คนเรียนเอ็มบีเอ บ้านเราเรียนไปแล้วได้ประโยชน์กันบ้างหรือเปล่า?

โดย สนธิ ลิ้มทองกุล
นิตยสารผู้จัดการ( กันยายน 2529)



กลับสู่หน้าหลัก

ผมเคยถามคำถามนี้กับคนที่เรียนเอ็มบีเอไม่ว่าจะเป็นภาคค่ำของธรรมศาสตร์หรือไม่ก็บรรดาคนเรียนจีบ้าของจุฬาฯ แม้กระทั่งของนิด้าที่ตกต่ำไปมาก ๆ ในด้านคุณภาพ (จากการสรุปของบรรดาศิษย์เก่านิด้าทั้งหลาย ที่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอาจารย์นิด้าทางด้านบริหารธุรกิจนั้นทำงานด้านที่ปรึกษาให้กับบริษัทเป็นงานหลักและสอนนักเรียนเป็นงานอดิเรก)

ส่วนใหญ่ที่เรียนเอ็มบีเอก็จะบอกผมว่ามันได้ประโยชน์ เพราะมันทำให้รู้อะไรมากขึ้นและกว้างขึ้น

แต่พอผมถามว่าแล้วเอามาใช้กันได้หรือเปล่า?

ทีนี้ก็มีหลายคำตอบที่อึกอักตะกุกตะกักกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนที่เรียนจีบ้าที่เอาหลักสูตรและอาจารย์ฝรั่งมาจาก Northwestern University

จริง ๆ แล้วเราต้องยอมรับกันว่า MBA ในช่วง 2-3 ปีนี้กำลังเป็นแฟชั่นที่ผู้รักความก้าวหน้าพากันแสวงหาและไขว่คว้าเอาเกียรติบัตรเข้ามาประดับกาย แต่ผมมีคำถามให้กับบรรดาคณาจารย์ทั้งหลายที่มุ่งมั่นแข่งขันกันจัดหลักสูตรกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ชอบขนเอาหลักสูตรฝรั่งและอาจารย์ฝรั่งมาทั้งดุ้นนั้นว่า MBA ที่สอนกันนั้นมักทำให้คนเรียนกลายเป็น practical และวิชาที่เรียนนั้นมัน applicable กันบ้างหรือเปล่า?

ผมเชื่อว่าต้องมีคนตอบว่าจะ practical หรือ applicable หรือไม่นั้นมันก็ย่อมขึ้นอยู่กับว่าคนเรียนเอาไปใช้เป็นหรือเปล่า?

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมได้มีโอกาสสอบถามคนเรียนวิชา Finance ในโครงการ MBA ต่าง ๆ ว่าเขาสอนอะไรในเรื่อง Finance ให้บ้าง?

อนาคตมหาบัณฑิตในวิชาบริหารธุรกิจก็พูดให้ฟังอย่างเคร่งขรึมว่า "ก็มีเรื่อง cash flow forecast, financial management, เรื่อง Receivable aging, เรื่องการกู้เงินต่างประเทศและการกู้ภายในประเทศการใช้ syndication ฯลฯ

ผมฟังแล้วก็รู้สึกดีใจที่ผู้เรียนได้เข้าไปรับรู้ modern-day finance ที่โลกตะวันตกเขาเรียนรู้กัน

แต่ผมก็ดีใจไม่นานก็ตกใจ เพราะคนเดียวกันนั้นพูดกับผมว่า "มันได้ประโยชน์ดีแต่มันใช้กับเมืองไทยไม่ได้หรอก"

"ที่เขาสอน ๆ กันอยู่นั้นมันเป็นลักษณะของการที่เราต้องเป็นองค์กรใหญ่ เช่นเครือซิเมนต์ไทย ที่สามารถจะมี facilities ในการ utilize การเงินแบบอย่างที่เขาสอนได้ แต่สำหรับผมแล้วการเล่นแชร์ การหมุนเช็ค และการกินข้าวกับผู้จัดการแบงก์ก็เพื่อขอเกินวงเงินชั่วคราวยังเป็นอยู่" คนพูดคนเดิมพูดต่อ

นั่นน่ะซิ!

จริง ๆ แล้วสำหรับ cash flow forecast นั้นมันไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร?

สำหรับคนทำธุรกิจส่วนตัวก็รู้ว่าตัวเองเงินจะขาดเมื่อไหร่และเพราะอะไร?

สำหรับปูนซิเมนต์ไทยถ้า cash short สัก 20 ล้าน ผมเชื่อว่าคุณสิงห์หมุนโทรศัพท์แกร็กเดียวก็ได้แล้วในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากด้วย

แต่สำหรับเถ้าแก่แล้วคงจะไม่มีฤทธิ์เดชอย่างคุณสิงห์เขาหรอก แกอาจจะต้องใช้วิธีแลกเช็คหรือตั้งวงแชร์ขึ้นมา หรือไปขอร้องให้แบงก์เขาเพิ่มวงเงินอีก

หรืออย่างที่เขาให้ออกหุ้นบุริมสิทธิเวลาขาดเงินนั้น ลองไปสอนคนที่มีธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดกลางดูซิรับรองว่าพี่แกหัวร่อฟันโยกฟันคลอนเลย

ยังมีตัวอย่างอีกมากที่วิชา MBA บ้านเราสอนอยู่ แต่มันขัดกับความจริงโดยสิ้นเชิง กับสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้

