เปิดตัวไทยแลนด์ฟันด์ "อย่ามองแค่เงิน 789 ล้าน


นิตยสารผู้จัดการ( มกราคม 2530)



กลับสู่หน้าหลัก

เมื่อเวลาประมาณ 3 ทุ่มของคืนวันศุกร์ที่ 19 ธันวาคมปีที่เพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ เงินจำนวน 30 ล้านเหรียญสหรัฐหรือราว 789 ล้านบาทไทยได้ถูกโอนจากนิวยอร์คมาที่ธนาคารกรุงไทยสำนักงานใหญ่ เพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์กองทุนรวมดำเนินการต่อไป

นี่คือจุดเริ่มเดินเครื่องของกองทุนไทยแลนด์ฟันด์ ซึ่งเป็นกองทุนรวม (Mutual Fund) ระดับระหว่างประเทศ โครงการแรกที่ได้รับอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อระดมทุนจากสถาบันในยุโรปและอเมริกานำมาลงทุนในตลาดทุนและตลาดบ้านเรา

ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งคึกคักฟู่ฟ่าในช่วงปลายปีที่ผ่านมาอยู่แล้ว เพราะบรรยากาศเสริมส่งไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยลด สภาพคล่องมีเยอะ น้ำมันลดราคา แถมมีเงินจากนักลงทุนต่างชาติมาหนุนซื้อหุ้น

การเปิดตัวไทยแลนด์ฟันด์ก็เลยช่วยเพิ่มความหวังให้ตลาดมากขึ้น ถึงขนาดราคาขยับขึ้นไปรอท่ากันทีเดียวเชียว แต่ยังหรอก…ช่วงนี้เขาตกลงกันแล้วว่าจะเหมาะเอาของดีราคาถูกจากกองทุนพัฒนาตลาดทุนที่บรรดาแบงก์ต่างๆ ไม่อยากถือเอาไว้ต่อไป (เลือกเอาไว้แล้ว 11 หุ้น)

การเข็นไทยแลนด์ฟันด์ออกมาจนสำเร็จครั้งนี้ คนที่ภูมิใจมากคงจะเป็น ศุกรีย์ แก้วเจริญ แห่งบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์มาตลอดและปัจจุบันก็ยังเป็นที่ปรึกษาของ รมต. คลังเกี่ยวกับเรื่องนี้

อีกคนก็ อุดม วิชชยาภัย กรรมการผู้จัดการของบริษัทหลักทรัพย์กองทุนรวม ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทุนไทยแลนด์ฟันด์และเป็นบริษัทลูกของบรรษัทก็ย่อมจะดีใจที่สามารถออกโปรดักซ์ใหม่ระดับอินเตอร์ แถมได้สิทธิพิเศษทางภาษีแก่ผู้ลงทุนในฐานะที่เป็นกองทุนที่ทางการรับรอง

เล่นเอาบางกอกฟันด์ที่มีฟิทเป็นโบร๊กเกอร์ในการซื้อขายหุ้นให้ต้องมองค้อนเอา แต่ก็ยังทำเชิดหน้าว่าไม่หวั่น พร้อมกับคุยว่าตอนนี้เตรียมขยายกองทุนอีก 15 ล้าน

ว่ากันถึงเรื่องการพัฒนาตลาดทุนในเมืองไทย ก็ต้องกล่าวถึง เดวิด กิล ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาตลาดทุน ของบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (IFC) ซึ่งเป็นสถาบันในเครือของธนาคารโลก และมีบทบาทเกี่ยวข้องกับตลาดทุนของไทยมานานแล้ว

และรูปแบบการจัดตั้งบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรแห่งประเทศไทย (IFCT) ซึ่งเป็นสถาบันที่ถือหุ้นโดยกระทรวงการคลัง ภาคเอกชน ก็เอาแนวความคิดมาจาก IFC นี่เอง

เมื่อวันแถลงข่าวโครงการไทยแลนด์ฟันด์ที่ห้องประชุมบรรษัท เดวิด กิล ในฐานะผู้แทนของ IFC ซึ่งเป็นสถาบันหนึ่งที่ร่วมเป็นผู้ประกันการขาย หน่วยลงทุนนี้ก็มาร่วมงานด้วย

เดวิด กิล เกี่ยวข้องกับเรื่องของการพัฒนาตลาดทุนไทยมาตั้งแต่ 15 ปีที่แล้วมา ตั้งแต่สมัยที่เริ่มรู้จักกับศุกรีย์ แก้วเจริญ ซึ่งตอนนั้นยังทำงานอยู่ที่ธนาคารชาติ ในตำแหน่งหัวหน้าหน่วยปฏิบัติงานโครงการพัฒนาตลาดทุนในประเทศไทย

สิ่งที่เดวิด กิล ช่วยเหลือต่อการพัฒนาตลาดทุนมีอยู่พอสมควร อย่าง ดร. ซิดนีย์ เอ็ม.ร้อบบิ้นส์ ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นิวยอร์ค ที่มาช่วยศึกษาและแนะแนวทางการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์ไทย ก็จากการช่วยติดต่อของเดวิด กิล

