขึ้นไป ขณะนี้มีบ้านเหลือน้อยมาก ภายในโครงการ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 70 ยูนิต และทาวน์เฮาส์ 30 ยูนิต รุกตลาดต่างจังหวัด

ด้านนางสาวเจษฎ์สุดา บัวเลิศกลุ่มการผู้จัดการ บริษัท ยิ่งรวยธานี จำกัด ในเครือแชลเลนจ์ พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป เคยกล่าวว่า นอกจากการลงทุนโครงการ 2 แห่งแล้ว บริษัทยังอยู่ ระหว่างการหาซื้อที่ดินเพิ่มอีกด้วย เพื่อลงทุนโครง การแห่งใหม่ ขณะนี้กำลังเจรจากับเจ้าของที่ดินหลายแปลง ในย่านฉลองกรุง และประตูน้ำ-พระอินทร์

ขณะเดียวกันกลุ่มีแผนที่จะขยายการลงทุนไปยังภูมิภาค เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ และระยอง ซึ่งเป็นแลนด์แบงก์ที่มีอยู่แล้ว โดยที่ภูเก็ตจะพัฒนาเป็นบ้านราคาแพง ส่วนที่จังหวัดระยองอาจ จะพัฒนาเป็นโรงแรมหรือรีสอร์ต สำหรับที่เชียงใหม่ จะพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยว ราคายูนิตละ 3-4 ล้านบาท


กลับสู่หน้าหลัก


Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.