2 บริษัทหลักทรัพย์ในเครือแบงก์กรุงเทพควบรวมกิจการกัน โดย บล.เอบีเอ็น แอมโร
เอเซีย (ประเทศไทย) (AST) โบรกเกอร์ใหญ่อันดับ 2 ในไทย กลืน บล. แอสเซท พลัส (ASSET)
โบรกเกอร์อันดับ 8 เพื่อให้เป็นโบรกเกอร์ใหญ่ที่สุดในไทย ด้วยมาร์เกตแคปกว่า 1.2
หมื่นล้านบาท และมาร์เกตแชร์ด้านหลักทรัพย์กว่า 11% ให้บริการการเงินตลาดทุนครบวงจร
ซึ่งจะส่งผลให้ตระกูลโสภณพนิช-แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์-ก้องเกียรติ กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่กว่า
50% เขี่ยกลุ่มเอบีเอ็น แอมโร จากเนเธอร์แลนด์ กลายเป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อย 20%
ทันที ขณะที่ "กิตติรัตน" หนุนเต็มที่ เพราะส่งผลดีธุรกิจหลักทรัพย์ไทยโดยรวม
การควบรวมกิจการ (Merger & acquisition-M&A) โบรกเกอร์ครั้งนี้ ถือเป็นดีลควบรวมเอกชนใหญ่ที่สุดในไทย
หลังวิกฤตเศรษฐกิจการเงินไทย-เอเชีย ปี 2540 โดยดีลนี้ใช้วิธีแลก (Swap) หุ้นระหว่างกัน
มูลค่ากว่า 4 พันล้านบาท โดยไม่มีเงินสดเกี่ยวข้อง คาดจะเสร็จสมบูรณ์ มี.ค.ปีหน้า
ซึ่งเป็นวิธีการที่นิยมทำกันในประเทศตะวันตก และสะท้อนเศรษฐกิจไทยเป็นช่วงขาขึ้นชัดเจน
เพราะเมื่อแนวโน้มเศรษฐกิจดีต่อเนื่อง กิจกรรมลักษณะนี้จะเกิดต่อเนื่องเช่นกัน
พร้อมๆ กับกลุ่มวาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่จากตะวันตก ซึ่งกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจประเทศอยู่ในช่วงขาลง
ต้องทยอยถอนการลงทุนจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกรวมถึงไทย เพื่อรักษาธุรกิจหลักในบ้าน
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บล. แอสเซท พลัส
กล่าวว่าเป้าหมายบริษัทใหม่หลังควบรวม ต้องการเป็นบริษัทที่บริการธุรกิจการเงินตลาดทุนครบวงจร
ให้ลูกค้ามีประสิทธิภาพที่สุด และกลายเป็นโบรกเกอร์อันดับ 1 หรือ 2 ในไทย ด้วยส่วนแบ่งตลาดด้านหลักทรัพย์ประมาณ
11%
เตรียมตั้ง บลจ.
นอกจากนี้ หลังควบรวมบริษัทมีเป้าหมายตั้งธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุน เพื่อเป็นแหล่ง
สร้างรายได้สม่ำเสมอให้บริษัท ไม่ว่าภาวะตลาดทุนไทยจะดีหรือไม่ก็ตาม รวมถึงจะซื้อกิจการทั้งใน-นอกตลาดหุ้น
ทั้งโดยบริษัทเอง และเป็นที่ปรึกษาให้ลูกค้า
ด้านคณะกรรมการบริษัทหลักทรัพย์เอบีเอ็น แอมโร เอเชีย จำกัด (มหาชน) ซึ่งประชุมเมื่อวันที่
7 ต.ค. อนุมัติบริษัทฯ ซื้อหุ้นทั้งหมดบริษัทหลักทรัพย์แอสเซท พลัส จำกัด (มหาชน)
โดยแลกเปลี่ยนหุ้นกัน โดยบริษัทฯ จะชำระราคาค่าหุ้นแอสเซท พลัส โดยเพิ่มทุนและเสนอหุ้นเพิ่มทุนบริษัทฯ
ให้ผู้ถือหุ้นแอสเซท พลัส ที่ตกลงขายหุ้นของตนให้บริษัทฯ
อัตราส่วนการแลกเปลี่ยนหุ้น 1 : 1.083333 โดยผู้ถือหุ้นแอสเซท พลัส แต่ละคนที่ถือหุ้นแอสเซท
พลัส 1 หุ้น จะมีสิทธิได้รับหุ้นบริษัทฯ เป็น 1.083333 หุ้น บริษัทฯ ไม่เสนอทางเลือกอื่นเป็นเงิน
(no cash alternative)
