BIG CHANGE 5 ที่สุดแห่งปี


ผู้จัดการรายสัปดาห์(5 มกราคม 2553)



กลับสู่หน้าหลัก

แบล็กเบอร์รี่ 3G ทวิตเตอร์ วินโดวส์ 7 และโน้ตบุ๊กบางเบา คือ 5 ที่สุดแห่งปีที่เป็น "BIG CHANGE" อย่างแท้จริง เพราะทั้งหมดไม่เฉพาะแต่เปลี่ยนแปลงตลาดครั้งใหญ่ครั้งใหม่กับการแจ้งเกิดในตลาดเมืองไทย แต่ยังเป็นการสร้างพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ให้กับผู้บริโภคด้วย และ 5 ที่สุดแห่งปี 2552 จะส่งผลต่อเนื่องในปี 2553 อย่างแน่นอน และจะอิมแพกต์มากขึ้นขนาดไหนเป็นสิ่งที่จะต้องติดตาม

BB ฟีเวอร์
ไม่มีไม่ได้แล้ว


กระแสของแบล็กเบอร์รี่ หรือที่เรียกกันติดปากว่า "บีบี" ไปแล้วทั้งบ้านทั้งเมือง กำลังกลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ทุกคนอยากลองใช้ ลองสัมผัส หลังจากที่เจ้าบีบีก่อกระแสจากกลุ่มดารา ไฮโซ จนเป็นภาพที่เราเห็นกันชินตากับพฤติกรรมการนั่งพิมพ์ยืนพิมพ์ข้อความผ่านคีย์บอร์ดแป้นพิมพ์ เพื่อแชต อีเมล และการเข้าถึงโซเชียลเน็ตเวิร์ก กลายเป็นพฤติกรรมที่ทำให้ทุกคนอยากเป็นหนึ่งในแฟนคลับผู้ใช้บีบี

แม้ว่าบีบีจะมีให้เลือกไม่หลากหลายรุ่นนัก แต่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็จะเลือกใช้บีบีที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น รุ่นเคิร์ฟ รุ่นโบลด์ และรุ่นสตรอมที่เป็นทัชสกรีน ยิ่งช่วงปลายปี 2552 บีบีต้องการขยายฐานผู้ใช้บีบีในเมืองไทยให้มากยิ่งขึ้น ด้วยการเปิดตัวเคิร์ฟ 8520 ที่มีราคาระดับหมื่นต้นๆ จุดนี้เองทำให้กระแสการใช้งานบีบียิ่งเพิ่มสูงขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อ "ดีแทค" ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่อันดับสองของเมืองไทย กระโดดลงมาเล่นในตลาดบีบีต่อจากเอไอเอส และทรูมูฟ ภาพการแข่งขันช่วงชิงผู้ใช้บริการบีบีจากฟากฝั่งโอเปอเรเตอร์จึงเข้มข้นกลายเป็นสงครามสามก๊กรอบใหม่ที่ระอุขึ้น

การเข้าสู่การให้บริการบีบีหลังเพื่อนรายอื่นของดีแทค มาพร้อมกับความใหม่สดในจุดขายที่ว่า "เร็วกว่า คุ้มกว่า ขาวกว่า" ดีแทคโชว์ทั้งเรื่องของประสิทธิภาพการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่เคลมว่าเร็วที่สุด ส่วนเรื่องของความคุ้มค่านั้นมาจากโปรโมชั่นการเปิดตัวบริการบีบี ที่มีการทำราคาต่ำกว่าคู่แข่ง และมีการสร้างแพกเกจใช้งานที่ผนวกเรื่องค่าโทร.เข้าไปด้วย

