โกดักมีเรื่องอีก ส่วนสุวัฒน์ VS โกดักก็ยังไม่จบง่าย ๆ


นิตยสารผู้จัดการ( กรกฎาคม 2529)



กลับสู่หน้าหลัก

เมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2529 ที่ผ่านมานี้ บริษัทอีสต์แมนโกดัก (EASTMAN KODAK CO.) แห่งเมืองโรเชสเตอร์ มลรัฐนิวยอร์คประกาศว่าภายในสิ้นปีนี้บริษัทจะปลดคนงานออกประมาณ 12,900 คน หรือ 10% ของคนงานทั้งหมดในเครือโกดักทั่วโลก (โปรดอ่าน "ผู้จัดการ" ปีที่ 3 ฉบับที่ 32 ประกอบ)

ดังนั้นจึงไม่แปลกใจแม้แต่น้อยนิดเมื่อ เจ ซี สมิธ กรรมการผู้จัดการบริษัทโกดัก (ประเทศไทย) จำกัดประกาศ "โครงการลดกำลังคนโดยความสมัครใจ"

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม เจ ซี สมิธ มีหนังสือเวียนถึงพนักงานโกดักชี้แจงถึงโครงการลดกำลังคนโดยความสมัครใจ "เมื่อเราได้พิจารณาดูถึงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในปัจจุบันนี้ ก็ได้พบว่าบริษัทกำลังประสบกับภาวะท้าทายทางด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ค่าประกอบการในการดำเนินธุรกิจยังคงสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ภาวะการตลาดได้มีการแข่งขันเพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลกระทบต่อปริมาณการขาย และผลกำไรของบริษัท…" (คำแปลทางการของโกดักเองอาจจะดูเยิ่นเย้อก็ช่างเถอะ)

เจ ซี สมิธ ร่ายยาวในจดหมายตอนต้นโดยพยายามใช้ภาษาเข้าช่วยลดวิกฤติการณ์ที่โกดักเผชิญ

"…โครงการลดกำลังคนนี้สำหรับพนักงานแผนกบริการลูกค้า แผนกบริการสินค้าเข้าแผนกขนส่ง แผนกช่างซ่อมบำรุงและห้องแล็ปโกดัก พนักงานคนใดที่เลือกจะร่วมโครงการนี้มีเวลาในการตัดสินใจถึงวันที่ 4 มิถุนายน 2529 โปรดกรอกข้อความแจ้งผลการตัดสินใจของท่านลงบนจดหมายที่แนบมา…และส่งคืนให้แก่กรรมการผู้จัดการภายในเวลา 12.00 น. ของวันที่ 4 มิถุนายน 2529 ทั้งนี้ฝ่ายจัดการขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาที่จะรับหรือไม่รับผลการตัดสินใจของพนักงานที่อยู่ในโครงการลดกำลังคน ซึ่งจะประกาศผลให้ทราบภายในวันที่ 5 มิถุนายน 2529 การตัดสินใจของผู้เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งได้รับการยอมรับโดยฝ่ายจัดการจะได้รับผลประโยชน์ตามที่ระบุไว้ใน"ตารางผลประโยชน์ในกรณีลาออกเอง" บวกส่วนที่เพิ่มขึ้นอีก 50% ของผลประโยชน์ที่ได้รับ (ซึ่งผลประโยชน์ที่ได้รับอย่างต่ำจะเท่ากับจำนวน 8 เดือนของเงินเดือนงวดสุดท้าย) รวมทั้งเงินเดือนที่จ่ายให้อีกหนึ่งเดือนแทนการบอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้าและค่าชดเชยสำหรับวันเวลาพักร้อนที่ยังไม่ได้ใช้ในปี พ.ศ. 2529"

ว่าแล้วเขาก็แถลง "ยอมรับ" วิกฤติการณ์ของโกดักอีกตอนว่า "ความสำเร็จของโครงการฯ นี้มีความสำคัญยิ่งต่อความอยู่รอดของบริษัท เนื่องจากเป็นส่วนสำคัญในการลดค่าใช้จ่ายของบริษัท…"

