อนาคตการจ้างงานไทย


นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา( มกราคม 2553)



กลับสู่หน้าหลัก

การสำรวจภาวะการทำงานของประชากรล่าสุดเดือนกันยายน 2552 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ตัวเลขการจ้างงานรวมเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง (YoY) และภาวะการจ้างงานในหลายอุตสาหกรรมมีทิศทางปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะการจ้างงานในภาคการผลิตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

ขณะที่การจ้างงานในภาคก่อสร้างพลิกกลับมาขยายตัวเป็นเลขสองหลักที่ร้อยละ 14.1 จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นไปตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ส่วนอัตราการว่างงานยังไม่เปลี่ยนแปลง จากเดือนก่อนที่ร้อยละ 1.2 ถึงแม้ตัวเลขผู้ว่างงานจะขยับขึ้นเล็กน้อย (MoM) ก็ตาม

ภาวะการมีงานทำของแรงงานไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ต่อเนื่องถึงปี 2553 ยังคงมีทิศทางปรับตัวดีขึ้นตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ประกอบการอาจต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากแนวโน้มต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ

ขณะเดียวกันอาจต้องเตรียมรับมือกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่มีการเรียกร้องให้ปรับเพิ่มขึ้นในปี 2553 ซึ่งน่าจะเป็นอุปสรรคสำคัญประการหนึ่งในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่เน้นใช้แรงงาน (Labor-intensive) อันย่อมจะกระทบกับผลกำไรของธุรกิจ และอาจเป็นปัจจัยที่กดดันการจ้างงานด้วย หากภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวทั่วถึงอย่างเต็มที่

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินแนวโน้มการจ้างงานในช่วงปี 2553 ว่าภาวะการจ้างงานโดยรวมปรับตัวดีขึ้นในอัตราเร่งจากการฟื้นตัวของการจ้างงานนอกภาคเกษตร โดยผู้มีงานทำในเดือนกันยายนมีจำนวน 37.8 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (Year-on-Year, YoY) เร่งตัวขึ้นจากที่ขยายตัว ร้อยละ 1.1 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นผลมาจากการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 4.0 (YoY) ในเดือนกันยายนดีขึ้นเมื่อเทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 2.0 ในเดือนสิงหาคม ถึงแม้การจ้างงานในภาคเกษตรจะหดตัวสูงขึ้นก็ตาม ซึ่งสวนทางกับการปรับตัวดีขึ้นของทั้งผลผลิตและราคาพืชผลสำคัญในเดือนกันยายน

แต่หากเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) การจ้างงานนอกภาคเกษตรในเดือนกันยายนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ชะลอลงจากที่ขยายตัวร้อยละ 2.0 ในเดือนสิงหาคม ขณะที่การจ้างงานในภาคเกษตรหดตัวเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.7 ในเดือนสิงหาคม มาอยู่ที่หดตัวร้อยละ 5.8 ในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยด้านฤดูกาล เพราะหากย้อนกลับไปดูข้อมูลการมีงานทำในช่วงที่ผ่านมาจะพบว่า จำนวนผู้มีงานทำในภาคเกษตรในเดือนกันยายน มักจะลดลงจากเดือนก่อนหน้าของทุกปี แต่มักจะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกในช่วง 2 เดือนสุดท้าย

การจ้างงานในหลายอุตสาหกรรมยังมีทิศทางปรับตัวดีขึ้น ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาคการผลิตและการก่อสร้างโดยสำหรับภาคการผลิต ซึ่งถือเป็นภาคอุตสาหกรรมสำคัญที่มีความสัมพันธ์กับการส่งออกของไทยนั้นยังคงมีการจ้างงานที่ขยายตัวต่อเนื่อง จากเดือนก่อนหน้า (ขยายตัวร้อยละ 2.5 ในเดือนกันยายนเทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 3.4 ในเดือนก่อนหน้า) โดยได้รับแรงหนุนจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศที่ทำให้ภาคการผลิตปรับตัวดีขึ้น ขณะที่เมื่อเทียบกับช่วงเดือนเดียวกันปีก่อน การจ้างงานในภาคการผลิตเร่งตัวขึ้นจากที่ขยายตัวร้อยละ 0.6 (YoY) ในเดือนสิงหาคมมาอยู่ที่ร้อยละ 3.5 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน

การเพิ่มขึ้นดังกล่าวยังคงเน้นไปที่การผลิตในบางกลุ่ม ได้แก่ การผลิตเครื่องแต่งกาย การฟอกและตกแต่งหนังฟอก การผลิตยานยนต์ รถพ่วงและรถกึ่งพ่วง เครื่องอุปกรณ์การขนส่งอื่นๆ และการผลิตผลิตภัณฑ์จากแร่อโลหะ อย่างไรก็ดี ยังมีการจ้างงานในบางสาขาของภาคการผลิตที่ปรับตัวลดลงในเดือนกันยายน 2552 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2551 อาทิ การผลิตกระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ เครื่องจักรสำนักงาน การผลิตไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้และเฟอร์นิเจอร์