แต่ที่เป็นกระแสอย่างแท้จริงน่าจะมาจากการที่ดีแทคได้นำบีบีรุ่นเคิร์ฟ 8520 สีขาว เข้ามาทำตลาดก่อนเอไอเอสและทรูมูฟ เนื่องจากที่ผ่านมาบีบีจะเน้นโทนสีเข้มที่เป็นสีดำ กระแสของเครื่องสีขาวได้ดึงดูดทั้งผู้ที่ใช้งานบีบีอยู่แล้วและผู้ที่ยังไม่เคยใช้ให้มาเป็นเจ้าของ แน่นอนว่าต้องกระทบกับทั้งเอไอเอสและทรูมูฟอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ทั้งเอไอเอสและทรูมูฟต่างก็มีจุดขายและการทำตลาดที่นานกว่าดีแทค ความได้เปรียบย่อมมีมากกว่า โดยเอไอเอสถือได้ว่ามีความครบเครื่องบริการบีบีในทุกๆ ด้าน ยิ่งไปกว่านั้นยังกวาดต้อนบรรดาดารา ไฮโซเกรดเออัดแน่นอยู่เต็มค่าย ส่วนทรูมูฟก็มีการขยับเตรียมทำตลาดบีบีอย่างหนักในปี 2553 และพยายามสร้างจุดแตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่น

วันนี้จึงบอกได้ว่าบีบีเปลี่ยนแปลงทั้งพฤติกรรมการใช้งานที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในสังคมผู้บริโภค ที่สำคัญยังส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงให้กับตลาดโดยเฉพาะความดุเดือดในการแข่งขัน นอกจากนี้ยังมีส่วนผลักดันให้ตลาดสมาร์ทโฟนเป็นตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วด้วย

3G เริ่มแล้ว
นับวันยิ่งเข้มข้น


แม้ว่า "3G" ในฟากฝั่งเอกชนที่รอการประมูลใบไลเซนส์จากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมจะยังไม่เกิด แต่ทั้งเอไอเอส ดีแทค และทรูมูฟ ก็ยังคงเดินหน้าที่จะพัฒนาการให้บริการ 3G บนโครงข่ายเดิมไปก่อน ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าน่าจะได้เห็นบรรดาเอกชนให้บริการ 3G แบบเต็มตัวในต้นปี 2554

อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายปี 2552 ทีโอที คอร์ปอเรชั่น ได้ฤกษ์เปิดตัว "TOT 3G" ให้บริการในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลบางพื้นที่ จึงถือเป็นการปักธง 3G ครั้งแรกในประเทศไทย และถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการโทรคมนาคมไทย

จุดเด่นของการสื่อสารในยุค 3G อยู่ที่การรองรับการใช้บริการแบบดาต้าได้อย่างเต็มรูปแบบ จุดนี้เองจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการใช้งาน ผู้ใช้มือถือสามารถมองเห็นหน้าซึ่งกันและกันผ่านทางวิดีโอคอลล์ เป็นต้น

และการเริ่มต้นของ 3G ของทีโอทีในครั้งนี้ ยังสร้างรูปแบบทางการตลาดแบบใหม่ให้เกิดขึ้นด้วย MVNO (Mobile Visual Network Operator) ซึ่งปัจจุบันมี 5 ราย ได้แก่ กลุ่มสามารถ ไอ-โมบาย ที่บริการภายใต้แบรนด์ i-mobile 3G กลุ่มล็อกซเล่ย์ ภายใต้แบรนด์ i-KooL 3G กลุ่มไออีซี ภายใต้แบรนด์ IEC 3G กลุ่มเอ็ม คอนซัลต์ ภายใต้แบรนด์ MOJO 3G และบริษัท 365 ภายใต้แบรนด์ 365

MVNO ทั้ง 5 รายนี้เสมือนแม่ทัพการตลาดที่จะวางรูปแบบการตลาดใหม่ๆ เพื่อสร้างกระแสให้กับ 3G โดยแต่ละรายต่างมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป จุดนี้ต้องรอพิสูจน์ว่าโมเดลธุรกิจไหนจะได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากกว่ากัน

อีกด้านหนึ่งกับการเกิดขึ้นของบริการ 3G คือความคึกคักของบรรดาค่ายผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือที่เตรียมพร้อมทำตลาดมือถือ 3G มากยิ่งขึ้นในช่วงปี 2553 หลังจากที่ผ่านมามีการเปิดตัวโทรศัพท์มือถือที่มีฟีเจอร์ 3G มาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความนิยมการใช้งานสมาร์ทโฟนจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นหากมีการขยายพื้นที่การให้บริการ 3G แบบครอบคลุมทั่วประเทศในอนาคต