รายงานข่าวที่ตามมากับจดหมายฉบับนี้บอกว่าจำนวนที่โกดักจะลดพนักงานนั้นปีละประมาณ 10% ดังที่บริษัทแม่แถลงเอาไว้เมื่อต้นปี

ว่ากันว่าเมื่อเอาคนออกไปจำนวนหนึ่งแล้วจะรับใหม่เข้ามาซึ่งเงินเดือนถูกกว่า

เอาเป็นว่าสุวัฒน์ แดงพิบูลย์สกุล มีเพื่อนร่วมชะตากรรมเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 20 คน เพียงแต่วิถีทางแตกต่างกัน

เส้นทางของสุวัฒน์นั้นขมขื่น เจ็บช้ำอย่างไร "ผู้จัดการ" ฉบับที่อ้างแล้วข้างต้นจาระไนไว้อย่างครบถ้วนกระบวนความแล้ว

เพียงแต่มันไม่จบแค่นั้น

ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายโกดักเองต้องการให้มันจบ ๆ ไป

สำหรับสุวัฒน์ การต่อสู้เพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ (เป็นเงิน) ที่เขาควรปกป้องแล้ว อาจจะไม่ใช่สาระสำคัญเพราะที่สำคัญเป็นการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนของเขาอีกด้วย

หนึ่ง-โกดักลดตำแหน่งสุวัฒน์ สุวัฒน์ตอบโต้โดยการฟ้องร้องที่ศาลแรงงานในข้อหาละเมิดการจ้างงาน

สอง-สุวัฒน์ ฟ้องคดีอาญากล่าวหาโกดักปลอมแปลงเอกสารสร้างพยานเท็จ โกดักตอบโต้ด้วยการเลิกจ้าง

"ผู้จัดการ" เสนอรายละเอียดมาแล้วในฉบับที่อ้างถึง

สาม-สุวัฒน์ตัดสินใจพึ่งศาลสถิตยุติธรรมอีก ในคดีเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2529 ศาลแรงงานนัดสืบพยานโจทก์ในคดีแรก (ปากสุดท้าย) ศาลขอให้มีการประนีประนอมอีกครั้งหลังจากความพยายามครั้งแรกไม่สัมฤทธิ์ผล (เพราะโกดักอิดเอื้อนตลอด)

วันนั้นทนายฝ่ายโกดักกล่าวว่า เรื่องดังกล่าวนี้รู้ถึงบริษัทอีสต์แมนโกดัก ที่โรเชสเตอร์แล้ว และได้ตัดสินใจให้บริษัทโกดัก (ประเทศไทย) เตรียมเงินจำนวน 5 แสนบาท ไว้จ่ายให้สุวัฒน์ เพื่อให้คดีสิ้นสุด แต่เมื่อ "ผู้จัดการ" เสนอข่าวออกมาทางโกดักเสียหายมาก (เขาว่าอย่างนั้น) จึงงดที่จะเจรจาประนีประนอม อย่างไรก็ดีเขาเอง (ทนายโกดัก) พยายามเจรจาหว่านล้อม จนโกดักยอมจะเจรจาประนีประนอม โดยจะยอมจ่ายให้สุวัฒน์เป็นจำนวนเงิน 5 แสนบาทดังกล่าวอยู่

สุวัฒน์ แดงพิบูลย์สกุลปฏิเสธ

ทนายฝ่ายโกดักขอให้สุวัฒน์ เสนอว่าต้องการเท่าไร

สุวัฒน์เสนอ 5 ล้านบาท (เพราะจริง ๆ แล้วสุวัฒน์อยากให้คดีดำเนินจนถึงที่สุด)

เจ้าหน้าที่ผู้บริหารของโกดักบางคนหัวเราะกิ๊ก!!

โกดักไม่ยอม จึงต้องสืบพยานกันต่อไป



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.