นอกจากนี้เขายังช่วยในการจัดตั้งบริษัทหลักทรัพย์กองทุนรวม (IFC ก็ร่วมถือหุ้นด้วย) และตอนนี้เมื่อเห็นท่าว่าตลาดทุนไทยเริ่มเข้าที่แล้ว ก็ยังช่วยสนับสนุนในการจัดตั้งไทยแลนด์ฟันด์ ซึ่ง ศุกรีย์กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า

"บางคนมองเพียงว่า เราได้เงิน 700 กว่าล้านบาทเข้ามาในเมืองไทย ความจริงไม่ใช่แค่นั้น แต่สิ่งที่สำคัญมากอยู่ที่ไทยแลนด์ฟันด์จะเป็นหลักทรัพย์แรกของไทยที่จะได้ไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นลอนดอน ซึ่งเป็นตลาดหุ้นชั้นนำของโลก"

"เรื่องนี้นอกจากจะเป็นชื่อเสียงของประเทศแล้ว เมื่อไทยแลนด์ฟันด์ลงทุนในหลักทรัพย์อะไรก็ต้องเปิดเผยให้ต่างประเทศรู้ เช่น ถ้าลงทุนในหุ้นของบรรษัทฯ ปูนซิเมนต์ไทยหรือธนาคารไทยพาณิชย์ กิจการเหล่านี้ก็จะเป็นที่รู้จักในตลาดยุโรปมากขึ้นด้วย"

"ยิ่งกว่านั้น ต่อไปกิจการที่ไทยแลนด์ฟันด์ไปลงทุนก็จะมีโอกาสนำหุ้นทุนหรือหุ้นกู้ออกไปจำหน่ายในยุโรปได้"

"เมื่อวันประชุมบีโอไอครั้งก่อน ผมยังรายงานให้ท่านนายกรัฐมนตรีทราบว่า ขณะนี้เป็นช่วงของการก้าวกระโดดของตลาดทุนไทย ซึ่งต่อไปนี้เราได้เข้าสู่ระดับโลกแล้ว" ศุกรีย์กล่าวทิ้งท้ายกับ "ผู้จัดการ"

ด้วยเหตุนี้เองการมาเมืองไทยของ เดวิด กิล ครั้งนี้ก็ยังได้แอบไปเจรจากับผู้บริหารปูนซิเมนต์ไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อปูทางให้ออกหุ้นกู้แบบแปลงสภาพได้นำไปขายในตลาดยุโรป

และหลังจากช่วงแถลงข่าววันนั้นศุกรีย์ แก้วเจริญ ก็ยังมีแก่ใจกระซิบบอก "ผู้จัดการ" ว่าเป็นจังหวะดีมากที่เดวิด กิล มาเมืองไทยคราวนี้ น่าจะรู้จักกันไว้แล้วก็ช่วยนัดแนะและเปิดห้องทำงานส่วนตัวที่บรรษัทได้พูดคุยกัน

"ตลาดหุ้นของไทยยังนับว่าบอบบางมากจึงไม่อยากให้เงินจากไทยแลนด์ฟันด์มาดึงราคาตลาดหุ้นในระยะนี้ แต่ต้องการลงทุนในระยะยาว ซึ่งเมืองไทยก็มีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจจะเติบโตไปได้ดี" เดวิด กิล กล่าวตอนหนึ่ง

เขายังมีความเห็นอีกว่า ในช่วงหลังนี้ตลาดหลักทรัพย์ใหญ่ๆ ทั่วโลกโตขึ้นมาก แต่นักลงทุนก็ยังสนใจจะลงทุนในตลาดเล็กๆ ด้วยเหมือนกัน อย่างตลาดหุ้นของไทยเป็นต้น และอีกทั้งราคาหุ้นบ้านเราทุกวันนี้ก็ไม่ใช่ว่าขึ้นไปโดยไม่มีเหตุผล เพราะดูได้จากมูลค่าตามบัญชี

"ผมไม่อยากพูดว่า ตลาดหุ้นเมืองไทยจะดีขึ้นแค่ไหนอีก แต่บอกได้ว่า มีโอกาสโตอีกมากและถ้าหากจะมีเหตุการณ์อะไรกับตลาดอื่น ก็จะไม่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากเท่ากับที่อื่น เพราะที่นี่มีกฎหมายควบคุมดีพอสมควร" เดวิด กิล กล่าวกับ "ผู้จัดการ"

อย่างไรก็ตามเขายังเห็นว่าตลาดหลักทรัพย์ของไทยยังมีหุ้นดีๆ น้อยอยู่ และจำเป็นต้องหาทางชักชวนกิจการดีๆ นำหุ้นมาจดทะเบียนในตลาดเพิ่มมากขึ้น

คงจะเป็นการบ้านให้ ดร. มารวย ผดุงสิทธิ์ คนชื่อดีแห่งตลาดหลักทรัพย์ฯ เร่งผลักดันตามที่เคยประกาศท่าทีไว้เหมือนกัน รวมทั้งหุ้นของกิจการที่กำลังจะดีที่จะเปิดกระดานที่ 2 ให้ ก็ขอให้มีผลกันไวๆ



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.