ถ้าให้คำรณ เตชะไพบูลย์เลือกทางเดินชีวิตใหม่ตอนี้ เขาก็คงคิดว่า เขาน่าจะเป็นผู้จัดการธนาคารศรีนคร
สาขาสระปทุมอยู่เหมือนอย่างเก่าเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วคงจะดีกว่า
"คุณคำรณ ตอนนั้นเป็นผู้จัดการธนาคารศรีนครอยู่สาขาสระปทุม แล้วคุณอุเทนก็ดึงตัวให้ไปทำธนาคารมหานคร"
อดีตเจ้าหน้าที่ธนาคารมหานครคนหนึ่งเล่าให้ฟัง
สำหรับอุเทน เตชะไพบูลย์ ตำแหน่งนายกสมาคมธนาคารเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วก็เป็นตำแหน่งที่เขาอึดอัดใจมาก
เพราะในฐานะที่ดำรงตำแห่งนี้ เมื่อรัฐบาลขอให้สมาคมธนาคารเข้ามาช่วยธนาคารมหานครซึ่งสมัยนั้นเรียกว่าธนาคารไทยพัฒนา
อุเทนไม่มีทางเลือก เมื่อเพื่อน ๆ นายธนาคารทั้งหลายพากันลงมติให้ธนาคารช่วย
แต่กลายเป็นอุเทนต้องช่วยอยู่เป็นส่วนใหญ่
"ตอนนั้นคุณอุเทนต้องเข้ามาซื้อหุ้นธนาคารไทยพัฒนาไว้ร่วม 30 ล้านบาท
โดยเป็นการลงทุนของตระกูลเตชะไพบูลย์ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่อยากจะเข้า แต่ก็ต้องเข้าเพราะรัฐบาลขอมา
คำรณ เตชะไพบูลย์ก็เลยต้องหันเหชีวิตของตนเองออกมาอีกด้านหนึ่ง
บทบาทของคำรณ เตชะไพบูลย์ ในช่วงที่เข้าไปบริหารธนาคารมหานครนั้นเป็นบทบาทที่อุเทน
เตชะไพบูลย์ไม่ได้สนใจอะไรเลย เพราะคิดว่าเป็นงานที่คนต้องรับผิดชอบก็ต้องทำกันไปอยู่แล้ว
"คุณอุเทนเป็นคนมีงานมากตอนนั้น พอคุณคำรณเข้าไปก็หมดเรื่องที่ต้องมาพบปะพูดคุยกันอีก"
คนในวงการเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม นอกจากจะเป็นการเปลี่ยนแปลงหันเหชีวิตของโครงสร้างทางอำนาจของจอมพลถนอมและประภาสแล้ว
ยังมีผลกระทบต่อนักธุรกิจอีกหลายคนทั้งในแง่บวกและลบ
คำรณ เตชะไพบูลย์เองก็โดนกระทบด้วย แต่สำหรับคำรณแล้ว ผลกระทบนี้เขาคงคิดว่าเป็นเรื่องที่วิเศษสุดในชีวิตของเขาก็ได้
เพราะหุ้นของจอมพลประภาสประมาณ 26% ถูกคณะกรรมการยึดทรัพย์เสนอขายมาทางสมาคมธนาคาร
ซึ่งทางสมาคมฯ ก็ขอให้อุเทนฯ เป็นผู้ซื้อ
อุเทน เตชะไพบูลย์ ตัดสินใจซื้อโดยมอบหมายให้คำรณเป็นตัวแทนในการจัดการ
หุ้นของจอมพลประภาสก็เลยถูกเปลี่ยนมือ แต่ผู้ซื้อกลับกลายเป็นคำรณ เตชะไพบูลย์ไป
เพราะว่า "ตอนนั้นพอคุณคำรณได้รับมอบหมายให้ไปซื้อหุ้นแทนคุณอุเทน แกก็หายตัวไปเลยตามตัวไม่เจอ
คุณอุเทนก็ไม่ได้ตามเรื่องคิดว่าเรียบร้อยแล้ว โดยไม่รู้ว่าคุณคำรณแกแอบไปซื้อหุ้นไว้ในชื่อแกเอง
และหลังจากนั้นแกก็เพิ่มทุนธนาคารมหานครจนหุ้นแกก็เป็นหุ้นใหญ่ที่สุดไป"
กรรมการเก่าคนหนึ่งของธนาคารมหานครพูดกับ "ผู้จัดการ"
"เวลานั้นคุณคำรณอยากจะตั้งตัวเอง มีกิจการเป็นของตัวเองก็เลยคิดที่จะลงทุนในหุ้นของจอมพลประภาสด้วยตัวเอง"