ขณะที่การจ้างงานในภาคก่อสร้างในเดือนกันยายนก็พลิกกลับมาขยายตัวเป็นเลขสองหลักที่ร้อยละ 14.1 จากเดือนก่อนหน้าและเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 (YoY) เทียบกับที่เคยหดตัวร้อยละ 0.5 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของทั้งเศรษฐกิจ โลกและเศรษฐกิจไทย

แม้ตัวเลขการจ้างงานจะปรับตัวขึ้น แต่อัตราการว่างงานจะยังทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 1.2 โดยผู้ว่างงานในเดือนกันยายนมีจำนวน 4.6 แสนคน เพิ่มขึ้น 1 หมื่นคน เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคมที่มีผู้ว่างงานจำนวน 4.5 แสนคน (ตัวเลขว่างงานพลิกกลับมาขยายตัวร้อยละ 2.6 ในเดือนกันยายนจากที่เคยหดตัวร้อยละ 6.2 ในเดือนสิงหาคม) โดยได้ยุติการลดลง 4 เดือนติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2552 และเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน (YoY) จำนวนผู้ว่างงานก็เพิ่มขึ้น 3 หมื่นคน (พุ่งขึ้นมาขยายตัวร้อยละ 6.0 จากที่เคยหดตัวร้อยละ 0.1 ในเดือนสิงหาคม)

อัตราการว่างงานในเดือนกันยายน ถึงแม้จะไม่เปลี่ยน แปลงจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 1.2 หลังจากที่ขยับลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนเมษายน แต่ก็ยังเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.1 ในเดือนกันยายน 2551 ซึ่งสอดคล้องกับจำนวนผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานในระบบประกันสังคมที่เริ่มลดลงตั้งแต่เดือนกรกฎาคม แต่ยังคงเพิ่มขึ้นมากหากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

แนวโน้มการจ้างงานในระยะถัดจากนี้ น่าจะได้รับปัจจัยหนุนที่สำคัญจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลผ่านโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งจากการประเมินตัวเลขการจ้างงานล่าสุดที่ยังคงสะท้อนสัญญาณบวกชัดเจนในภาคการผลิต ประกอบกับในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ มักจะปรับตัวดีขึ้นตามปัจจัยด้านฤดูกาล ภายใต้มุมมองดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงได้ปรับลดคาดการณ์ตัวเลขผู้ว่างงานเฉลี่ยในปี 2552 ลงเล็กน้อยมาที่ 5.9 แสนคน โดยมีอัตราการว่างงานเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.5 (จากเดิมที่คาดว่าน่าจะมีผู้ว่างงานเฉลี่ยที่ 6.03 แสนคน และมีอัตราการว่างงานเฉลี่ยที่ร้อยละ 1.6) ซึ่งดีกว่าอัตราการว่างงานเฉลี่ยที่ร้อยละ 1.7 ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้

สำหรับแนวโน้มในปี 2553 ปัจจัยที่สนับสนุนการฟื้นตัวของการจ้างงานในภาคการผลิตต่างๆ ยังคงต้องขึ้นอยู่กับทิศทางการส่งออก และความต่อเนื่องของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมไปถึงการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของภาครัฐ ขณะที่แนวโน้มการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ อาทิ ภาคก่อสร้าง อาจได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการไทยเข้มแข็ง

อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าภาพการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังเผชิญกับหลากหลายปัจจัยความไม่แน่นอน โดยเฉพาะความต่อเนื่องของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของโลกที่ในซีกโลกตะวันตกกำลังถูกตั้งคำถามว่าการฟื้นตัวจะยั่งยืนหรือไม่ หากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการมีข้อจำกัดมากขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจในซีกเอเชียอาจก้าวเข้าสู่ช่วงของการคุมเข้มนโยบาย การเงินและอัตราแลกเปลี่ยนท่ามกลางความเสี่ยงจากราคาสินทรัพย์ที่ถีบตัวสูงขึ้น ตัวแปรดังกล่าวอาจทำให้เส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยต้องใช้เวลานานขึ้น จนอาจย้อนกลับมาส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและการจ้างงานได้

ขณะเดียวกันเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงเพิ่มเติมจากปัญหาการเมืองในประเทศ ซึ่งอาจมีผลรบกวนการผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมาคงต้องยอมรับว่าเป็นกลไกสำคัญในการลดปัญหาการว่างงานในประเทศ

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการเองอาจต้องเผชิญกับแนวโน้มต้นทุนการผลิตที่ค่อยๆ ขยับขึ้นจากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ ต่างๆ รวมทั้งยังต้องเตรียมรับมือกับข้อเรียกร้องให้พิจารณาปรับ ขึ้นค่าแรงในปี 2553 ซึ่งน่าจะส่งผลกระทบต่อผลกำไรของธุรกิจ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวขึ้นเต็มที่และทั่วถึง

ภาวะการจ้างแรงงานไทยนับจากนี้จึงประหนึ่งแขวนไว้บน ตัวแปรและปัจจัยหลากหลายที่พร้อมจะย้อนกลับมากดดันการจ้างงานได้ตลอดเวลาในห้วงเวลาของปีเสือที่กำลังมาถึงนี้


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.