|
"ซีพีเอฟ"ทุ่น5พันล้านลงทุนต่างประเทศ คาดปีหน้ากุ้งโตกระฉูดดันยอดขายรวมเพิ่ม10%
ผู้จัดการรายสัปดาห์(7 มกราคม 2553)
กลับสู่หน้าหลัก
ซีพีเอฟ ทุ่ม 5 พันล้านบาท ขยายการลงทุนในต่างประเทศ ระบุ รัสเซียจะเป็นฐานหลักในอนาคต คาดในปีหน้ายอดขายในแดนหมีขาวจะโตกว่า 50% เพราะยังขยายตลาดได้อีกมาก พร้อมปูพรม ซีพีเฟรชมาร์ท เพิ่มอีกเป็น 1 พันแห่งทั่วประเทศ มั่นใจตลาดกุ้งสดใส คาดปีเสือจะขยายตัวสูงถึง 50% คาดปี 52 กำไรสุทธิทะลุ 1 หมื่นล้านบาท
อดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในปีหน้าของ ซีพีเอฟ จะมุ่งเน้นไปลงทุนในต่างประเทศเป็นหลัก คาดว่าจะใช้งบประมาณการลงทุนเบื้องต้นประมาณ 5 พันล้านบาท โดยประเทศหลักๆที่จะเข้าไปลงทุน ได้แก่ รัสเซียจะเข้าไปขยายการลงทุนในฟาร์มเลี้ยงไก่ นอกจากนี้จะเข้าไปลงทุนโรงงานแปรรูปในตุรกี ลงทุนขยายการเลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะปลา และอาหารปลาในฟิลิปปินส์ และโรงงานอาหารสัตว์ในอินเดีย โดยตลาดรัสเซียจะเป็นฐานที่สำคัญของ ซีพีเอฟ ในอนาคต เนื่องจากมีปริมาณการบริโภคไก่สูงถึงกว่า 2 ล้านตันในแต่ละปี ซึ่งเป็นการนำเข้าถึงกว่า 1 ล้านตัน เมื่อเทียบกับไทยที่ผลิตไก้ได้เพียง 7 แสนตั้น ดังนั้นยังมีโอกาสที่จะขยายตลาดได้อีกมากอย่างครบวงจร ตั้งแต่อาหารสัตว์ไปจนถึงโรงงานแปรรูป ซึ่งมั่นใจว่าธุรกิจของ ซีพีเอฟ ในรัสเซีย จะโตกว่า 50% ในปีหน้าอย่างแน่นอน
ส่วนธุรกิจในประเทศ จะขยายช่องทางการจำหน่ายของร้านค้า ซีพีเฟรชมาร์ท ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะเพิ่มจาก 500 แห่งไปเป็น 1,000 แห่ง กระจายไปทุกชุมชนทั่วประเทศ และในอนาคตจะกระจายเป็นแฟรนด์ไชน์ทั้งหมด 100% รวมทั้งจะขยายร้านไก่ย่าง 5 ดาว และออกสินค้าใหม่ เช่น ข้าวมันไก่ บะหมี่หมูแดง และเกี้ยวกุ้ง
ขณะที่ธุรกิจสัตว์น้ำ ในปีหน้าจคาดว่าะส่งออกกุ้งเพิ่มขึ้นถึง 50% หรือมีปริมาณ 5 หมื่นตัน เนื่องจากสามารถย่นระยะเวลาการเลี้ยงได้มากขึ้น รวมทั้งจะออกพันธ์ปลาชนิดใหม่คือปลาหยก ที่ซีพีเอฟ ทุ่มพัมนามาหลายปี ซึ่งปลาชนิดนี้จะเจาะกลุ่มตลาดชั้นสูง เนื่องจากมีรสชาติที่ดีมาก คาดว่าในอนาคตจะได้รับความนิยมอย่างแน่นอน หมือนกับปลาทับทิมที่ซีพีเอฟได้พัฒนาขึ้นมา ส่วนการส่งออกไก่นั้น ตั้งเป้าว่าจะส่งได้ 1 แสนตัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าแปรรูป
ทั้งนี้สัดส่วนโครงสร้างรายได้ของ ซีพีเอฟ ในปีนี้ที่คาดว่าจะมีมูลค่า 1.6 แสนล้านบาท จะมาจากอาหารสัตว์บกและสัตว์น้ำ 35% ฟาร์มสัตว์บกและสัตว์น้ำ 45% อาหารพร้อมรับประทานและพร้อมปรุง 20% ซึ่งในปีหน้า ซีพีเอฟ จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างนี้ โดยจะลดสินค้าในกลุ่มฟาร์มลง และเพื่มในส่วนของสินค้าแปรรูปมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคระบายต่างๆ และความผันผวนของราคาในตลาดโลก ส่วนรายได้ในปีหน้าคาดว่าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 10% เมื่อเทียบกับปี 2552 ขณะที่การคาดการณ์กำไรสุทธิทั้งปี 2552 นั้นมีโอกาสที่จะทะลุระดับ1 หมื่นล้านบาทได้ ซึ่งสูงกว่าปีก่อนที่สามารถทำได้ 3.2 พันล้านบาท ซึ่งถือเป็นกำไรสูงสุดของบริษัท หลังจาก3 ไตรมาสที่ผ่านมาบริษัทสามารถทำกำไรได้แล้ว 8.08 พันล้านบาท โดยจากการที่ประสบความสำเร็จทั้งรายได้และกำไรสุทธินั้นมาจากการขยายตลาดต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งขณะนี้บริษัทขยายการส่งออกแล้วทั้งหมด 20 ประเทศ ซึ่งคิดเป็นการส่งออกอาหารสู่ประชากร 3 พันล้านคนทั่วโลก
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|