เมื่อครั้งที่เสฐียร เตชะไพบูลย์ ยังเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารเอเชียก่อนหน้า
ยศ เอื้อชูเกียรติ จะมานั่งเก้าอี้นี้ในปัจจุบัน ตอนนั้นตระกูลเตชะไพบูลย์ก็มีหุ้นในธนาคารแห่งนี้ด้วย
ผู้ถือหุ้นใหญ่จึงมีด้วยกัน 3 กลุ่ม คือกลุ่มเอื้อชูเกียรติที่มี จรูญ
เอื้อชูเกียรติ เป็นตัวแทน กลุ่มเตชะไพบูลย์ มีเสฐียร เตชะไพบูลย์ เป็นตัวแทน
และกลุ่มคัณธามานนท์มี เจียม คัณธามานนท์ เป็นตัวแทน
แต่ยศ เอื้อชูเกียรติบอกกับ "ผู้จัดการ" ว่า "ความจริงแล้วผู้ถือหุ้นใหญ่ของแบงก์เอเชียจะถือว่าเป็น
3 กลุ่มไม่ได้หรอก ความจริงคือ 2 กลุ่ม เพราะทางเตชะไพบูลย์กับทางเอื้อชูเกียรตินั้นต้องถือว่าเป็นกลุ่มเดียวกันเพราะเป็นญาติกัน"
(เสถียร เตชะไพบูลย์ แต่งงานกับลูกสาวจรูญ เอื้อชูเกียรติที่ชื่อ ลาวัลย์)
ผู้ถือหุ้นหลักของธนาคารเอเชียตอนนั้นจึงมีเพียงกลุ่มเอื้อชูเกียรติและคัณธามานนท์
และยุคสมัยการบริหารของเสฐียร มีการพัฒนาธนาคารเอเชียไปพอสมควร อย่างน้อยก็พยายามปรับโฉมจากธนาคารที่เคยพัวพันกับบุคคลทางการเมืองให้มีความเป็นธนาคารอาชีพมากขึ้น
แต่ปัญหาสั่งสมในแง่หนี้สินที่ติดค้างโดยกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ยังเป็นสิ่งที่แก้ไม่ตก
สำหรับกลุ่มคัณธามานนท์สมัยที่มีหุ้นในธนาคารเอเชียมากที่สุดนั้นมีถึงประมาณ
30% ส่วนกลุ่มเอื้อชูเกียรติเมื่อรวมกับเตชะไพบูลย์แล้วจะมีประมาณ 50-60%
จากตัวเลขการถือหุ้นของฝ่ายเอื้อชูเกียรติซึ่งมีเหนือกว่าเช่นนี้ก็ย่อมจะทำอะไรได้เต็มที่โดยไม่ต้องกลัวถูกศอกกลับ
จากการตรวจสอบพบว่ากลุ่มคัณธามานนท์เป็นหนี้ธนาคารเอเชียเกือบ 200 ล้านบาท
โดยที่ยังทวงถามกันไม่สำเร็จนั้น
เสฐียรเองเคยเลิกเกรงใจถึงขนาดยื่นโนตีสและฟ้องกลุ่มคัณธามานนท์อยู่ครั้งหนึ่ง
จนมีการจ่ายหนี้ให้แบงก์ส่วนหนึ่งแต่ก็ยังค้างอีกส่วนหนึ่ง
การที่ต้องอยู่ในภาวะเผชิญหน้าและความขัดแย้งของกลุ่มผู้ถือหุ้นเช่นนี้
คงจะสร้างความอึดอัดใจให้แก่เสฐียรพอควร ประกอบกับได้รับไฟเขียวจากทางตระกูลเตชะไพบูลย์
เขาจึงตัวสินใจถอนตัวกลับไปช่วยงานพี่ชายคือ อุเทน เตชะไพบูลย์ ที่ธนาคารศรีนคร
ส่วนยศ เอื้อชูเกียรติ ผู้มีศักดิ์เป็นน้องภรรยา ซึ่งเสฐียรขอให้มาช่วยงานด้วย
โดยตอนแรกเป็นเพียงแค่ที่ปรึกษา และต่อมาก็เข้ามาเต็มตัวในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ
เมื่อเสฐียรลุกจากเก้าอี้กรรมการผู้จัดการใหญ่ พร้อมกับการขายหุ้นส่วนใหญ่ที่ถือไว้แก่กลุ่มใหม่ที่เข้ามาคือ
"กลุ่มภัทรประสิทธิ์" ยศ เอื้อชูเกียรติจึงได้ขึ้นเป็นผู้บริหารสูงสุดแทน
"ที่คุณเสฐียรออกจากแบงก์ไปนั้น ที่จริงเป็นความต้องการของตระกูลเขามากกว่า
มีข่าวว่าทางกลุ่มเตชะไพบูลย์กำลังถูกคนจังตาว่าเข้าไปผูกขาดธุรกิจมากเกินไป
ทางเตชะไพบูลย์ไม่ต้องการให้คนมองภาพเป็นอย่างนี้ จึงให้คุณเสฐียรถอนตัวออกไป
เพราะช่วงนั้นคนมองว่าแบงก์เอเชียก็เป็นแบงก์ของกลุ่มเตชะไพบูลย์ด้วย"
ยศ กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
ในช่วงที่ยศ เอื้อชูเกียรติ ขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ก็เป็นจังหวะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าตรวจสอบ
และพบว่าผู้บริหารธนาคารในยุคที่กลุ่มคัณธามานนท์มีอำนาจอยู่ได้ปล่อยสินเชื่อจนเกินสัดส่วนต่อเงินกองทุน