นอกจากนี้บริการ 3G ยังเป็นการลบปัญหาการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่ไม่มีสายให้บริการ จุดนี้จะทำให้เกิดการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบไร้สายกระจายไปทั่วประเทศอีกด้วย

กระแสทวิตเตอร์
คนไทยติดอันดับโลก


ต้องยอมรับว่ากระแสของ "โซเชียลเน็ตเวิร์ก" นั้นเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดในปี 2552 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ทวิตเตอร์" ที่นิยมใช้งานไปทั่วบ้านทั่วเมืองอยู่ในขณะนี้ แม้ว่าช่วงแรกที่คนในประเทศรู้จักและเริ่มที่จะสนใจการใช้งานทวิตเตอร์ มาจากการที่การเมืองนำมาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารติดต่อกับกลุ่มที่ติดตามตนเอง โดยมีกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำทวิตเตอร์มาให้เป็นสื่อหนึ่งจนถึงปัจจุบันนี้

สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าคนไทยคลั่งทวิตเตอร์ขนาดไหน เห็นได้ชัดจากเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2552 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คำว่า "WeLoveKing" ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของ Trending Topics หรือหัวข้อสนทนายอดนิยมของโลกได้

แน่นอนว่าในอนาคตการใช้งานทวิตเตอร์และเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์กจะยิ่งกว้างขึ้น เข้าถึงกลุ่มคนได้มาก รองรับการใช้งานของคนทั่วโลกได้เพิ่มขึ้น และจะมีฟังก์ชั่นการใช้งานใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมา เช่นฟังก์ชั่นการแปลภาษาอัตโนมัติ ทำให้เกิดการสื่อสารข้ามเชื้อชาติได้ง่ายยิ่งขึ้น

เมื่อทวิตเตอร์และโซเชียลเน็ตเวิร์กมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย ภาคธุรกิจต่างๆ ก็เล็งเห็นและเข้ามาเกาะกระแสที่เกิดขึ้น เพราะสามารถทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลักของสินค้าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานอายุระหว่าง 25-40 ปี จะใช้ช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์กมากที่สุด

กลยุทธ์ที่ธุรกิจจะอาศัยกระแสโซเชียลเน็ตเวิร์กนั้น ควรใช้การกระตุ้นหรือมีกลยุทธ์ที่ให้คนที่มีอิทธิพล (Influencer) พูดถึงสินค้า หรือแบรนด์ แทนเจ้าของแบรนด์นั้นๆ เนื่องจากจะสร้างความสนใจได้มากกว่า และจะพูดถึงแบรนด์หรือสินค้านั้นต่อๆ ไปเอง

ปรากฏการณ์เลข 7
เปลี่ยนเครื่องพีซีทั่วโลก


หลังจากที่ไมโครซอฟท์สะดุดขาตัวเองจากไมโครซอฟท์ วินโดวส์ วิสต้า การเปิดตัวระบบปฏิบัติการไมโครซอฟท์ วินโดวส์ 7 จึงเกิดมาเพื่อลบข้อจำกัดและความบกพร่องที่เกิดขึ้นในวิสต้า

ไมโครซอฟท์ยืนยันว่า วินโดวส์ 7 จะช่วยให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ในการใช้งานคอมพิวเตอร์ที่เชื่อถือได้ ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว และทำให้ชีวิตประจำวันง่ายยิ่งขึ้น ส่วนองค์กรธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วินโดวส์ 7 นับเป็นระบบปฏิบัติการที่ดีที่สุดทั้งสำหรับการทำงานและใช้งานส่วนตัว และด้วยวินโดวส์ 7 โปรเฟสชันนัล สามารถทำงานได้ตามที่ต้องการ และช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เคย สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ วินโดวส์ 7 พร้อมตอบสนองทุกความต้องการ มีการเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยมากขึ้น มีการควบคุมในการลดความเสี่ยง จัดการการใช้งานให้ง่ายยิ่งขึ้นและช่วยลดต้นทุนทางธุรกิจ