คนที่เคยอยู่กับคำรณมาก่อนเล่าให้ฟัง
แต่ก็ไม่ทราบว่าอุเทน เตชะไพบูลย์จะว่าอะไร? แต่ที่แน่ ๆ เองธนาคารมหานคร
สำหรับอุเทนแล้วมันได้สิ้นสุดขาดจากตัวอุเทนเมื่อคำรณเข้าไปถือหุ้นของจอมพลประภาสในนามของตัวเขาเอง
จากวันนั้นเป็นต้นมา คำรณ เตชะไพบูลย์ดูเหมือนจะเหินห่างจากตระกูลอย่างมาก
ๆ ไม่ว่ากิจกรมของตระกูลหรือการค้าขาย
"คุณพูดได้ว่ายังคงเป็นพี่น้องกัน แต่ก็ต่างคนต่างอยู่" แหล่งข่าวในวงการพูดออกมาให้ฟัง
เคยมีคนมาถามอุเทน เตชะไพบูลย์ว่า เป็นเจ้าของธนาคารมหานครด้วยหรือ? ทุกคนก็จะได้คำตอบมานานแล้วว่า
"ธนาคารมหานครนั้นเป็นของคุณคำรณ เตชะไพบูลย์เขา"
ก็คงพอจะพูดได้ว่าธนาคารศรีนครนั้นขาดกับธนาคารมหานครมานับตั้งแต่วันที่คำรณแอบฮุบหุ้นจอมพลประภาสเป็นของตัวเอง
สำหรับอุเทน เตชะไพบูลย์ การกระทำของคำรณนั้นเป็นการกระทำที่ผิดกฎของตระกูล
"ในบรรดาเตชะไพบูลย์ด้วยกันเขาถือว่าคุณคำรณนั้นเป็นคนนอกมานานแล้วและจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วย
แม้แต่การประชุมของตระกูลเขาก็ไม่ได้เชิญคุณคำรณ" คนจีนรุ่นเก่าคนหนึ่งพูดเป็นภาษาจีนให้ฟัง
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อคำรณเอาวิรุฬห์ เตชะไพบูลย์เข้าไปเป็นกรรมการธนาคารมหานครด้วย
พออุเทนรู้เข้าก็สั่งให้วิรุฬห์ถอนตัวออกมาทันที
การดำเนินการของธนาคารมหานครในช่วงนั้นก็ดำเนินต่อไป โดยหลายต่อหลายครั้งก็จะใช้ฐานลูกค้าของธนาคารศรีนครด้วย
แต่มาระยะหลังธนาคารมหานครได้แสดงความเป็นอิสระของตัวเองด้วยการหาลูกค้าเอง
และบางครั้งก็ประกาศเจตนารมณ์ออกมาอย่างเด่นชัดแจ้งว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับธนาคารศรีนคร
หรือกิจการในเครือเตชะไพบูลย์
"มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อโครงการวังเพชรบูรณ์กำลังเริ่มนั้น คุณคำรณก็ประกาศว่า
ธนาคารมหานครมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มที่เข้ามาทำวังเพชรบูรณ์เลย"
คนเก่าของคำรณเล่าให้ฟัง หรืออาจจะเป็นเพราะว่าคำรณคงคิดว่าตัวเองโตพอแล้วก็ได้
เวลานั้นแทบจะทุกคนในตระกูลก็ได้แต่เงียบเพราะทุกคนก็รู้ว่า คำรณ เตชะไพบูลย์
ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตระกูลนี้มานานแล้ว และคำรณก็เข้าใจเลือกเวลาประกาศ การไม่ได้เกี่ยวข้องในจังหวะที่เขากำลังต้องการความมั่นใจจากสาธารณชนในเรื่องวังเพชรบูรณ์
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่คนในตระกูลจะเก็บเอามาคิด เพาะชั่วดีอย่างใดมันก็คงจะเป็นสายเลือดเดียวกัน!