และยังมีการปล่อยกู้ให้กลุ่มธุรกิจในเครือของตนด้วย จึงให้เร่งรัดหนี้สินคืน
เมื่อพูดกันดีๆ ไม่ได้ผล การฟ้องร้องก็เกิดขึ้นอีก และการชักธงรบครั้งใหม่ของเอื้อชูเกียรติก็โดยการที่จรูญร่วมกับยศ
ลงชื่อมอบอำนาจให้ พ.ต.ต. สวัสดิ์ ทุมโฆสิต ดำเนินการฟ้องร้องบริษัทในเครือของคัณธามานนท์
3 บริษัท รวมทั้งผู้ค้ำประกัน คือ เจียม คัณธามานนท์ สุมิตร คัณธามานนท์
และสุวิทย์ คัณธามานนท์
และย่อมเป็นการแน่ที่ฝ่ายคัณธามานนท์ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ จึงสู้คดีในประเด็นที่ว่า
2 พ่อลูกค่ายเอื้อชูเกียรติไม่มีอำนาจมอบหมายให้ฟ้อง เพราะกรรมการบริหารทั้งหมด
(ซึ่งมีฝ่ายคัณธามานนท์ร่วมอยู่ด้วย) ยังไม่ได้รับรู้ด้วย
คดีนี้สู้กันถึง 3 ศาล โดยศาลชั้นต้นยกฟ้อง แต่อีก 2 ศาล ฝ่ายเอื้อชูเกียรติเป็นฝ่ายชนะเด็ดขาด
เมื่อมันเป็น "ความแค้นที่ต้องชำระ" วันที่ 4 ต.ค. 2526 ฝ่ายคัณธามานนท์
จึงให้สุวิทย์ คัณธามานนท์ ดำเนินการฟ้องฝ่ายเอื้อชูเกียรติบ้าง โดยหาว่าฝ่ายนี้ก็ปล่อยหนี้เละเทะเหมือนกัน
โดยปล่อยกู้ให้พวกตนเองอย่างไม่มีหลักประกัน และบริหารงานทำให้ธนาคารเสียหายประมาณ
3,000 ล้านบาท และอ้างว่ามีหลักฐาน 13 รายการ ที่ทำความเสียหายถึง 390 ล้านบาท
แม้ว่าในที่สุดการต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความจริงจะปรากฏว่าฝ่ายเอื้อชูเกียรติเป็นฝ่ายชนะก็ตาม
แต่ศึก 2 ตระกูลที่ประลองกำลังกันนี้ก็เป็นที่ฮือฮากันไปทั้งวงการ
เพราะไม่เพียงแต่จะต่อสู้กันในขั้นศาลเท่านั้น ยังมีการใช้หน้าหนังสือพิมพ์เป็นเวทีโจมตีและแฉโพยกันเป็นที่เอิกเกริกอีกด้วย
"เรื่องส่วนตัวเราคงไม่มีอะไรกันแล้ว เวลานั้นตระกูลคัณธามานนท์ก็คงโกรธที่ธนาคารไปฟ้องเขา
ซึ่งจริงๆ แล้วเราก็ให้เวลาเขาเยอะ แต่ทางแบงก์ชาติก็บีบมาให้ทำอะไรซักอย่างหนึ่ง
มันก็ต้องทำ"
"มันก็เหมือนกับเรามีเพื่อนเป็นตำรวจอยู่คนหนึ่ง เวลาเราทำผิดอะไร
เพื่อนก็มาเตือน แล้วเราจะโกรธว่าแหม…เพื่อนฝูงกันแค่นี้ยอมกันไม่ได้หรือ"
ยศกล่าวถึงความรู้สึกที่ต้องฟ้อง
เรื่องนี้ยศเองก็ยอมรับว่าภาพพจน์ของธนาคารตอนนั้นเสียไปมาก เพราะคนเข้าใจผิดว่านอกจากจะเป็นการตีกันเองในระหว่างผู้ถือหุ้นแล้ว
ยังเข้าใจผิดว่าคัณธามานนท์ถือหุ้นมากถึง 50% คนก็เลยห่วงว่าจะบริหารกันได้อย่างไร
"คุณต้องรู้ว่าปัญหาของผู้บริหารธนาคารนั้นก็คือแบงก์ชาติ แบงก์ชาติจะเพ่งเล็งที่หนี้สินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรรมการหรือผู้ถือหุ้นของธนาคาร
เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงตกหนักแก่ผู้บริหาร คือตัวผู้จัดการเอง ซึ่งทางคัณธามานนท์ก็ไม่เชื่อ
คิดว่าคุณเสฐียรหรือผมไปกลั่นแกล้ง" ยศกล่าว
จนถึงวันนี้ กลุ่มเอื้อชูเกียรติจับมือกับกลุ่มภัทรประสิทธิ์ครองความเป็นใหญ่อย่างเต็มที่
เพราะในการประชุมใหญ่ประจำปีครั้งที่ผ่านมา เจียม คัณธามานนท์ และสุวิทย์
คัณธามานนท์ ครบวาระการเป็นกรรมการ และที่ประชุมก็ไม่เลือกกลับเข้ามาอีก
นอกจากนี้แม้แต่หุ้นของกลุ่มคัณธามานนท์ ฝ่ายเอื้อชูเกียรติก็กำลังหาทางยึดเพื่อนำออกขายทอดตลาดเพื่อล้างหนี้
เป็นอันว่าอิทธิพลและบทบาทของคัณธามานนท์ ได้ถูกเบียดออกจากธนาคารเอเชีย
จนหมดสิ้นแล้ว