|
UBISวางแผนปีนี้เติบโต15%
ASTV ผู้จัดการรายวัน(12 มีนาคม 2553)
กลับสู่หน้าหลัก
นายสวง ทั่งวัฒโนทัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูบิส (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ UBIS เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่ายอดขายในไตรมาสแรกปีนี้ผลงานของบริษัทจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หลังพบว่ายอดขายในช่วง 2 เดือนแรกมีการขยายตัวที่ดี เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องหลังจากเศรษฐกิจ ฟื้นตัว โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศที่น่าจะเติบโตได้ถึง 20% ขณะตลาดในประเทศจะเติบโต 10%ดังนั้น บริษัทจึงตั้งเป้ายอดขายและกำไรปีนี้ไว้ที่ 15% พร้อมกับเน้นใช้งบทางการตลาดแทนการใช้งบลงทุนขนดาใหญ่ เพราะต้องการคุมค่าใช้จ่ายโดยรวมให้อยู่ในระดับ 20% และมีแผนที่จะเจาะตลาดในเอเชียเพิ่มคือในประเทศเกาหลีและไต้หวัน จากเดิมที่บริษัทฯไม่ได้ทำตลาดใน 2 ประเทศนี้มากนัก
อย่างไรก็ดี อัตราการเติบโตปีนี้จะมาจากกลุ่มตลาดเดิม ทั้งตลาดเอเชียและยุโรปที่ประเมินว่าปีนี้จะสามารถเติบโตได้ในอัตราสูง คาดว่าตลาดยุโรปจะเติบโตประมาณ 40% ผลจากเศรษฐกิจที่เริ่มค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น อีกทั้งแรงหนุนจากการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ที่ปัจจุบันมีสัดส่วนยอดขายประมาณ 50% โดยประเมินว่าอัตราการเติบโตตลาดจีนจะอยู่ที่ประมาณ 15 % ตามความต้องการสินค้าในการจัดงาน World Expo และ Asian Games ขณะตลาดอินเดียก็เติบโตใกล้เคียงกับจีน คาดว่าปีนี้ความต้องการใช้กระป๋องจะเติบโต 20-25% จากปีก่อนที่เติบโต 5-6% แม้การเจรจาเปิดเขตการค้าเสรีระหว่างไทยกับอินเดียจะยังไม่มีความคืบหน้า เพราะต้องการปกป้องสินค้าของตัวเอง
โดยต้นปีที่ผ่านมา UBIS ได้เซ็นสัญญากับพันธมิตรใหม่จากประเทศอิตาลี คือ บริษัท METLAC ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสารเคมีหมวดสีเคลือบกระป๋อง และยาฝากระป๋อง อันดับ 4 ในยุโรป โดยบริษัทฯจะนำผลิตภัณฑ์สินค้าในหมวดเดียวกับที่บริษัทฯจำหน่ายอยู่ แต่เป็นสินค้าบางชนิดที่บริษัทฯยังขาด หรือเป็นสินค้าที่มีคุณภาพดีกว่าของบริษัทฯ โดยบริษัทฯได้รับสิทธิ์เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายครอบคลุม ทั้งในตลาดในไทย เวียดนาม จีนและฟิลิปปินส์ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายขึ้น และช่วยส่งเสริมให้ยอดขายเติบโตตามแผนที่วางไว้
ขณะที่พันธมิตรเดิมคือจากเยอรมันอย่าง บริษัท HENKEL ซึ่้งเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายและผลิตสินค้าให้กับบริษัทฯ ปัจจุบันทำเพียงธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าให้กับบริษัทฯ ประเมินว่าการจัดจำหน่ายผ่าน HENKEL ปีนี้จะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนจากภาวะเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศสหรัฐฯที่มีแนว โน้มฟื้นตัว โดยบริษัทดังกล่าว แม้ยังไม่ได้มีการผลิตสินค้าภายใต้ใบอนุญาตการผลิตสินค้าของบริษัทฯ ก็จะต้องมีการเสียค่าธรรมเนียมขั้นต่ำให้กับบริษัทฯประมาณ 1 แสนยูโร หรือประมาณ 4-5 ล้านบาทต่อปี
นายสวง กล่าวถึงผลกระทบจากต้นทุนจากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจาก ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 80 ดอลลาร์/บาร์เรล อาจจะส่งผลต่ออัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ที่ปีนี้มีโอกาสจะลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย โดยปีก่อนอัตรากำไรขั้นต้นที่ 12.2% แต่คาดว่ากำไรในรูปสกุลเงินบาทยังมีแนวโน้มเติบโตที่ดี ส่วนค่าเงินนั้นบริษัทได้ป้องกันความเสี่ยงไว้ล่วงหน้าแล้ว
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|