"ในช่วงที่แม่โขงกำลังมีปัญหากับหงส์ทองนั้น ธนาคารมหานครก็เข้าไปสนับสนุนเหล้าหงส์ทอง
ซึ่งมันก็เห็นได้ชัดแล้วว่าธุรกิจเขาแยกกันมานานแล้ว" คนในวงการเหล้าพูดให้ฟัง
สำหรับอุเทน เตชะไพบูลย์ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าตระกูลก็คงจะไม่ยอมพูดอะไรเลย
ถึงแม้ "ผู้จัดการ" จะพยายามติดต่อเพื่อขอสัมภาษณ์ แต่ "ท่านบอกว่าไม่มีอะไรจะพูดเพราะเองของคุณคำรณนั้นท่านไม่เคยรู้เรื่องเลย
และก็ไม่ได้เกี่ยวพันกันมานานแล้ว เกรงว่าพูดไปแล้วจะผิดพลาด" เลขาอุเทนตอบให้เราฟัง
แต่ที่แน่ ๆ ในจิตใจของชายวัย 74 นี้ก็คงจะไม่สงบเท่าใดนัก เพราะอย่างไรก็ตาม
คำรณ เตชะไพบูลย์ ก็ยังคงเป็นน้องชายคนหนึ่ง โดยเฉพาะในช่วงที่คำรณมีปัญหายิ่งพูดไม่ออก
ถึงแม้จะเป็นอะไรก็คงต้องเป็นห่วง
"ในช่วงที่มีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับธนาคารมหานครนั้น พอดีลูกชายคุณคำรณแต่งงาน
ซึ่งก็มาขอเชิญคุณอุเทนให้ไปเป็นประธานในงาน ซึ่งในงานนั้น เจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ของธนาคารชาติ
และผู้ใหญ่หลายคนในวงราชการก็ไปด้วย ปรากฏว่าจากการที่คุณอุเทนไปปรากฏตัว
ก็มีข่าวว่าธนาคารมหานครกับศรีนครช่วยซึ่งกันและกัน" คนในวงการธนาคารพูดขึ้นมา
อุเทน เตชะไพบูลย์ ก็คงอึดอัดใจอย่างมาก ๆ เพราะแน่นอนที่สุด การไปปรากฏตัวในงานก็ต้องทำให้เกิดข่าวลือ
แต่คุณอุเทนก็ต้องไปเพราะตัวเองเป็นหัวหน้าตระกูลในงานมงคลสมรสของหลาน ถ้าไม่ไปอุเทนก็คงไม่ใช่อุเทนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
และก่อนหน้านี้อุเทนเองก็ไปเป็นเจ้าภาพให้หลานคนอื่นด้วย ฉะนั้นถ้าเป็นคนในตระกูลเดียวกันก็ต้องเป็นเจ้าภาพให้ตามธรรมเนียม
โดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์
อุเทนรักน้องและไม่เคยทำลายน้อง มีอยู่ครั้งหนึ่งมีฝรั่งนายแบงก์จากต่างประเทศมาถามอุเทนว่า
ธนาคารมหานครเป็นไงมาไง อุเทนก็ได้แต่ตอบไปอย่างนิ่มนวลว่าคำรณเขาโตแล้ว
เขาควรจะมีกิจการเป็นของตนเอง
สำหรับคำรณ เตชะไพบูลย์ ชีวิตนี้คงจะต้องเหนื่อยไปอีกนาน เพราะข้อกล่าวหาของธนาคารชาติกับการหลบของคำรณนั้นทำให้เส้นขนานเส้นนี้ดูกว้างมากขึ้นไปอีก
"เมื่อวันแต่งงานลูกชายแก คุณคำรณเองก็บอกคุณอุเทนว่าตัวแกไม่มีอะไรเหลือแล้ว
แม้แต่บ้านจะอยู่ เพราะหลักทรัพย์ทุกอย่าง แม้กระทั่งบ้านที่ลูกอยู่ก็โอนไปให้ธนาคารหมด
ในต่างประเทศก็ไม่ได้มีอะไรเก็บไว้ เพราะแกเองขาดทุนจากการซื้อขายเงินตราต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่"
ลูกน้องคนสนิทของคำรณเล่าให้ฟัง
ตำนานธนาคารมหานครก็คงเป็นอีกตำนานหนึ่งที่ต้องใช้เวลาอีกสักพักเพื่อให้ความจริงเปิดออกมา
ซึ่งก่อนที่ความจริงนั้นจะเปิดออกมาก็คงต้องมีคำถามอีกมากมายที่ต้องตั้งให้กับคำรณ
เตชะไพบูลย์ และตัวธนาคารชาติเองด้วย เช่นว่า:-
จริง ๆ แล้วที่ขาดทุนนั้น ขาดทุนจากการดำเนินการเพราะขาดทุน เพราะคำรณโกงเงินไป?
คำรณเอาเงินไปเล่นที่ฮ่องกงหรือเปล่า?
ก็คงจะมีสักวันที่เราคงได้คำตอบเหล่านั้น
และก่อนที่วันนั้นจะมาถึง อุเทน เตชะไพบูลย์ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าตระกูลก็คงต้องยืดอกรับข่าวลือทุกประเภทอย่างเงียบสงบ
เหมือนอย่างที่เขาว่ากัน "ต้นไม้ใหญ่ต้องเจอลมแรง"
ส่วนบรรดาเตชะไพบูลย์ทั้งหลายในวันนี้ก็มีแต่ความอึดอัดใจ เพราะการนิ่งเงียบไม่ยอมพูดออกมาก็อาจจะถูกแปลได้หลายอย่างไปทางผิด
แต่ถ้าพูดออกมาก็จะกลายเป็นว่าคำรณก็ต้องถูกตำหนิแน่ และคนข้างนอกก็จะมองว่าพอคำรณล้มก็เหยียบย่ำซ้ำเติม
เหมือนอย่างที่ภาษิตจีนเขาว่า "จะหัวร่อก็มิออก ร้องไห้ก็ไม่ได้"