บริษัทฯ จะซื้อหุ้นทั้งหมดของแอสเซท พลัส โดยทำคำเสนอซื้อ เมื่อเงื่อนไขต่างๆ
สำเร็จลงแล้ว ซึ่งคาดว่าเงื่อนไขต่างๆ จะสำเร็จประมาณ ธ.ค.ปีนี้ ดีลนี้คาดจะสมบูรณ์
มี.ค.ปีหน้า
คณะกรรมการ บล. เอบีเอ็น แอมโร เอเชีย มีมติมอบอำนาจนายประทีป ยงวณิชย์ กรรมการ
ผู้อำนวยการ ซึ่งจะดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการด้านหลักทรัพย์ของบริษัทใหม่ เป็นผู้จัดการและแต่งตั้งที่ปรึกษาการเงินบริษัท
และที่ปรึกษาการเงินอิสระ เพื่อร่วมทำแผนปรับโครงสร้างกิจการบริษัท เสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ
อนุมัติวันพุธที่ 29 ต.ค.
อนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทจาก 1,345 ล้านบาท เป็น 1,995 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน
65 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เป็นเงิน 650 ล้านบาท
มูลค่าสิ่งตอบแทน 3,900 ล้านบาท คำนวณจากราคาปิดครั้งหลังสุดหุ้น AST ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
ณ 6 ต.ค. 60 บาทต่อหุ้น บริษัทฯ จะออกหุ้นใหม่ให้ตอบแทนการได้หุ้นแอสเซท พลัส
มูลค่ารวมของสินทรัพย์ที่ซื้อ 4,100 ล้านบาท คำนวณจากราคาปิดครั้งหลังสุดหุ้น ASSET
ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ณ 6 ต.ค 68.50 บาทต่อหุ้น และทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ
แอสเซท พลัส
นายชาลี โสภณพนิช ประธานกรรมการ บล. เอบีเอ็น แอมโร เอเชีย (ประเทศไทย) ซึ่งหลังควบรวมยังคงเป็นประธานกรรมการบริษัทใหม่ที่
ยังคงสภาพเป็น บจ. ในตลาดหุ้น กล่าวว่าเนื่องจากแอสเซท พลัส ศักยภาพโดดเด่นให้บริการวานิชธนกิจ
เป็นที่ปรึกษาการลงทุน และจัดการกองทุนส่วนบุคคล การตกลงแลกหุ้นทั้งหมดแอสเซท
พลัสครั้งนี้ จะเพิ่มขอบข่ายให้บริการธุรกิจหลักทรัพย์บริษัทฯ ซึ่งคาดว่าจะมีผลทำให้บริษัทฯ
กลายเป็นบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำครบวงจร
แบงก์กรุงเทพโสภณพนิชคุมเบ็ดเสร็จ
บุคคลที่ถือหุ้นบริษัทหลักทรัพย์เอบีเอ็น แอมโร เอเชีย ที่จัดเป็นบุคคลเกี่ยวโยงกัน
บริษัท เอเชียเสริมกิจ ธนาคารกรุงเทพ บริษัท ชาตรีโสภณ นายชาตรี นายชาติศิริ โสภณพนิช
นางสาวิตรี รมยะรูป นายชาลี นางสิริญา ด.ญ. สิริพร นางสุชาดา ลีสวัสดิ์ตระกูล นางณินทิรา
ด.ช.ชานนท์ โสภณพนิช ด.ช.เชษฐ์ ด.ญ. ชวิศา รมยะรูป บุคคลที่เกี่ยวโยงกันข้างต้น
ถือหุ้น AST รวมกัน 34,872,729 หุ้น 26.82% ของจำนวนหุ้น ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ
นายก้องเกียรติ กล่าวว่า หลังจากดีลนี้สมบูรณ์ บริษัทจะถอนจากตลาดหลักทรัพย์
ทุน จดทะเบียนใหม่หลังควบรวม 1,995 ล้านบาท แบ่งเป็น 199.5 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ10
บาท โดยกลุ่ม เอบีเอ็น แอมโร จากเนเธอร์แลนด์จะถือหุ้นเหลือ เพียง 20%
ธนาคารกรุงเทพ และครอบครัวโสภณพนิช ถือหุ้นแอสเซท พลัส เกิน 15% ของหุ้นที่จำหน่าย
