|
จากเซลส์แมนย่านสำเพ็ง สร้างธุรกิจ 400 ล้าน
โดย
นภาพร ไชยขันแก้ว
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา( กุมภาพันธ์ 2553)
กลับสู่หน้าหลัก
"เวลาผมไปเดินห้างสรรพสินค้าจะเลือกตรงไปที่แผนกชุดชั้นในและยืนมอง จับโน่น จับนี่ ค่อนข้างนาน จนพนักงานขายมองหน้าผม คิดว่าผมเป็นผู้ชายบ้าชุดชั้นใน"
ณรงค์ อรวัฒนศรีกุล ประธานกรรมการ บริษัทฟรีเท็กซ์ อีลาสติค จำกัด วัย 64 ปี เล่าให้ฟังพร้อมกับเสียงหัวเราะเมื่อนึกเหตุการณ์ 30 กว่าปีก่อน
ชีวิตของณรงค์คลุกคลีอยู่กับธุรกิจค้าขายผ้าในย่านสำเพ็งมาตั้งแต่วัยหนุ่ม เขาเป็นทั้งเด็กรับใช้ ทำความสะอาด ชงน้ำชาอยู่ 2-3 ปี จนกระทั่งไต่เต้าไปเป็นพนักงานขาย ตระเวนติดต่อขายในย่านพาหุรัด ประตูน้ำ พระโขนง สะพานใหม่ ดอนเมือง อีก 1 ปี หลังจากนั้นเถ้าแก่ก็เริ่มให้เขาออกต่างจังหวัดในภาคเหนือและภาคอีสานควบคู่กันไป เขาขายทุกอย่าง ผ้าห่ม ผ้าขนหนู ผ้าโสร่ง
จากนั้นเจ้านายของเขาได้ร่วมกับนักธุรกิจสิงคโปร์นำเข้าชุดชั้นในจากประเทศเยอรมนีและญี่ปุ่นเข้ามาจำหน่าย ในตอนนั้นได้ว่าจ้างนักการตลาดมีความรู้ภาษาอังกฤษเข้ามาช่วย แต่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะนักการตลาดที่จ้างมามีการศึกษาสูง ในขณะที่ลูกค้ามีสไตล์การซื้อขายแบบลูกทุ่ง จึงทำให้เกิดช่องว่างด้านความเข้าใจ
ณรงค์ถูกเลือกไปช่วยฝ่ายการตลาด เขาเริ่มติดต่อกับเพื่อนฝูงจำหน่ายสินค้าในต่างจังหวัด เช่น วีนา การ์เมนท์ มีสรุ่งอรุณ ให้เป็นช่องทางจำหน่ายสินค้าให้กับบริษัท ในช่วงนั้นทำให้มียอดสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง
บริษัทพึงพอใจการทำงานของเขา ต้องการย้ายเขามาอยู่ฝ่ายการตลาดอย่างเต็มตัวพร้อมยื่นข้อเสนอให้ถือหุ้น 2 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่ต้องลงทุน
เขาตัดสินใจร่วมงานด้วยแต่หลังจากทำงานเป็นเวลา 2-3 ปี ท้ายที่สุดเขาก็ถูกเบี้ยวไม่ได้รับส่วนแบ่งเพราะนายทุนสิงคโปร์ไม่ยอมจ่ายค่าตอบแทนที่ตกลงไว้
ทำให้ณรงค์ตัดสินใจลาออก เขาเริ่มต้นทำธุรกิจชุดชั้นในอย่างจริงจัง เริ่มจากให้โรงงานผลิตชิ้นส่วนพลาสติกที่ทำหน้าที่ปรับสายเสื้อชั้นในผู้หญิง โดยมีต้นทุนถูกกว่า และเดินทางไปฮ่องกง ไต้หวัน ซื้อชุดชั้นในเข้ามาจำหน่าย เริ่มจากหิ้วของเข้ามาเองด้วยเงินทุนไม่มากนัก
การเดินทางของเขาในตอนนั้นใช้ภาษาจีนเป็นสื่อกลาง เพราะประเทศที่เขาไปติดต่อธุรกิจใช้ภาษาเหล่านี้จึงเป็นความโชคดีของเขาที่ไม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ
แต่สภาพการแข่งขันในตอนนั้นมีค่อนข้างมาก ขณะที่เขามีเงินทุนน้อยจึงทำให้เขากลับไปเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับบริษัทชุดชั้นในให้กับบริษัทในเครือยูเนี่ยนไพโอเนีย ซึ่งผลิตอุปกรณ์ชุดชั้นในภายใต้แบรนด์วีนัส บริษัทแห่งนี้เป็นการร่วมทุนระหว่างสหยูเนี่ยนและไพโอเนียจากฮ่องกง
หลังจากดำเนินงานไปได้ระยะหนึ่ง ผู้ร่วมทุนมีความคิดในการบริหารแตกต่างกันจึงทำให้บริษัทฮ่องกงซื้อหุ้นทั้งหมดจากบริษัทไทย และนำหุ้นดังกล่าวมาขายให้กับณรงค์
การเข้าซื้อกิจการโรงงานผลิตอุปกรณ์ชุดชั้นในแห่งนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตครั้งสำคัญของณรงค์ เขาได้โรงงานที่มีเครื่องจักร 12 เครื่องและได้รับการถ่ายทอดเทคนิค รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ จากฮ่องกงเป็นเวลา 3 ปี
ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2535-2536 ธุรกิจสิ่งทอเจริญเติบโตอย่างมาก เฉกเช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ ในประเทศไทย
แต่หลังจากประสบวิกฤติเศรษฐกิจ "ต้มยำกุ้ง" ในปี 2540 มีสินค้าจากจีนแดงเริ่มหลั่งไหลเข้ามาโดยมีความได้เปรียบเรื่องของราคาและต้นทุนถูกกว่า
ในตอนนั้นณรงค์เกือบจะถอดใจ เพราะต้องตัดสินใจว่าจะดำเนินกิจการต่อไปหรือเลิกกิจการ แต่หลังจากที่เขาได้คุยกับภรรยา ลูกๆ ของเขา จึงตัดสินใจที่จะทำต่อ เพราะลูกทั้งหมด 4 คนจะเข้ามาช่วยบริหารธุรกิจต่อจากเขา
ณรงค์จึงมีความสบายใจ เขาถือว่าเป็นความโชคดีที่ลูกตั้งใจและมุ่งมั่นทำธุรกิจเพื่อขยายกิจการให้เจริญเติบโต จนสามารถสร้างรายได้ถึง 400 ล้านบาท
"บางครั้งผมกลับถึงบ้านนานแล้ว แต่ลูกๆ ยังทำงานจนดึกดื่น ผมรู้สึกเป็นห่วง แต่ในใจลึกๆ แล้ว ผมก็อดดีใจไม่ได้ที่เขาทุ่มเทให้กับงาน"
ณรงค์เฝ้ามองการเจริญเติบโตธุรกิจของครอบครัวผ่านลูกๆ จนทำให้เขาฝันว่า บริษัทฟรีเท็กซ์ อีลาสติค จำกัด จะต้องเป็นบริษัทชั้นนำในฐานะผู้ผลิตชิ้นส่วนชุดชั้นในระดับโลก
ฝันของณรงค์จะไกลเกินเอื้อมหรือไม่ ลูกๆ ของเขาน่าจะให้คำตอบนี้ได้ดีที่สุด
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|