ไมโครซอฟท์ตั้งใจว่าการมาของวินโดวส์ 7 จะต้องเปลี่ยนแปลงเครื่องพีซีทั่วโลกให้มาใช้งานระบบปฏิบัติการตัวใหม่นี้ รวมถึงคนที่ใช้งานวินโดวส์เอ็กซ์พีที่ใช้กันมากว่า 7-8 ปีแล้วด้วย

ด้านค่ายผู้ผลิตคอมพิวเตอร์นั้นเชื่อว่าวินโดวส์ 7 จะพลิกโฉมหน้าให้กับวงการคอมพิวเตอร์ด้วย อย่างเดสก์ทอปที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีมัลติทัชสกรีน หรือลูกเล่นที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการใหม่นี้จะช่วยให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ง่ายขึ้น รองรับการใช้งานได้ทั้งมัลติมีเดียและการทำงานที่หลากหลายรูปแบบ

ที่สำคัญที่ผ่านมาหลายองค์กรจะกลัวว่าการย้ายระบบไปยังระบบปฏิบัติการตัวใหม่จะเป็นเรื่องยากและเสียเวลา แต่การอัปเกรดมาใช้วินโดวส์ 7 เป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น

โน้ตบุ๊กบางสุดๆ แบตอึด
ผลพวงจากชิปอินเทล


ช่วงปี 2551 กระแสของ "เน็ตบุ๊ก" ได้กลายเป็นพระเอกให้กับวงการคอมพิวเตอร์ แต่สำหรับปี 2552 และปี 2553 นี้ โน้ตบุ๊กบางเฉียบ เบาสุดๆ แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวทั้งวันคือพระเอกตัวจริงของวงการนี้

เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่เอเซอร์ร่วมกับอินเทล เปิดตัวเอเซอร์ แอสไปร์ ไทม์ไลน์ โน้ตบุ๊กที่มาพร้อมโปรเซสเซอร์อินเทล คอร์ 2 ดูโอ แบบอัลตร้า โลว์ โวลเทจ ทำให้เกิดโน้ตบุ๊กเซกเมนต์ใหม่ที่มีความบางเบาเป็นพิเศษ ที่สำคัญโน้ตบุ๊กนั้นสามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้นานต่อเนื่องกว่า 8 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นการพลิกประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของวงการคอมพิวเตอร์ทั้งในเรื่องของนวัตกรรมและการดีไซน์

ทั้งนี้ โน้ตบุ๊กที่มาพร้อมกับดีไซน์บางเฉียบ และอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานมาก ช่วยตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานในปัจจุบัน ในด้านความคล่องตัวและการพกพาสะดวกมากขึ้น จากการที่อินเทลสามารถพัฒนาโปรเซสเซอร์รุ่นนี้ให้มีขนาดเล็กลง 58% ทำให้โน้ตบุ๊กที่ใช้โปรเซสเซอร์รุ่นนี้สามารถออกแบบให้มีขนาดบางและน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ ประกอบกับอินเทล ลามินาร์ วอลล์ เจต เทคโนโลยีนี้สามารถช่วยลดความร้อนของคอมพิวเตอร์ และยังช่วยแต่งเติมลูกเล่นในเรื่องของการดีไซน์ให้เก๋ไก๋และทันสมัยมากขึ้น

หลังจากที่เอเซอร์เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ดังกล่าว ค่ายคอมพิวเตอร์รายอื่นๆ ได้ทยอยเปิดตัวกันอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นกระแสความนิยมใช้งานในหมู่ผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ซึ่งผู้ประกอบการชี้ว่าโน้ตบุ๊กในเซกเมนต์นี้จะเป็นเรือธงในปี 2553 ด้วย เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก

และนี่คือ 5 ที่สุดแห่งปีของไอทีและเทเลคอมไทย ที่จะมีผลอย่างแน่นอนในปี 2553 นี้ และต้องคอยจับตาดูว่าจะมีผลิตภัณฑ์ นวัตกรรมอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นเพื่อมาแข่งรัศมีของทั้ง 5 ได้หรือไม่ หรือทั้ง 5 นี้จะยิ่งกลายเป็นพระเอกที่ฉายแววโดดเด่นต่ออีก 1 ปี


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.