ที่เขียนวันนี้มิใช่จะมาทำลายกัน เพียงแต่อยากจะยกเรื่องนี้ให้เป็นอุทาหรณ์ให้บรรดาสถาบันทั้งหลายได้รับรู้ว่า วิชาความรู้และหลักสูตรที่เอามาจากต่างชาตินั้น ก่อนอื่นต้อง Screen และเอามาปรับปรุงผสมสิ่งที่เป็นจริงในบ้านเรา และค่อยสร้างขึ้นมาเป็นหลักสูตรเสียก่อน แล้วค่อยเอามาสอน

ครั้งหนึ่งจีบ้าเคยพูดอย่างภูมิใจว่าคนที่เรียนจีบ้านั้นสามารถโอนหน่วยกิตตัวเองไปเรียนต่อที่ Northwestern University ได้

ความภูมิใจของจีบ้านั้นกลับเป็นความห่อเหี่ยวหัวใจของผมที่เห็นสถาบันยังหลงงมงายกับเรื่องนี้อยู่

นี่แสดงว่า miss objective กันหมดเลย

การที่สถาบันการศึกษาชั้นสูงนั้นให้ความสนใจกับ MBA ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วน่าจะยกย่อง

แต่ถ้าสถาบันนั้นสามารถจะทำ MBA ที่เข้ากับสภาพสภาวะของสังคมไทยได้อย่างเต็มที่แล้วละก้อกลับเป็นเรื่องที่ต้องสรรเสริญเพิ่มเติม นอกจากจะยกย่องไปแล้วชั้นหนึ่ง

ถ้าอาจารย์ชัยอนันต์ สมุทรวานิช สามารถแต่งตำรารัฐศาสตร์ของเมืองไทยขึ้นมาได้ ผมไม่เชื่อว่าอาจารย์จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ นิด้าทางด้านบริหารธุรกิจจะไม่สามารถแต่งตำราทางด้านนี้ได้

ผมเคยคุยกับอาจารย์ทางด้านบริหารธุรกิจหลายท่านซึ่งก็บอกว่าจะหา case บ้านเราที่สามารถหาข้อมูลเขียนกันให้ละเอียดไม่ค่อยได้

อันนี้น่าเห็นใจ แต่ผมก็เชื่อว่าทำได้ ถ้าท่านจะพยายาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นสถาบันการศึกษาไปขอความร่วมมือขอข้อมูลจากกระทรวงการคลังกับธนาคารชาติกับรัฐบาลนั้น ผมว่าจะได้รับความร่วมมือยิ่งกว่าการที่พวกผมไปขอข้อมูลพื้นฐานเสียอีก

เพียงแต่ผมคิดว่าคณาจารย์ในสถาบันการศึกษาในสาขาบริหารธุรกิจหรือพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชียังพยายามไม่พอ และบางแห่งนอกจากจะไม่พยายามแล้วก็ยังชุบมือเปิบไปเอาหลักสูตรฝรั่งมาครอบคนไทยเข้าไปอีก

ความรู้เรื่องการบริหารธุรกิจนั้นมีความจำเป็นมากในสังคมไทยและความรู้เหล่านี้จำเป็นต้องให้กันหลายระดับ

ระดับผู้บริหารจริง ๆ แล้วสถาบันการศึกษาเหล่านี้ก็คงให้เขาไม่ได้เพราะไม่มีใครมีคุณวุฒิ และประสบการณ์มากพอจะสอนคนอย่างอากร ฮุนตระกูลหรือชุมพล ณ ลำเลียง หรือกังวาฬ ตันติพิพัฒนพงษ์ ฯลฯ ได้หรอก แต่สถาบันน่าจะนึกถึงคนระดับล่างที่ต้องดำเนินธุรกิจขนาดเล็กหรือกำลังเจริญเติบโตขึ้นมาในองค์กร ที่สมควรจะรับรู้เรื่องราวการบริหารธุรกิจที่ประเทศและสังคมไทยได้ดำเนินอยู่

และสถาบันเหล่านี้ก็คงจะสอนอะไรก็ตามที่เขาเอาไปใช้ได้จริง ๆ

ระบบการศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาเราล้มเหลวมาตลอด ที่สอนแต่ให้คนมุ่งหวังปริญญาเพื่อความก้าวหน้าและเพื่อเป็นเกียรติประวัติ

วันนี้เราก็ประสบผลสำเร็จที่เรามีบัณฑิตมากมายไปหมดแต่ตกงานกันเป็นแถว และก็ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่เอาปริญญาใส่กรอบแล้วจุดธูปไหว้ก่อนนอนทุกคืน

เดี๋ยวนี้เด็กจบรัฐศาสตร์มาสมัครเป็นนักขาย จบการศึกษา มาเป็นคนคุมสต็อค จบนิติศาสตร์มาเป็นโอเปอร์เรเตอร์ จบบริหารธุรกิจมาเป็นเสมียนพิมพ์ดีด ฯลฯ

ในต่างประเทศเองก็มีปัญหากับ MBA เพราะนายจ้างที่มีลูกจ้างเป็น MBA มักจะบ่นว่าพวกนี้ทำงานเป็นทีมเวอร์คกันไม่เป็น และที่สำคัญที่สุดคือที่เรียนมาเอามาใช้กับงานไม่ได้ เพราะไม่เคยถูกสอนว่าความจริงมันเป็นอย่างไร ?

ก็คงอีกไม่นานเกินรอหรอกที่ MBA คงจะเฟ้อตลาดกันอีก

แล้วถึงวันนั้น MBA คนไหนเรียนวิชาที่เอามาใช้ได้ก็จะเป็นคนที่ได้เปรียบที่สุด

และเมื่อถึงวันนี้น สถาบันที่ผลิต MBA ที่ใกล้ชิดกับความเป็นจริงในสังคมไทยมากที่สุดก็คงจะได้เปรียบที่สุดมิใช่หรือ?



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.