ได้แล้วทั้งหมดของแอสเซท พลัส ดีลนี้จึงเข้าข่าย "รายการที่เกี่ยวโยงกัน"
ตามประกาศตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ก.ล.ต.ระบุอนาคตบล.ต้องลดจำนวน
นายรพี สุจริตกุล ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวว่า การควบรวมกิจการของบล.ทั้งสองแห่งเป็นนิมิตหมายที่ดี
เพราะปัจจุบันการแข่งขันรุนแรง และปัจจุบันจำนวนผู้ประกอบการมากกว่าจำนวนนักลงทุน
การตัดสินใจควบรวมกันตอนนี้เป็นการมองไปข้างหน้าในระยะยาว เพราะอย่างไรก็ดีบริษัทหลักทรัพย์จะมีจำนวนมากเท่าปัจจุบันนี้ไม่ได้
การควบรวมขณะที่ธุรกิจแข็งแรงดีกว่าการรวมกันตอนมีปัญหา
การควบรวมบล.แอสเซทพลัสและบล. เอบีเอ็นฯ จึงเป็นการส่งสัญญาณให้กับผู้ประกอบการรายอื่น
ว่าขนาดบริษัทที่มีความแข็งแรงและมีขนาดใหญ่ยังควบรวมกัน การรวมกันจึงมีแต่จุดแข็ง
อย่างไรก็ดี การจะกำหนดว่าบริษัทหลักทรัพย์ควรจะมีจำนวนเท่าไหร่นั้น คงต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างเป็นตัวประกอบ
เพราะปัจจุบันมีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาเรื่อยๆ ขณะที่ขนาดของตลาดอาจจะโตตามไม่ทัน
รวมถึงปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ยังไม่สามารถกำหนดได้ว่าปริมาณเท่าไหร่ถึงจะอยู่ในระดับสม่ำเสมอ
ด้านนางสาวรัชนก ด่านดำรงรักษ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ จำกัด
กล่าวว่า การควบรวมกิจการของบริษัทหลักทรัพย์ทั้ง 2 แห่ง เพื่อรองรับแผนแม่บททาง
การเงิน (Financial Master Plan) การควบรวมกิจการจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
การประกาศควบรวมกิจการ บล.เอบีเอ็นฯ
ซึ่งเป็นผู้นำด้านนายหน้าค้าหลักทรัพย์ และ บล.แอสเซทพลัส ซึ่งเป็นผู้นำด้านวาณิชธนกิจ
จึงถือเป็นดีลที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด โดยสัดส่วนการแลกหุ้น (share swap) คือ
1 หุ้น ASSET แลก ได้ 1.083333 หุ้น AST นั่น เท่า กับว่า หากยึดราคาปิด ASSET
ที่ 68.50 บาท จะแลกโดยการกลายเป็นหุ้น AST ที่ราคา 63.92 บาท
หากคำนวณจากราคาปิด AST ที่ 59 บาท คูณ 1.083333 อาจเสมือนผู้ถือหุ้น ASSET เสียเปรียบในช่วงสั้น เพราะมี 68.50 บาท สามารถแลกได้แค่ 63.92 บาท แต่ความจริงแล้วในระยะยาวถือเป็นสิ่งที่ดีด้วยกันทั้งคู่
เพราะศักยภาพและความสามารถในการทำกำไรจะหาใครเทียบได้ยาก ตลท. หนุน
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
กล่าวถึงกรณีบริษัทหลักทรัพย์ เอบีเอ็น แอมโร เอเชีย (AST) ประกาศรวมธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์แอสเซท
พลัส (ASSET) ว่าเป็นเรื่องดี
เนื่องจากขณะนี้ ตลาดหลักทรัพย์มีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ประกอบธุรกิจเป็นนายหน้าค้า
หลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) 39 บริษัท ซึ่งเมื่อเทียบขนาดตลาดหลักทรัพย์ (Market Cap.)
อาจมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า จำนวนโบรกเกอร์มากเกินไปหากรวมธุรกิจอาจถือว่าธุรกิจกำลังปรับตัว
จะส่งผลดีอุตสาหกรรมโดยรวม
"การรวมกิจการของบริษัทขนาดใหญ่ทั้ง 2 แห่งครั้งนี้ จะเกิดประโยชน์แน่นอน
เนื่องจาก บล.ทั้ง 2 แห่งจุดแข็งต่างกัน โดย บล. แอสเซท พลัส มีทีมงานเน้นให้บริการวาณิชธนกิจ
ส่งผลให้บริษัทรายได้ค่าธรรมเนียมจากการให้บริการดังกล่าวอย่างดี ขณะเดียวกันจะมีหลักทรัพย์ออกใหม่เสนอขายผู้ลงทุนด้วย"
"ขณะที่ บล.เอบีเอ็น แอมโร ก็มีทีมงานด้านการตลาดที่สามารถให้บริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ผู้ลงทุนทั่วไปที่แข็งแกร่ง
สามารถให้บริการเสนอขายหลักทรัพย์ออกใหม่ เพื่อระดมทุนแก่ฐานลูกค้าได้อย่างดี การรวมธุรกิจครั้งนี้
ทำให้เชื่อได้ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัททั้ง 2 อย่างยิ่ง" นายกิตติรัตน์กล่าว
กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวต่อไปว่า "นอกจากประโยชน์ที่จะเกิดกับ บล.ทั้ง
2 แห่ง ที่ประกาศรวมธุรกิจกันครั้งนี้ ผมยังเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่โบรกเกอร์รายอื่นๆ
อีกด้วย เนื่องจากแนวโน้มจำนวนผู้ประกอบการโดยรวม จะลดความกดดันการแข่งขันด้านราคา
และลดความกดดันที่ต้องเพิ่มต้นทุน เพื่อรักษาบุคลากรคุณภาพ"
ตลาดหลักทรัพย์เห็นว่าเรื่องนี้เป็นประโยชน์สำคัญต่อผู้ถือหุ้น และผู้เกี่ยวข้องทั้ง
2 บริษัทอย่างมาก ในฐานะที่ทั้ง 2 บริษัทเป็นทั้งบริษัทจดทะเบียน และเป็นบริษัทสมาชิก
ตลท. (โบรกเกอร์) การทำงานเพื่อขจัดอุปสรรคใดๆ รวมกิจการทั้ง 2 บริษัท จึงถือเป็นภารกิจสำคัญ
ตลท. ตลาดหลักทรัพย์จึงตั้งทีมงานพิเศษ เพื่อทำงานสนับสนุนการรวมธุรกิจทั้ง 2
บริษัทให้ลุล่วงด้วยดี เป็นประโยชน์สูงสุดทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นทั้ง 2 บริษัท
แต่ที่ผ่านมา ผู้บริหาร 1 ใน 2 บริษัทที่ควบรวมกิจการกัน ปรึกษาตลาดหลักทรัพย์แล้ว
ถือว่าทั้ง 2 แห่ง จุดเด่นและจุดด้อยต่างกัน เมื่อรวมกันแล้ว จะทำให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น
กำไรสุทธิหลังภาษีแอสเซท พลัส 2 ปีก่อน เกิดรายการ 112.09 ล้านบาท ปีการเงินสิ้นสุด
2545 และ 11.64 ล้านบาท ปี 2544
ราคาหุ้น AST วานนี้ (8 ต.ค.) ชนซิลลิ่ง 76 บาท เพิ่ม 17.50 บาท มูลค่าซื้อขายอันดับ
2 ที่ 875.18 ล้านบาท ขณะที่หุ้น ASSET วานนี้เพิ่ม 13.50 บาท เพิ่ม 19.70% ปิด
82 บาท มูลค่าซื้อขายสูงสุด 1,079.55 ล้านบาท