ถ้าคนอย่างชวลิต เตชะไพบูลย์ จะต้องการใช้ชีวิตอย่าง "เจ็ทเซ็ท"
คนหนึ่งนั้น ก็คงไม่ใช่เรื่องยาก เพราะการเกิดในครอบครัว "เตชะไพบูลย์"
ที่ร่ำรวยและเป็นปึกแผ่นมาหลายชั่วอายุคนก็ย่อมทำให้ เขาสามารถเสวยสุขไปได้อีกหลายชาติอยู่แล้ว
และก็คงไม่มีใครติฉินนินทาเสียด้วยซ้ำ
แต่นั่นก็คงจะไม่ใช่วิถีทางของชวลิต
วิถีทางของชวลิตนั้น เป็นวิถีทางของการเสียสละความสุขความสบายพร้อมกับกระโดดเข้ารับใช้ชาติและสังคมโดยตรง
ซึ่งคนที่รู้จักชวลิตก็จะทราบว่าชวลิตมีจิตสำนึกเช่นนี้มานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเขาตัดสินใจเข้าสู่เวทีการเมืองด้วยการลงเลือกตั้งในเขตพญาไทที่ผ่านไปสด
ๆ ร้อน ๆ นี้
ชวลิตเป็น "เตชะไพบูลย์" คนแรกที่เคยรับราชการเป็นรั้วของชาติ
ผ่านการฝึกระเบียบวินัยการกิน การอยู่อย่างเช่นทหารทั่ว ๆ ไป และผ่านการยืนยามหน้ากระทรวงกลาโหมเช่นเดียวกับลูกชาวบ้านมาแล้ว
แต่ก็แปลกที่เมื่อชวลิตลงเล่นการเมือง หลายคนกับคิดว่าเขาถูกส่งเข้ามาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่ม?
ชวลิตนั้นเป็นลูกชายของสุเมธ เตชะไพบูลย์ ที่เป็นน้องของประธานแบงก์ศรีนคร-อุเทน
เตชะไพบูลย์ เขาเป็นศิษย์เก่ากรุงเทพคริสเตียน จบชั้น HIGH SCHOOL ที่ WILLISTON
ACADEMY รัฐแมสซาชูเซทส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็ได้ปริญญาตรีทางด้านบริหารธุรกิจจาก
BUCKNELL UNIVERSITY PENSYLVANIA, USA และปริญญาโททางด้านการเงินและการบัญชีจาก
U.C.L.A.
กลับจากต่างประเทศหมาด ๆ นั้น ชวลิตเริ่มงานแรกด้วยการทำหน้าที่ล่ามอยู่ที่โรงงานน้ำตาลสิงห์บุรี
ซึ่งขณะนั้นโรงงานน้ำตาลแห่งนี้ยังเป็นของครอบครัวเตชะไพบูลย์อยู่ เขาเริ่มงานเมื่อปี
2517 ถึงปี 2519 ก็เปลี่ยนงานเข้าไปรับการฝึกตามสาขาวิชาที่ร่ำเรียนมาจริง
ๆ กับ CROKER NATIONAL BANK
ปี 2520 เป็นเลขานุการของกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารศรีนคร
"ชีวิตการทำงานในช่วงแรก ๆ ก็ค่อนข้างจะประสบปัญหาบ้าง เพราะเพิ่งจบมาจากเมืองนอกใหม่
ๆ ไปใช้ชีวิตที่เมืองนอกก็นานนับสิบปี นิสัยจึงติดความเสรีมาก ภาษาไทยก็อ่านไม่ค่อยชัด
โดยเฉพาะเรื่องระเบียบวินัยผู้ใหญ่เป็นห่วงผมมาก...." ชวลิตเล่ากับ
"ผู้จัดการ" อย่างไม่ปิดบัง
สุเมธ ผู้พ่อได้แนะนำให้เขาสมัครเข้ารับราชการทหารและชวลิตก็เห็นดีด้วย
"เหตุผลก็เพราะต้องการฝึกเรื่องระเบียบวินัยมากที่สุด เพราะการจะเป็นผู้นำนั้น
ถ้าขาดเรื่องระเบียบวินัยก็คงไม่ทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จเป็นแน่และอีกอย่างชีวิตทางด้านธุรกิจเราก็เห็นมาแล้ว
ก็อยากดูว่าชีวิตการเป็นทหารจะเป็นอย่างไรบ้างเหมือนกับอีกด้านหนึ่งของเหรียญที่พวกเราไม่เคยเห็นไม่เคยสัมผัส"
ชวลิตบอกเหตุผล
ชวลิตเข้ารับราชการทหารเมื่อปี 2521 สังกัดสำนักงานปลัดบัญชีทหาร กระทรวงกลาโหมเขาผ่านการฝึกรักษาดินแดน
(รด.) 3 เดือน ใช้ชีวิตอย่างทหารเต็มตัวไม่ว่าจะเป็นการกินอยู่หลับนอนหรือการฝึกภาคสนามที่ต้องเคร่งครัดระเบียบวินัยและคำสั่งของครูฝึก
เป็นชีวิตที่ลูกเศรษฐีน้อยคนนักจะได้พบ
แต่สำหรับชวลิต เขาถือว่ามันเป็นการใช้ชีวิตที่คุ้มค่าเอามาก ๆ
ชีวิตการรับใช้ชาติผ่านไป 3 ปี ชวลิตได้รับยศร้อยโทแห่งกองทัพบก เขาตั้งใจว่าจะให้ได้ยศร้อยเอกเสียก่อนค่อยขอปลดประจำการ
แต่ก็เผอิญที่ช่วงนั้น (ปี 2523) เป็นช่วงที่กลุ่มเตชะไพบูลย์ร่วมทุนกับอีกหลายกลุ่มก่อตั้งบริษัทสุรามหาราษฎร์ขึ้นทำกิจการเหล้าแม่โขง
สุเมธต้องเข้าดำรงตำแหน่งเป็นหัวเรือใหญ่ของสุรามหาราษฎร์ในช่วงนั้นและสุเมธได้ขอร้องลูกชายหัวแก้วหัวแหวน-ร้อยโทชวิต
เตชะไพบูลย์ ให้มาช่วยงานในตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด
ชวลิตทำงานที่สุรามหาราษฎร์มาโดยตลอด จนกระทั่งเขาตัดสินใจลงเล่นการเมืองโดยสมัครเข้ารับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตพญาไทของกรุงเทพมหานคร
สังกัดพรรคประชาธิปัตย์
ชวลิตนั้น เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์มานานแล้ว
"จากการคลุกคลีกับคนในพรรคก็รู้สึกนโยบายและแนวความคิดเขาดี จึงสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรค"
เขาชี้แจง โดยบอกด้วยว่า "คนในพรรค" ที่คลุกคลีจนถึงขั้นสนิทสนมที่สำคัญก็เช่น
ดร. พิจิต รัตตกุล และ วีระ มุสิกพงศ์ เป็นต้น
การสมัครลงเลือกตั้งของชวลิตก็เป็นเรื่องที่มีการวิจารณ์กันมาก ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะการเลือกตั้งครั้งที่เพิ่งผ่านไปนี้มี
"เตชะไพบูลย์" หลายคนลงสมัครพร้อม ๆ กัน ก็เลยเกิดความเชื่อว่าน่าจะเป็นความพยายามที่จะเข้ามาดูแลผลประโยชน์กันอย่างเป็นแผง
แต่สำหรับชวลิตนั้นเหตุผลของเขาก็คือ "อย่างหนึ่งต้องถือว่า บรรยากาศทางการเมืองเป็นใจและพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นพรรคเปิดที่ในระยะหลังนี้ให้ความสนใจนักธุรกิจ
และนักเศรษฐศาสตร์ มากเป็นพิเศษ พรรคนั้นตระหนักดีว่าปัญหาเฉพาะหน้าของประเทศในขณะนี้คือปัญหาเศรษฐกิจ
ซึ่งโอกาสที่จะแก้ปัญหาก็คือต้องเร่งสร้างบุคลากรทางด้านนี้ให้มาก มันเป็นทิศทางใหญ่ของพรรคและผมก็เป็นส่วนหนึ่งตามทิศทางนี้"
"ถ้าเป็นการเข้ามาเพื่อปกป้องผลประโยชน์แล้ว ไม่ต้องเข้าดีกว่า เพราะเข้ามาแล้วก็หมายถึงการยืนอยู่ในฐานะด่านหน้ามีอะไรเข้ามากระทบต้องโดนก่อน
ถ้ามันเป็นอย่างที่เขาโจมตีกันจริง ก็คงไม่ใช่ยุทธวิธีที่ดีหรือฉลาดเป็นแน่"
ชวลิตถือโอกาสกล่าวตอบโต้เสียงวิพากษ์วิจารณ์บ้าง
และถ้าจะว่าไปกว่าที่จะสามารถเอาชนะใจประชาชนในเขตพญาไทจนได้รับคะแนนเสียงไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่ง
สส. นั้น เบื้องหลังก็คือการเดินตะลุยหาเสียงทุกตรอกซอกซอยเป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร
"เราใช้ 3 วิธีคือ วิธีเคาะทุกประตูบ้าน วิธีขึ้นปราศรัย และวิธีที่
3 ใช้อาสาสมัคร" ชวลิตเล่าให้ฟัง
"การออกเดินหาเสียงตามตรอกซอกซอยนี้นอกจากจะเป็นการได้สัมผัสกับต้นตอปัญหาโดยตรงแล้ว
สิ่งที่ผมประทับใจมากก็คือบ้านเรายังเป็นแผ่นดินแห่งรอยยิ้มอยู่ครับ"
ชวลิตเล่าถึงบางสิ่งที่เขาได้รับจากการออกตระเวนหาเสียงในเขตพญาไทกับ "ผู้จัดการ"
สำหรับทายาทตระกูลเศรษฐีอย่างร้อยโทชวลิต เตชะไพบูลย์นั้นความตั้งใจที่จะรับใช้สังคมบนเวทีการเมืองของเขาก้าวมาถึงจุดๆ
หนึ่งแล้ว
เขายังมีวัยและไฟที่ลุกโชนในหัวใจให้พร้อมที่จะก้าวออกไปข้างนอกอีกอย่างไม่หยุดยั้ง
ท่ามกลางสิ่งที่จะต้องท้าทายเขาอีกมาก
ความมั่นคงเด็ดเดี่ยวและคุณธรรมในหัวใจเท่านั้นที่จะเป็นเสมือนประทีบส่องทางให้เขา
ชวลิตด้วยชวลิตนั้นก็คงต้องการจะพิสูจน์อะไรหลาย ๆ อย่าง
แต่อย่างหนึ่งที่หลายคนอยากให้ชวลิตพิสูจน์ที่สุดก็คือเศรษฐนั้นก็ใช่ว่าจะต้องใจดำอำมหิตเสมอไป
ซึ่งถ้าเขาทำสำเร็จก็คงจะมีคนดีมีฝีมืออีกเป็นจำนวนมากที่พร้อมจะประกาศตัวลงเล่นการเมือง
ไม่ต้องมานั่งชักใยอยู่ข้างหลังหรือวางเฉยให้เสียชาติเกิดแล้วก็ปล่อยให้ทุกอย่างพินาศไปต่อหน้าต่อตา